บทที่ 288 ไทเฮาออกโรง (1)
คนตระกูลถังออกไปแล้ว กู้เฉิงเฟิงเองก็กลับไปโดยมีฉินกงกงคุ้มกันตลอดทาง
จวงไทเฮาพากู้เจียวกลับมายังตำหนักเหรินโซ่ว
กู้เจียวสวมชุดดำทั้งร่าง นางแอบอยู่ในตู้ ทั้งยังวิ่งหนีตาลีตาเหลือกทำเอาเนื้อตัวมอมแมมไปหมด
จวงไทเฮาพากู้เจียวไปอาบน้ำหวีผมที่ตำหนักเหรินโซ่ว แม้จะรู้ว่ากู้เจียวไม่ชอบให้คนนอกคอยปรนนิบัติพัดวี แต่อ่างอาบน้ำนั้นใหญ่เหลือเกิน มีหลายสิ่งที่นางไม่เคยใช้มาก่อน จวงไทเฮาจึงส่งนางกำนัลคนสนิทสองคนที่เป็นงานเข้าไปคอยดูแล
กู้เจียวเพิ่งจะเคยแช่น้ำในวังหลวงเป็นครั้งแรก รู้สึกแปลกใหม่อย่างประหลาด
ภายในโถงอันกว้างขวางโอ่อ่า เสาขื่อคานประดับทองตั้งอยู่รอบทิศ อ่างอาบน้ำตั้งตระหง่านอยู่ตรงกลาง มีม่านโปร่งระย้าคลุมอยู่ทั้งสี่ด้าน ทำให้มองเห็นภาพหลังม่านไม่ชัดเจนนัก
เชิงเทียนแผ่กิ่งก้านถูกจุดจนสว่างไสวอยู่สี่มุมด้านนอกม่านโปร่ง ยิ่งกิ่งก้านอยู่ชั้นล่างลงไปเท่าไหร่ จำนวนเทียนก็จะเพิ่มมากขึ้นเท่านั้น
ทว่าภายในม่านโปร่งนั้นกลับไร้แสงไฟ แต่บนพื้นและผนังของห้องอาบน้ำนั้นเลี่ยมด้วยไข่มุกเย่หมิงที่ส่องแสงประกายแวววาวยามค่ำคืน
กลีบดอกไม้ลอยเต็มอ่างอาบน้ำ แต่ละกลีบส่งกลิ่นหอมอบอวล
ร่างเล็กของกู้เจียวแช่อยู่ท่ามกลางกลีบบุปผา มีเพียงศีรษะน้อยกลมมนที่โผล่พ้นผิวน้ำขึ้นมา
นางกำนัลนั่งคุกเข่าอยู่ข้างอ่างน้ำพลางเอ่ยกับนาง “แม่นาง ข้าหวีผมให้เจ้าค่ะ”
“อืม” กู้เจียวพยักหน้า น้อยนักที่นางจะไม่ปฏิเสธยามคนแปลกหน้าเข้าใกล้
นางกำนัลหยิบหวีขึ้นมา พรมน้ำมันหอมแล้วคลายผมยาวที่กู้เจียวม้วนเกล้าไว้ด้านบนลงมา
นางมือเบาเหลือเกิน ราวกับกลัวว่าจะทำผมกู้เจียวขาดแม้แต่เส้นเดียว
กู้เจียวหลับตาดื่มด่ำ แม้แต่นางยังไม่เคยหวีผมให้ตัวเองอย่างเบามือเช่นนี้มาก่อน
เส้นผมถูกหวีจนเรียบลื่นเงางาม จากนั้นนางกำนัลก็นำสบู่ดำมาขัดถูให้กับกู้เจียว สบู่ชนิดนี้ไม่ได้ใช้จ้าวเจี่ยวธรรมดาที่ตามท้องตลาดใช้กัน ทั้งยังเติมน้ำมันหอมลงมากมายหลายชนิด นี่คือกลิ่นหอมที่คนธรรมดาสามัญไม่มีทางได้ใช้
สบายเหลือเกิน กู้เจียวเกือบจะผล็อยหลับไปแล้ว
กว่ากู้เจียวจะอาบน้ำเสร็จก็ผ่านกว่าครึ่งชั่วยามแล้ว มัวแต่ตามล่าคนร้าย ของที่กินไปนิดหน่อยเมื่อคืนก็ย่อยไปหมดแล้ว ท้องของนางจึงร้องโครกครากด้วยความหิว
นางสวมชุดนอนผ้าแพรเนื้อเย็นสีม่วงอ่อนออกมา ชุดนอนผืนนี้มองปราดเดียวก็รู้ว่าไม่ใช่ชุดนอนของจวงไทเฮา แต่เป็นชุดที่เหมาะกับเด็กสาวอย่างนางมากกว่า
จวงไทเฮามองนางที่เดินออกมาพร้อมกับนางกำนัลท่ามกลางแสงเทียน แววตาเหม่อลอยไปครู่หนึ่ง
“ท่านย่า” กู้เจียวเดินเข้ามาใกล้
จวงไทเฮาดึงสติกลับมา ชี้ไปที่เก้าอี้ข้างกัน “นั่งลงเถิด กินอะไรสักหน่อย”
กู้เจียวเองก็หิวพอดี
เมื่อเห็นอาหารเรียงรายเต็มโต๊ะก็อดน้ำลายสอไม่ได้
นางมองตาปริบๆ แล้วนั่งลง “ท่านย่า ท่านรู้ได้อย่างไรว่าข้าหิวแล้ว”
จวงไทเฮาส่งเสียงฮึดฮัด “เหอะ ท้องกิ่วอย่างเจ้า เดายากนักหรือไร”
กู้เจียวยกยิ้มด้วยความดีใจ รีบคว้าตะเกียบขึ้นมาแล้วลงมือกินอย่างเอร็ดอร่อย
การกินอาหารในวังหลวงนั้นมีกฎระเบียบซับซ้อน ปกติแล้วจะมีคนคอยจัดแจงสำรับให้เสมอ จานไหนกินอย่างไร แต่ละจานกินกี่คำ จวงไทเฮานั้นปฏิบัติตามระเบียบแบบแผนอย่างเคร่งครัดมาตลอดหลายปี
ทว่าพอกู้เจียวอยู่ที่นี่ นางกลับไล่ให้นางกำนัลที่เป็นคนคอยปรนนิบัติเรื่องพิธีการอาหารออกไป
ในขณะที่ตัวกู้เจียวเองก็ยังไม่รู้ด้วยซ้ำ
“กินอิ่มแล้วหรือ” จวงไทเฮาถามกู้เจียว
กู้เจียววางตะเกียบลง ก่อนจะตบเบาๆ ลงบนหน้าท้องน้อย “อิ่มแล้วเจ้าค่ะ”
จวงไทเฮาสั่งให้คนยกชาดอกเซียงจาที่มีฤทธิ์ช่วยย่อยและผ่อนคลายอารมณ์มาแก้วหนึ่ง
กู้เจียวยกถ้วยชาดอกไม้ขึ้น พลางเอ่ยถาม “ใช่แล้วท่านย่า เหตุใดจู่ๆ ท่านถึงออกจากวังเล่า”
จวงไทเฮาเอ่ยเสียงฮึดฮึด “ข้าจะออกไปไหนมาไหนไม่ได้เลยรึ”
กู้เจียวร้องอ๋อ “ท่านย่าอยากออกไปเล่นไพ่ใช่หรือไม่”
จวงไทเฮาคิ้วกระตุก “เหลวไหว! ข้าจะออกไป…เล่นไพ่ได้อย่างไร”
ข้าเพิ่งกลับมาจากเล่นไพ่ต่างหาก!
จวงไทเฮารีบเบี่ยงประเด็นให้พ้นจากตัวเอง “เจ้ายังมีหน้ามาถามว่าข้าออกจากวังทำไมอีกหรือ ข้าต่างหากที่ต้องถามเจ้าว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่ ดึกดื่นป่านนี้วิ่งโร่ไปทำอะไรที่จวนถังกัน”
กู้เจียวมองหญิงชราก่อนจะก้มหน้างุดแล้วยกนิ้วขึ้นมาชนกัน “จับคนร้าย”
จวงไทเฮาสูดหายใจอย่างเหลืออด “แล้วเจ้าไปตามจับคนร้ายอะไรถึงจวนหยวนไซว่กัน”
นางเอ่ยตอบ “มีคนคิดจะฆ่าถังหมิง แล้วโยนความผิดให้กู้ฉังชิง”
ถังหมิงนั้นไทเฮาพอจะรู้จัก เพราะเป็นหลานชายของถังเย่ว์ซาน หน้าตาหล่อเหลา ส่วนกู้ฉังชิงนั้น…จวงไทเฮาได้แต่ขมวดคิ้ว
ชื่อนี้ฟังดูคุ้นหูนัก แต่จำไม่ได้สักเท่าไหร่
ความทรงจำที่กลับคืนมาของจวงไทเฮาส่วนใหญ่เป็นเรื่องเกี่ยวกับกู้เจียวและเสี่ยวจิ้งคง ส่วนเรื่องของกู้ฉังชิงนั้นมีน้อยนิด นางจึงยังนึกไม่ออกในทันใด
กู้เจียวเห็นสีหน้างุนงงของไทเฮา นางก็ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยต่อ “ครั้งแรกที่เขาเล่นไพ่ ได้เงินจากท่านย่าไปไม่น้อยเชียวล่ะ”
จวงไทเฮาหน้าบึ้งตึงในทันใด
พอจะจำได้ลางๆ แล้ว
เรื่องนี้จะว่าไปก็ซับซ้อนพอสมควร อันที่จริงจวงไทเฮาได้ยินข่าวคราวมาตั้งแต่ก่อนหน้าแล้ว ในเมื่อเกิดเรื่องใหญ่โตขนาดนั้นขึ้นในค่ายทหาร มีหรือนางจะไม่รู้ว่าถังหมิงถูกตูเว่ยคนหนึ่งจากจวนติ้งอันโหวฟันจนแทนขาด
ทว่านางนั้นก็เหมือนกับแม่ทัพคนอื่นๆ คิดว่าตูเว่ยคนนั้นทำไปเพื่อเรียกร้องความยุติธรรมให้กับทหารตระกูลกู้
จวนติ้งอันโหวเป็นกองกำลังของฮ่องเต้ นางย่อมไม่อาจออกหน้าแทนตระกูลถัง ยิ่งไปกว่านั้นตระกูลถังก็ทำเกินสมควรจริงๆ
ถังหมิงลงโทษทหารนั้นไม่ยุติธรรมก็จริง แต่โทษที่เขาควรได้รับก็ไม่ถึงขึ้นต้องบั่นแขนกัน
เขาใช้พิธีประลองยุทธ์เป็นข้ออ้างในการทำร้ายถังหมิง ไม่ว่าอย่างไรก็ให้อภัยไม่ได้
“ไม่ใช่เพื่อทหารตระกูลกู้” กู้เจียวลังเลอยู่ครู่หนึ่ง สุดท้ายก็พูดความจริงออกไป “ถังหมิงรังแกอาเหยี่ยน เขาจับตัวอาเหยี่ยนไป แล้วขังเอาไว้…พวกข้าตามหากันทั้งคืนกว่าจะเจอ กู้ฉังชิงเป็นคนหาเขาเจอ หากช้าไปก้าวหนึ่งก็คงจะ…”
คงจะอะไรนั้น
กู้เจียวไม่พูดต่อ
แต่จวงไทเฮาเป็นใครกัน
นางผ่านร้อนผ่านหนาวมามากกว่าใครต่อใคร
มีหรือนางจะเดาไม่ออกว่าเกิดอะไรขึ้น
จวงไทเฮานั้นหวังเพียงสิ่งเดียวจากกู้เหยี่ยน นั่นก็คือขอให้เขามีชีวิตอยู่ก็เพียงพอแล้ว
เห็นได้ชัดว่าเด็กคนนี้เปราะบางเหลือเกิน การพบเจอเรื่องราวเช่นนี้ก็เท่ากับพรากชีวิตของเขาไปครึ่งหนึ่งแล้ว
สีหน้าของจวงไทเฮาขุ่นมัวขึ้นมาในทันใด “ตัดแขนเพียงแค่ข้างเดียวใช่หรือไม่”
กู้เจียวกะพริบตาปริบๆ “แล้วก็…สั่งสอนเขาอีกนิดหน่อย แต่ถูกถังเย่ว์ซานเจอเข้า ก็เลยตามจับตัวข้า”
จวงไทเฮาสงสัย “แค่ตามจับตัวเจ้าอย่างนั้นรึ ข้าว่าเขาหมายจะฆ่าเจ้าด้วยซ้ำ”
นั่นเป็นเพราะข้าได้ยินความลับของเขาต่างหาก แต่ความจริงแล้วก็ไม่ต่าง ต่อให้ได้ยินความลับหรือไม่ ถังเย่ว์ซานก็คงไม่ปล่อยนางไว้อยู่แล้ว
ในคืนนั้น กู้เจียวและจวงไทเฮาพูดคุยกันมากมาย กู้เจียวไม่ใช่คนที่ช่างพูดช่างเจรจาสักเท่าไหร่ นางไม่ได้พูดอะไรมากมาย ปกติแล้วแม้จะรู้อะไรมาก็มักคร้านจะเอ่ยปาก
ทว่าหญิงชราเป็นคนมีชั้นเชิงพอสมควร สามารถทำให้กู้เจียวก้าวข้ามผ่านระหว่างความย้อนแย้งของแรงต่อต้านในจิตใจและความหยิ่งในศักดิ์ศรี คราวนี้นางจึงช่างจ้อราวกับโทรโข่งน้อย
ครั้นฉินกงกงกลับมารายงานที่ตำหนักเหรินโซ่ว กู้เจียวก็นอนฟุบอยู่บนเตียงหงส์ของจวงไทเฮาแล้ว
ใบหน้าน้อยของนางหันมาทางจวงไทเฮา ดวงแก้มถูกกดทับจนเห็นเนื้อจ้ำม่ำ ริมฝีปากน้อยเผยเปิด น้ำลายใสไหลย้อยออกมา
จวงไทเฮาเช็ดน้ำลายให้นาง ก่อนจะดึงผ้าห่มขึ้นมาคลุมให้นางอย่างเบามือแล้วยกฝ่ามือข้างหนึ่งของนางขึ้นมาดูพลางทอดถอนใจ “เป็นแผลอีกแล้วรึ”
“ไทเฮา” ฉินกงกงถวายบังคมเสียงแผ่วเบา “ส่งคนเรียบร้อยแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
จวงไทเฮาขานรับเสียงเรียบ
ฉินกงกงหยิบยาทาแผลมาแล้วยื่นให้จวงไทเฮา
จวงไทเฮาใช้ปลายนิ้วป้ายยาแล้วทาลงบนรอยแผลที่เกิดจากการเสียดสีของเชือกบนฝ่ามือของกู้เจียว “ไปส่งข่าวที่ตรอกปี้สุ่ยที บอกเจ้าหนูน้อยว่าไม่ต้องรอแล้ว คืนนี้เจียวเจียวจะนอนกับข้าที่นี่”
“อือ~” กู้เจียวรู้สึกร้อน ถีบผ้าห่มทิ้งอย่างไม่สบอารมณ์สักเท่าไหร่ทั้งที่ยังนอนหลับฝัน
ไทเฮาห่มผ้าให้นางอย่างห่วงใย
ฉินกงกงก็พลันหัวเราะออกมา
“หัวเราะอะไรของเจ้า” จวงไทเฮาถามเสียงขุ่น
ฉินกงกงเอ่ยสีหน้ายิ้มแย้ม “กระหม่อมไม่ได้เห็นไทเฮาเป็นห่วงเป็นใยผู้อื่นมานานแล้ว ราวกับว่าครั้งนี้ที่พระองค์สูญเสียความทรงจำไป พระองค์ได้บางสิ่งบางอย่างที่สูญหายไปในอดีตกลับคืนมามากมาย”
“บางสิ่งที่สูญหายไปในอดีตอย่างนั้นรึ” จวงไทเฮาเอ่ยพึมพำ
ฉินกงกงหัวเราะพลางเอ่ย “ใช่แล้วพ่ะย่ะค่ะ ครั้งสุดท้ายที่พระองค์เป็นห่วงเป็นใยผู้อื่นคงเป็นตอนที่องค์หญิงหนิงอันอยู่ข้างกาย”
เมื่อเอ่ยถึงองค์หญิงหนิงอัน สีหน้าของไทเฮาก็เย็นชาขึ้นมาในทันที
ฉินกงกงสัมผัสได้ว่าตัวเองพูดในสิ่งที่ไม่ควร จึงรีบก้มหน้า “กระหม่อมพลั้งปากไปแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
จวงไทเฮาหลับตาลงพลางลูบเรียวนิ้วของกู้เจียว ก่อนจะเอ่ยเสียงเรียบ “เจ้าออกไปเถิด”
ฉินกงกงขานรับ “พ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมจะไปที่ตรอกปี้สุ่ยบัดเดี๋ยวนี้”
“ช้าก่อน” จวงไทเฮาเอ่ยรั้งเขา
ฉินกงกงหมุนตัวกลับมา “ไทเฮามีรับสั่งอะไรอีกหรือพ่ะย่ะค่ะ”
ไทเฮาถาม “ข้าจำได้ว่าในห้องเก็บของมีหน้ากากที่ได้รับบรรณาการมาไม่น้อยเลยใช่หรือไม่”
ฉินกงกง “ใช่พ่ะย่ะค่ะ ไทเฮาอยากได้หน้ากากหรือพ่ะย่ะค่ะ”
จวงไทเฮามองดูกู้เจียวที่กำลังหลับฝันหวานพลางเอ่ย “เจ้าไปเอามาให้หมด เอาให้องค์หญิง…”
ฉินกงกงชะงักงันไปทั้งร่าง
จวงไทเฮาเองก็นิ่งไปเช่นกัน “เอามาให้เจียวเจียวเลือก พรุ่งนี้เช้าค่อยเลือกก็แล้วกัน”
ฉินกงกงถอนหายใจอย่างโล่งอก “พ่ะย่ะค่ะ”