ตอนที่ 375 คำพูดของเพื่อนบ้าน

แม่ปากร้ายยุค​ 80

ตอนที่ 375 คำพูดของเพื่อนบ้าน

หลินม่ายและโต้วโต้วนั่งรสบัสทางไกลมาถึงเมืองซื่อเหม่ยแล้ว

เมื่อเดินอยู่ในเมืองซื่อเหม่ย สองแม่ลูกก็กลายเป็นเป้าสายตาของผู้คน

ทั้งสองคนแต่งตัวดูดี ไม่ต้องพูดถึงว่าไม่ค่อยเห็นตามชนบทเลย ขนาดในเมืองยังสะดุดตาคน

ในช่วงครึ่งปีที่ผ่านมานี้ สองแม่ลูกกินอิ่ม หลับสบาย ทำให้ผิวขาวเนียนดูสุขภาพดี รูปลักษณ์ดูโดดเด่นอย่างเห็นได้ชัด

โดยเฉพาะหลินม่าย แม้จะหน้าสดทุกวัน ทว่าตั้งแต่เริ่มมีเงินก็ใช้ครีมบำรุงผิวเสมอจนผิวสวยใสราวกับกระจก

เมื่อรวมเข้ากับเครื่องหน้าที่งดงาม หลังจากผิวดีขึ้น ความน่าดึงดูดของรูปลักษณ์ก็ยิ่งมากขึ้นอีก แม้ว่าจะใช้ความงามราวดอกไม้และดวงจันทร์มาบรรยายก็ไม่นับว่าเกินไป เดินไปที่ไหนก็ได้รับความสนใจเป็นธรรมดา

แม้ว่าหลินม่ายจะอยู่ในเมืองนี้ไม่นาน แต่เมื่อก่อนเธอกลับมารับของเป็นประจำ เธอจึงยังจำบางคนและเอ่ยเรียกชื่อได้อยู่

เธอไม่ใช่คนประเภทที่รวยแล้วไม่เห็นหัวคนอื่น เธอยังคงปฏิบัติต่อตนเองและคนอื่นๆ เท่ากัน

ด้วยเหตุนี้เธอจึงปฏิบัติต่อคนในหมู่บ้านเหมือนเดิม เธอเข้าหาและทักทายทุกคนที่เธอรู้จักอย่างอบอุ่น

คนเหล่านั้นต่างก็ประหลาดใจ เบิกตากว้างด้วยความไม่อยากจะเชื่อ “คุณคือหลินม่ายเหรอ?”

“ฉันเองค่ะ” หลินม่ายหัวเราะ เสียดายที่ไม่ได้ซื้อลูกอมมาให้คนที่นี่กินสักหน่อย

ชาวบ้านจำนวนไม่น้อยรอบๆ เดินเข้ามา สังเกตหลินม่ายและโต้วโต้วทีละคน

มีคนหัวเราะด้วยความเบิกบานและกล่าวว่า “ฉันก็ว่าหน้าตาคุณคล้ายม่ายจื่อมาก แต่ไม่กล้าคิดว่าใช่ ดูสิ คุณอยู่ในเมืองชีวิตต้องดีมากแน่ๆ ดูสุขภาพดี ผิวทั้งขาวทั้งนุ่มนิ่มเชียว”

มีคนพูดด้วยความอิจฉาว่า “เสื้อผ้าก็ดีนะเนี่ย”

มีคนจับแก้มของโต้วโต้วที่ตอนนี้ป่องออกมา ถอนหายใจแล้วพูดว่า “โต้วโต้วก็เติบโตอย่างดีแล้ว! ตอนนู้นที่หล่อนเพิ่งมาที่นี่ทั้งผอมทั้งดำ”

หลินม่ายหัวเราะพลางตอบว่า “ตอนนั้นฉันก็ทั้งผอมทั้งดำเหมือนกันค่ะ”

ทุกคนคุยกันอีกไม่กี่ประโยคแล้วจึงเปลี่ยนประเด็นไปที่พวกเขาสนใจมากที่สุด

ถามหลินม่ายว่า “ปีหน้าตลาดของคุณจะยังรับหมู ไก่ เป็ด และห่านอยู่ไหม ปีหน้าต้องรับหมูจากบ้านเราหลายๆ ตัวนะ!”

คนในหมู่บ้านรอบๆ นี้อาศัยการเลี้ยงหมู ไก่ และเป็ดทำเงินเล็กๆ น้อยๆ หลายบ้านได้เงินสำหรับการศึกษาของลูกหลานในปีหน้ามาอยู่ในมือแล้ว ทุกคนจึงมุ่งมั่นตั้งใจเลี้ยงหมูเลี้ยงเป็ดเลี้ยงไก่

หลินม่ายยิ้มแล้วตอบว่า “ฉันทำตลาดส่วนตัว สมาคมเนื้อไม่ได้จัดหาให้ หมู เป็ด ไก่พวกนี้ต้องรับตลอดอยู่แล้ว แต่รับแค่ที่ไม่ป่วย ตัวที่ป่วยไม่เอา ปีหน้าพวกคุณเลี้ยงหมู ไก่ เป็ดให้มากหน่อย ห่านนั้นจะเลี้ยงหรือไม่ก็ได้ คนเจียงเฉิงไม่ค่อยนิยมกินเนื้อห่าน”

ห่านที่รับไปก่อนหน้านี้ยังขายไม่ออก จนตอนนี้ก็อยู่ในกรง ยังไม่ได้กิน กลัวว่ากินเนื้อห่านในวันที่อากาศร้อนจัดแล้วจะร้อนในตัว

คนในหมู่บ้านหลายคนตื่นเต้นขึ้นมา

มีคนพูดอย่างตื่นเต้นว่า “ปีหน้าฉันเลี้ยงหมูห้าตัว”

และยังมีคนบอกอีกว่า “ปีหน้าฉันจะเลี้ยงไก่ร้อยแปดสิบตัว ตัวที่ออกไข่ได้ก็ซื้อไข่ พอแม่ไก่แก่ ไม่ออกไข่แล้วก็จะขายไก่”

หลินม่ายเอ่ยให้กำลังใจ “ความคิดของคุณไม่เลวทีเดียว แค่ต้องศึกษาว่าต้องเลี้ยงไก่ยังไง ไม่อย่างนั้นถ้าไก่ป่วยจะเกิดการสูญเสียอันยิ่งใหญ่”

จากนั้นจึงยกมือขึ้นดูนาฬิกา “พวกคุณคุยกันไปก่อนนะคะ ฉันกับโต้วโต้วจะไปหาคุณปู่คุณย่าแล้ว”

ทุกคนพูดอย่างใจดี “ไปเถอะ” จากนั้นจึงมองส่งหลินม่ายและโต้วโต้วเดินไปที่บ้านคุณปู่ฟางด้วยความขอบคุณ

หลายคนยังแอบคุยกันว่าหลินม่ายเป็นคนดี

ถ้าไม่ใช่ว่าเธอส่งคนมารับผลิตภัณฑ์ทางการเกษตรจากบ้านพวกเขา ปีนี้พวกเขาก็คงไม่ได้มีชีวิตที่ดีขนาดนี้

แน่นอนว่าไม่ใช่ทุกคนที่รู้สึกขอบคุณหลินม่าน อย่างเช่นทางบ้านของอู๋จินฮวา

ครอบครัวของหล่อนเป็นครอบครัวเดียวในเมืองที่ถูกหลินม่ายขึ้นบัญชีดำ ไม่ให้ตัวแทนรับซื้อผลิตภัณฑ์ทางการเกษตรจากบ้านหล่อน

ได้แต่มองคนในหมู่บ้านเอาผลิตผลของตัวเองไปขายให้ตัวแทนรับซื้อของที่หลินม่ายส่งมา ได้เงินทอง มีชีวิตที่ดี

มีแค่ครอบครัวของหล่อนที่ยังจนขนาดนี้ ชีวิตก็ยากลำบาก คนในบ้านของหล่อนโมโหจนแทบจะตายอยู่แล้ว จะรู้สึกขอบคุณหลินม่ายได้อย่างไร เกลียดเธอก็ไม่นับว่าสายไป!

เมื่อหลินม่ายไปถึงบ้านคุณย่าฟางก็พบว่าประตูล็อกอยู่ ชัดเจนว่าไม่มีคนอยู่บ้าน

เพื่อนบ้านเดินมาดูเธอกับโต้วโต้วและเอ่ยถามด้วยความสงสัยว่า “คุณคือโต้วโต้วกับหลินม่ายเหรอ?”

หลินม่ายยิ้มรับ “ฉันเองค่ะ”

เพื่อนบ้านเองก็มีท่าทางแปลกใจเช่นกัน “โอ้โห สวยกันขนาดนี้แล้ว เหมือนเปลี่ยนเป็นอีกคนเลย ฉันไม่กล้าคิดว่าเป็นคนรู้จักเลย”

หลินม่ายหัวเราะและถามว่า “คุณรู้ไหมคะว่าปู่ฟางกับย่าฟางไปไหน?”

เพื่อนบ้านโบกมือ “โอ้ ไม่ต้องพูดถึงเลย ประมาณครึ่งเดือนก่อนปู่ฟางของคุณไปจัดการผักที่สวนท่ามกลางสายฝน ไม่ระวังก็เลยล้ม…”

หลินม่ายไม่รอให้อีกฝ่ายพูดจบ รีบขัดจังหวะทันที “คุณปู่ล้มแรงไหมคะ?”

เพื่อนบ้านยิ้มแล้วตอบว่า “ไม่แรงหรอก พักประมาณหนึ่งอาทิตย์ก็หายแล้ว”

หลินม่ายถอนหายใจด้วยความโล่งอก “คุณปู่ก็บาดเจ็บอยู่ ทำไมท่านไม่อยู่บ้านล่ะคะ?”

“ไปเก็บผักที่สวนน่ะ” เพื่อนบ้านพูดจบก็เสริมต่อทันที “ย่าฟางของเธอก็ไปกับเขาด้วย ตอนที่ปู่ฟางล้มครั้งก่อนทำให้ย่าฟางตกใจน่ะ ตอนนี้ปู่ฟางไปที่ไหน ย่าฟางก็ตามไปด้วยตลอด กลัวว่าเขาจะล้มอีกแล้วจะไม่มีใครช่วยเขาขึ้นมา”

ในขณะที่ทั้งสองคนกำลังพูดคุยกันอยู่นั้นก็ได้ยินเสียงคนตะโกนเรียกอย่างตื่นเต้น “ม่ายจื่อ โต้วโต้ว พวกเธอกลับมาแล้ว!”

เพื่อนบ้านหัวเราะและพูดกับหลินม่ายว่า “คุณปู่คุณย่าฟางของเธอกลับมาแล้ว”

จากนั้นจึงตอบผู้เฒ่าบ้านฟางทั้งสองว่า “ใช่แล้ว!”

สองแม่ลูกรีบวางของในมือลงและวิ่งไปหาคุณปู่คุณย่า

โต้วโต้ววิ่งพลางเรียกอีกฝ่ายอย่างเบิกบาน “ปู่ทวดขา ย่าทวดขา!”

คุณปู่และคุณย่าฟางตื่นตระหนกขึ้นมา “โต้วโต้วอย่าวิ่ง เดี๋ยวไม่สบายนะ!”

หลินม่ายวิ่งไปถึงแล้ว รับตะกร้าจากมือคุณย่า พูดยิ้มๆ “ไม่เป็นไรค่ะ อาการป่วยของโต้วโต้วฟื้นตัวดีมาก วิ่งไม่กี่ก้าวไม่เป็นไรหรอก”

คุณปู่ฟางเอื้อมมือไปอุ้มโต้วโต้วขึ้นมา

หลินม่ายรีบห้าม “คุณปู่อย่าอุ้มโต้วโต้วค่ะ ก็เห็นอยู่ว่าเขาอ้วนขึ้นขนาดนี้แล้ว เดี๋ยวเอวจะยอกนะคะ”

โต้วโต้วเองก็พูดด้วยน้ำเสียงขุ่นๆ “ปู่ทวดอย่าอุ้มหนู เดี๋ยวเอวยอก”

ทุกคนหัวเราะออกมาเสียงดัง

ปู่ฟางยิ้มและตอบกลับว่า “งั้นไม่อุ้มก็ได้ พวกเราจับมือกันไปเถอะ”

สุดท้ายสองสามีภรรยาก็จับมือเล็กๆ ของโต้วโต้วคนละข้าง เดินกลับบ้านกันสี่คน

หลินม่ายเอาเสื้อผ้าและของขวัญอื่นที่ซื้อมาให้ทั้งสองคนออกมาจากกระเป๋า บ่นคุณปู่คุณย่าฟางยกหนึ่งว่า

“คุณปู่คุณย่านี่จริงๆ เลย คุณปู่ล้มไป เรื่องใหญ่ขนาดนี้ทั้งสองคนยังไม่โทรศัพท์ไปบอกฉันกับจั๋วหรานสักคำ อย่างน้อยฉันก็มาดูแลคุณปู่ได้นะคะ”

ตั้งแต่มีการติดตั้งโทรศัพท์ที่บ้านของเธอ เธอก็ถือโอกาสให้ฟางจั๋วหรานบอกกับคุณปู่ฟางตอนที่คุณปู่โทรมาหาเขา

แต่ผู้อาวุโสทั้งสองไม่เคยโทรหาเธอเลยสักครั้ง

หลินม่ายรู้ดีว่าทั้งสองคนไม่อยากให้เธอเดือดร้อน

คุณปู่ฟางยิ้มและตอบกลับว่า “ไม่หนักหนาสักหน่อย จะโทรทำไมล่ะ?”

หลินม่ายตอบอย่างน้อยใจ “โชคดีที่ไม่หนักค่ะ ถ้ามันเป็นหนักล่ะก็เรื่องใหญ่แน่”

ปู่ฟางตอบกลับอย่างดื้อรั้น “เรื่องใหญ่อะไรเล่า?”

คุณย่าฟางตักถั่วเขียวต้มใส่สะระแหน่สองชามออกมาให้จากในครัว ปลอบใจหลินม่ายที่รู้สึกไม่ดีเพราะกังวลเกี่ยวกับพวกนาง “ถ้าเป็นอะไรร้ายแรง ฉันจะโทรบอกเธอกับจั๋วหรานแน่นอน”

หลินม่ายไม่พูดอะไรแล้วดื่มน้ำต้มถั่วเขียว

คุณย่าฟางร้อนรนใจ “ไม่รู้ว่าพวกเธอจะกลับมาวันนี้ ที่บ้านไม่มีอาหารดีๆ เลย จะไปซื้อเนื้อตอนนี้ก็คงไม่สดแล้ว ทำยังไงดี”

หลินม่ายยิ้มแล้วตอบว่า “ไม่ใช่คุณย่ากับคุณปู่ไปเก็บผักสดๆ มาเยอะเหรอคะ กินผักก็พอแล้ว อากาศร้อนขนาดนี้ กินปลากินเนื้อไม่ลงหรอกค่ะ”

คุณย่าฟางตอบอย่างขุ่นเคืองว่า “จะทำอย่างนั้นได้ยังไง พวกเธอนานๆ กลับมาที ยังไงก็ต้องทำอาหารดีๆ ให้กิน”

นางหันไปมองคุณปู่ฟาง “ตาเฒ่า ไปเชือดไก่มาตัวหนึ่งสิ”

คุณปู่ฟางกำลังป้อนต้มถั่วเขียวให้โต้วโต้ว ได้ยินดังนั้นจึงรีบตอบกลับไป

โต้วโต้วตบมืออย่างมีความสุข “มีไก่กินแล้ว มีไก่กินแล้ว!”

หลินม่ายเหลือบมองเธอ “อย่าร้องแบบนั้น สองวันก่อนแม่เพิ่งไก่ผัดซอสแดงให้กินไป ลูกร้องแบบนั้น ปู่ทวดย่าทวดจะเข้าใจว่าแม่เลี้ยงลูกไม่ดีนะ”

โต้วโต้วแลบลิ้นอย่างซุกซน เอนตัวอยู่ในอ้อมกอดคุณปู่ฟาง ให้เขาป้อนถั่วเขียวต้มให้ต่อ

คุณปู่ฟางยื่นชามถั่วเขียวต้มให้โต้วโต้วถือเอง “ให้ย่าทวดป้อนถั่วเขียวต้มให้นะ ปู่จะไปเชือดไก่”

หลินม่ายรีบกินถั่วเขียวต้มในชามของตัวเองให้เสร็จ “ฉันจะไปเชือดไก่เอง”

แล้วบอกกับโต้วโต้วว่า “กินถั่วเขียวต้มเอง ไม่ต้องให้ปู่ทวดกับย่าทวดป้อน โตขนาดนี้แล้ว”

พูดจบแล้วจึงไปหยิบมีดที่ห้องครัวเพื่อไปเชือดไก่

คุณย่าฟางไล่ตามหลังเธอมาเพื่อถามว่า “เธอเชือดไก่เป็นเหรอ? ให้ปู่ไปทำเถอะ

“เป็นค่ะ”

ชีวิตที่แล้วเธอแต่งงานกับอู๋เสี่ยวเจี๋ยน ถูกครอบครัวของเขาทรมานตลอด มีเรื่องอะไรที่ทำไม่ได้บ้าง? แค่เชือดไก่เป็นเพียงเรื่องเล็กๆ เท่านั้น

…………………………………………………………………………………………………………………………

สารจากผู้แปล

ตกใจเลยที่เห็นคุณปู่ฟางล้ม ดีที่ล้มไม่หนัก ต้องให้ลูกหลานมาดูแลใกล้ๆ แล้ว

ไหหม่า(海馬)