บทที่ 288 ไทเฮาออกโรง (2)
หลังจากที่ถังเย่ว์ซานทูลลาไทเฮาแล้วก็รีบตามล่าจับตัวกู้ฉังชิงในทันที ทว่าเขากลับได้รับรายงานว่ากู้ฉังชิงอยู่ที่ค่ายทหารโดยตลอด
ถังเย่ว์ซานรีบกลับมายังค่ายทหาร มองดูกู้ฉังชิงอย่างไม่เชื่อสายตาตัวเอง กู้ฉังชิงกำลังดับกองไฟด้านนอกห้องสำเร็จโทษอย่างเงียบๆ เขายังคงสวมกุญแจมือและโซ่ตรวน ไม่มีร่องรอยการหลบหนีเลยสักนิด
“เจ้า…เจ้าไม่ได้หนีไปแล้วหรอกหรือ”
กู้ฉังชิงเอ่ยเสียงเย็นชา “ข้าอยู่ค่ายตลอด ไม่รู้ว่าใต้เท้าถังได้ยินเรื่องนั้นมาจากไหน”
“เป็นไปไม่ได้! ข้าพลิกแผ่นดินหาทั่วทั้งค่ายแล้ว! เจ้าไม่ได้อยู่ที่นี่! เจ้า…” ถังเย่ว์ซานพลันคิดบางอย่างขึ้นมาได้ แววตาเป็นประกาย “เจ้าอยู่ที่ด่านสิบแปดอรหันต์”
นั่นเป็นเพียงที่เดียวที่ค่ายทหารจะหาไม่พบ เพราะหากเข้าไปแล้วมีแต่ตายสถานเดียว ถังหมิงฝ่าไปได้แค่สิบสองด่าน ส่วนทหารคนอื่นนั้นไม่ต้องพูดถึง
กู้ฉังชิงเพียงแค่ซ่อนตัวอยู่ที่ด่านใดสักด่านหนึ่ง ก็มั่นใจได้แล้วว่าไม่มีผู้ใดตามหาเขาเจอแน่นอน!
เจ้าเล่ห์นัก เจ้าเล่ห์เกินไปแล้ว!
ทว่าถังเย่ว์ซานก็ยังคงไม่เข้าใจว่าเหตุใดกู้ฉังชิงถึงต้องทำเช่นนี้
หากเขาหนีออกไปฆ่าถังหมิงยังพอฟังขึ้น แต่เขากลับไม่ไป กลายเป็นมือสังหารคนอื่นที่ไปแทนเนี่ยสิ
เพราะอย่างนั้นเขาถึงได้ซ่อนตัวอยู่ในนั้นอย่างนั้นหรือ เล่นซ่อนแอบหรืออย่างไรกัน
กู้ฉังชิงเอ่ยเสียงจริงจัง “ข้ากลัวว่าเปลวไฟจะลุกลามแล้วครอกข้าจนตายไปเสียก่อน ถึงได้หาสถานที่ปลอดภัยหลบซ่อนตัว”
ถังเย่ว์ซาน “…”
ต่อให้ถังเย่ว์ซานจะรู้สึกว่าเหตุผลนี้ฟังไม่ขึ้นสักแค่ไหน ก็ไม่อาจเปลี่ยนความจริงที่ว่ากู้ฉังชิงไม่ได้หลบหนีออกไปจากค่ายทหารได้
ถังเย่ว์ซานโกรธดังไฟสุมทรวง ทว่าไร้ที่ระบายอารมณ์
เขากัดฟันกรอดพลางเอ่ยเสียงเย็นชา “เหอะ! ต่อให้คราวนี้เจ้าไม่ได้หนีแล้วอย่างไรเล่า สามวันข้างหน้าเจ้าก็จะถูกประหารชีวิตอยู่ดี!”
ในนิมิตฝันของกู้เจียว เพราะกู้เฉิงเฟิงออกหน้ารับสารภาพผิด ถังเย่ว์ซานจึงปล่อยกู้ฉังชิงไป
ทว่าวันนี้กู้เฉิงเฟิงไม่ได้ออกมารับหน้าแทน สามวันต่อจากนี้ กู้ฉังชิงก็ยังคงถูกตัดสินประหารชีวิตอยู่ดี
เดิมทีกู้เฉิงเฟิงและกู้เจียวคิดว่าหากจับคนร้ายตัวจริงที่ลอบฆ่าถังหมิงได้ ก็ถือโอกาสสาวตัวคนที่อยู่หลังม่านที่ปลอมตัวเป็นเฟยซวงในวันนั้น เพื่อล้างมลทินและเปิดโปงความจริงว่ากู้ฉังชิงไม่ได้แหกคุก
แต่ใครจะไปคาดคิดว่าอีกฝ่ายจะเจ้าเล่ห์ถึงเพียงนี้ ไม่ยอมเปิดเผยตัวตนของตัวเอง แต่กลับยืมมือของนายใหญ่ถังจัดการ
พวกเขาอยากจะเตือนถังเย่ว์ซานอยู่หรอก เฮ้อ พี่ใหญ่ของเจ้าไม่ได้แค่สั่งฆ่าเจ้าสารเลวถังหมิง แต่เขายังสมรู้ร่วมคิดกับคนอื่นวางแผนลอบฆ่าเจ้าด้วย
ทว่าพวกเขาจะบอกถังเย่ว์ซานในฐานะอะไร
น้องสาวน้องชายของกู้ฉังชิง หรือว่ามือสังหารที่ถูกไทเฮา ‘ประหารชีวิต’ ไปแล้วอย่างนั้นหรือ
ไม่ว่าแบบไหน ถังเย่ว์ซานก็ไม่มีทางเชื่อทั้งสิ้น
เรื่องแบบนี้ต้องให้คนที่ถังเย่ว์ซานเชื่อใจอย่างไร้ข้อกังขาเป็นคนพูด
ทว่าถังเย่ว์ซานผู้นี้ขี้ระแวงเสียเหลือเกิน เห็นได้ชัดจากที่เขาสงสัยว่าฮูหยินใหญ่ถังคิดจะฆ่าถังหมิง
วันต่อมา ฉินกงกงมาเยือนถึงจวนหยวนไซว่
“ไทเฮาเรียกพบใต้เท้าถัง ขอใต้เท้าถังโปรดเข้าวังไปพร้อมกับข้าบัดเดี๋ยวนี้ด้วยเถิด”
ถังเย่ว์ซานตามฉินกงกงเข้าวังไป
เขาเป็นชายที่ยังไม่แต่งงาน จึงไม่อาจเข้าไปในเขตวังหลังได้ จวงไทเฮาจึงรอพบเขาอยู่ที่ตำหนักปีกข้างของตำหนักจินหรวน
จวงไทเฮานั่งอยู่บนเก้าอี้หงส์ไม้สาลี่ทองที่ตั้งอยู่บนบัลลังก์ นางสวมชุดหงส์ปักดิ้นทองอร่าม สีหน้าเรียบเฉย บรรยายชวนอึดอัด
ถังเย่ว์ซานคุกเข่าลงพลางยกมือประสานขึ้นคำนับ “กระหม่อมถวายบังคมไทเฮาพ่ะย่ะค่ะ ขอไทเฮาทรงพระเจริญพันปีพันพันปี!”
“ยืนขึ้น” จวงไทเฮาเอ่ย
“ขอบพระทัยไทเฮา” ถังเย่ว์ซานยืนขึ้นด้วยแววตาแน่วแน่
“ยกเก้าอี้มา” จวงไทเฮาสั่งฉินกงกง
ฉิงกงกงและขันทีน้อยยกเก้าอี้ตัวหนึ่งมาให้ถังเย่ว์ซาน วางลงกลางโถงของตำหนัก ตรงข้ามกับไทเฮา
เมื่อต้องนั่งประจันหน้ากับไทเฮาเช่นนี้ บรรยากาศก็ยิ่งประหลาดเข้าไปใหญ่ ทว่านี่เรียกได้ว่าเป็นเกียรติยศอันสูงสุดอย่างหนึ่ง ถังเย่ว์ซานจึงดีใจไม่น้อย
แม้จวงไทเฮาโกรธเกรี้ยวเพียงใดแต่ก็ยังเอ่ยด้วยเสียงน่าเกรงขาม “เจ้าเป็นขุนนางใกล้ชิดของข้า ข้าเชื่อใจเจ้า เช่นนั้นแล้วก็ไม่จะอ้อมค้อม ที่ข้าเรียกเจ้ามาวันนี้ก็เพราะเรื่องของกู้ตูเว่ย”
ถังเย่ว์ซานได้ยินดังนั้น สีหน้าก็พลันแข็งข้างไป
เรื่องของกู้ฉังชิงนั้นเป็นที่กล่าวขานไปทั่วบ้านทั่วเมือง ในวังเองก็คงได้ยินข่าวตั้งนานแล้ว แต่คิดไม่ถึงเลยว่าไทเฮาจะถามเรื่องนี้
จวงไทเฮาส่งสายตาให้ฉินกงกง
ฉินกงกงเข้าใจในทันใด ก่อนจะยกถาดใบหนึ่งมาวางตรงหน้า บนถาดนั้นมีกริชแกะสลักวางอยู่ “ใต้เท้าถัง โปรดดูขอรับ”
ถังเย่ว์ซานหยิบกริชขึ้นมาดู ฝักของกริชนั้นไม่มีอะไรพิเศษ แต่เมื่อเขาชักกริชออกมาจากฝัก ก็เห็นว่าระหว่างด้ามกริชและใบมีดนั้นมีอักษร ‘ชิง’ สลักอยู่
เขาพอจะเดาออกแล้วว่ากริชนี้เป็นของผู้ใด แต่ไม่เข้าใจว่าเหตุใดถึงมาอยู่ในมือของไทเฮาได้ เขาขมวดคิ้วอย่างสงสัย “นี่คือ…”
ไทเฮายังคงเอ่ยด้วยสีหน้าเรียบเฉย “หลังจากจัดการสองมือสังหารเมื่อคืนวาน พบสิ่งนี้บนตัวของพวกเขา”
ถังเย่ว์ซานเอ่ย “พวกเขาเป็นคนของกู้ฉังชิงอย่างนั้นหรือ กระหม่อมว่าแล้วเชียวว่าต้องเป็นฝีมือของพวกเขา!”
จวงไทเฮาเอ่ยเสียงเย็น “เจ้าพาทหารออกรบมานานเสียเปล่า แม้แต่กับดักตื้นเขินแค่นี้ก็ดูไม่ออกเชียวหรือ! หากเป็นคนของกู้ฉังชิงจริงๆ จะใช้ของของกู้ฉังชิงลงมือหรืออย่างไร!”
ถังเย่ว์ซานชะงักไป
หากกู้ฉังชิงไปเป็นคนลงมือฆ่าด้วยตัวเอง อาจจะพลาดทิ้งหลักฐานไว้ในที่เกิดเหตุก็เป็นได้ แต่หากมีคนอื่นเอาของของเขามา เช่นนั้นแล้วก็จะไม่เรียกว่าป้ายความผิดได้อย่างไร
จวงไทเฮาพูดต่อ “ไม่ต้องดูแล้ว ข้าตรวจสอบกับคนของจวนติ้งอันโหวเรียบร้อยแล้ว นี่เป็นกริชของกู้ฉังชิง อีกอย่างข้าได้ข่าวมาว่าคืนวานเกิดเพลิงไหม้ที่ห้องสำเร็จโทษ กู้ตูเว่ยเกือบถูกไฟคลอกตาย”
ถังเย่ว์ซานวางกริชกลับลงบนถาด ฉินกงกงยกถาดแล้วถอยกลับมายืนอีกฝั่ง
ถังเย่ว์ซานตอบ “ใช่แล้วพ่ะย่ะค่ะ แต่เขาซ่อนตัวอยู่ในด่านสิบแปดอรหันต์ จึงไม่ได้รับบาดเจ็บแต่อย่างใด”
จวงไทเฮาขมวดคิ้วหน้าบึ้งตึง “เขาต้องเข้าไปในหลบอยู่ในด่านค่ายกลเพียงเพราะเหตุเพลิงไหม้อย่างนั้นหรือ ข้าว่าต้องมีคนบังคับให้เขาไปที่นั่นอย่างแน่นอน”
“แล้วเหตุใดเขาถึงไม่จับตัวอีกฝ่ายไว้” ถังเย่ว์ซานถาม
ที่เขาสงสัยแบบนี้เพราะมีเหตุผลอย่างหนึ่ง
หากกู้ฉังชิงสู้อีกฝ่ายไม่ไหว เช่นนั้นก็แปลว่าหากเขาฝ่าค่ายกลได้ อีกฝ่ายก็ต้องผ่านไปได้เช่นกัน แล้วย่อมไล่ต้อนเขาออกมาจากค่ายกลได้เช่นกัน
ไทเฮาเอ่ยเสียงนิ่ง “หากอีกฝ่ายตลบหลังเขา บอกว่ามาเพื่อช่วยกู้ฉังชิง เป็นพวกเดียวกับเขา แล้วกู้ฉังชิงจะทำเช่นไรได้ เจ้าจะเชื่อเขา หรือว่าจะเชื่อนักฆ่าผู้นั้น”
แน่นอนว่า…เชื่อนักฆ่าคนนั้น
เพราะความเคียดแค้นบดบังสายตาของถังเย่ว์ซานไปแล้ว เขาไม่มีทางเชื่อหลักฐานที่เป็นคุณต่อกู้ฉังชิงแน่นอน
ถังเย่ว์ซานถูกไล่ต้อนจนพูดไม่ออก
จวงไทเฮาเอ่ยเสียงเนิบช้า “ข้ารู้ว่าเจ้าอยากประหารกู้ฉังชิง”
ถังเย่ว์ซานกำหมัดแน่น “แล้วเข้าไม่สมควรตายหรือพ่ะย่ะค่ะ เขาทำร้ายหมิงเอ๋อร์!”
แววตาของจวงไทเฮาเย็นวาบ ฟาดมือตบลงกับโต๊ะอย่างแรง “แต่หมิงเอ๋อร์ของเจ้าก็ทำร้ายผู้อื่นเช่นกัน!”
รังสีบารมีแก่กล้าทะลักแผ่ซ่านไปทั่วราวกับคลื่นสมุทร สุดยอดฝีมืออย่างถึงเย่ว์ซานยังต้องยอมก้มหัวอยู่ใต้ความน่าเกรงขามของพญาหงส์!
ถังเย่ว์ซานดูอ่อนน้อมลงไปมาก แต่น้ำเสียงยังคงไม่พึงพอใจ “เหตุใดไทเฮาถึงพูดเช่นนั้นเล่าพ่ะย่ะค่ะ”
“พาตัวเข้ามา!”
เมื่อสิ้นเสียงของจวงไทเฮา ขันทีทรงวรยุทธ์สองคนก็กุมตัวชายฉกรรจ์ผมเผ้ายุ่งเหยิงเดินเข้ามา
ถังเย่ว์ซานจ้องมองอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเริ่มจำอีกฝ่ายได้ “เจ้า…เจ้าคือผู้ติดตามของหมิงเอ๋อร์มิใช่หรือ คนที่ชื่อว่า…เติ้งเกอร์ผู้นั้น”
เติ้งเกอร์ทรุดเข่าลงกับพื้น “ไทเฮาโปรดไว้ชีวิตข้าเถิดพ่ะย่ะค่ะ…นายใหญ่ไว้ชีวิตข้าด้วยเถิด!”
ถังเย่ว์ซานหน้าบึ้งตึง “ที่ผ่านมาเจ้าอยู่แห่งหนใด ข้าตามหาเจ้าไปทั่ว!”
เติ้งเกอร์ร้องไห้ด้วยความหวาดกลัว “ข้า…ข้า…หลังจากที่ข้าได้ยินว่านายน้อยถูกกู้ตูเว่ยฟันแขน…ข้าก็หนีไป…”
ถังเย่ว์ซานขมวดคิ้ว “เหตุใดเจ้าต้องหนีด้วย เจ้าไม่ได้ทำร้ายใครเสียหน่อย!”
“ข้า…ข้า…” เติ้งเกอร์สั่นไปทั้งตัว ไม่กล้าพูด แต่จะไม่พูดก็ไม่กล้า “ข้า…ข้ากลัวว่ากู้ตูเว่ยจะตามล้างแค้นข้าเช่นกัน…”
ยิ่งฟังถังเย่ว์ซานก็ยิ่งมึนงง จึงเอ่ยอย่างหมดความอดทน “เจ้าเป็นใครมาจากไหน เหตุใดเขาต้องตามล้างแค้นเจ้าด้วย”
เติ้งเกอร์กุมหัว หวาดกลัวจนขดม้วนตัว “ข้า…ข้าเป็นคนมอมยาท่านชายกู้แล้วพาลงรถม้ามา…แต่ข้าทำตามคำสั่งของนายน้อยนะขอรับ…จะกล่าวโทษข้าไม่ได้…”
ถังเย่ว์ซานตวาดลั่น “มอมยาท่านชายกู้อย่างนั้นหรือ พูดจาเหลวไหลอะไรของเจ้า”
เติ้งเกอร์เอ่ยทั้งน้ำตา “นายน้อย…นายน้อยลักพาตัวท่านชายน้อยกู้…ทำมิดีมิร้ายกับท่านชายน้อยกู้….แล้ว…แล้วกู้ตูเว่ยก็มาช่วยได้ทันเวลา”
เปรี้ยง…
ถังเย่ว์ซานรู้สึกเหมือนมีสายฟ้าผ่ากลางใจกลางวันแสกๆ!