บทที่ 288 ไทเฮาออกโรง (3)
เขานิ่งงันไปอย่างไม่เชื่อหูตัวเอง ทันใดนั้นก็ก้าวเดินเข้าไปใกล้แล้วถีบเติ้งเกอร์จนกระเด็นไปอีกทาง “สารเลว! เจ้าเป็นใครถึงได้กล้าดูหมิ่นหมิงเอ๋อร์เช่นนี้!”
จวงไทเฮาขมวดคิ้ว
ฉินกงกงรีบเอ่ยเสียงขรึม “ใต้เท้าถัง ต่อหน้าพระพักตร์ไทเฮาอย่าได้ทำกิริยาหยาบช้าเช่นนี้!”
ถังเย่ว์ซานกำหมัดแน่น สกัดกั้นความคิดชั่ววูบที่จะกระทืบหัวอีกฝ่ายให้เละ
จวงไทเฮายกมือส่งสัญญาณ
ขันทีหนุ่มสองคนลากตัวเติ้งเกอร์ออกไป
ถังเย่ว์ซานสั่นสะท้านไปทั้งตัว สองตาแดงก่ำ “เป็นไปไม่ได้…หมิงเอ๋อร์ไม่มีทาง…เขาเป็นคนอยู่ในระเบียบมาโดยตลอด…จะทำเรื่องอัปยศอดสูเช่นนั้นได้อย่างไร”
คราวนี้จวงไทเฮาทนไม่ไหวอีกต่อไป นางกลอกตามองบนก่อนจะกระแอมแล้วเอ่ยด้วยเสียงเคร่งขรึม “เจ้ารู้หรือไม่ว่าท่านชายน้อยแห่งจวนติ้งอันโหวเป็นโรคหัวใจ ถูกหมิงเอ๋อร์ลักพาตัวไปย่ำยี จิตใจกระทบกระเทือนอย่างหนัก โรคหัวใจกำเริบ จวบจนบัดนี้ก็ยังไม่ฟื้น! หมิงเอ๋อร์ของเจ้าเสียแขนไปเพียงแค่ข้างหนึ่ง เจ้าก็คิดจะเอาชีวิตคนร้ายแล้ว แต่น้องชายของคนอื่นเขาอยู่ก็เหมือนตายทั้งเป็น แล้วเหตุใดเขาจะฆ่าถังหมิงไม่ได้! ถังเย่ว์ซาน เจ้าเองก็เป็นบุรุษ หากเป็นเจ้า เจ้าจะกล้ำกลืนความเคียดแค้นนี้ได้หรือ!”
หัวใจของถังเย่ว์ซานถูกทิ่มแทงครั้งแล้วครั้งเล่า ร่างทั้งร่างของเขาโอนเอนยืนไม่อยู่
ในเมื่อเรื่องราวดำเนินมาถึงขนาดนี้แล้ว อันที่จริงก็สามารถพิพากษาความผิดของกู้ฉังชิงได้แล้ว ทว่าเรื่องนี้จะกลายเป็นหนามตำใจของถังเย่ว์ซานไปชั่วชีวิต
เรื่องของถังหมิง เขานั้นเดือดดาลเพราะไม่อาจทำอะไรไปได้มากกว่านี้ แต่ก็ยังคงโทษว่าเป็นความผิดของกู้ฉังชิงอยู่ดี
จวงไทเฮาคลึงหัวคิ้วพลางเอ่ย “เจ้ารู้หรือไม่ เมื่อวานข้าเจอสิ่งใดในเสื้อผ้าของมือสังหารอีก”
“อะไรหรือพ่ะย่ะค่ะ” ถังเย่ว์ซานถามด้วยความประหลาดใจ
เห็นได้ชัดว่าจิตใจของเขาได้รับการกระทบกระเทือนอย่างหนัก แทบจะไม่สนใจเรื่องของมือสังหารแล้ว
จวงไทเฮาหยิบผงยาที่ให้กู้เจียวปรุงเมื่อเช้ามืดขึ้นมา พลางเอ่ยสีหน้านิ่งเรียบ “ข้าพบยาพิษชนิดหนึ่ง ยาพิษชนิดนี้สามารถทำให้คนเสียสติ ทำเรื่องแปลกประหลาดผิดวิสัย ข้าคิดว่าหมิงเอ๋อร์อาจจะถูกคนลอบวางยา”
ถังเย่ว์ซานเงยหน้าขึ้นมาในทันใด!
อันการปั่นหัวคนนั้น ไทเฮาคือมืออาชีพอยู่แล้ว!
จวงไทเฮาเอ่ยด้วยสีหน้าเจ็บปวด “ข้าเคยเจอเด็กที่ชื่อหมิงเอ๋อร์ แม้นิสัยจะเย่อหยิ่งจองหองอยู่บ้าง แต่ก็ไม่ใช่คนใจดำอมหิต ถึงข้าจะไม่มีหลักฐาน แต่ข้ารู้สึกว่าที่พวกเขานำยาพิษเข้าไปในจวนหยวนไซว่เมื่อคืนวาน คงหมายจะวางยาหมิงเอ๋อร์ วางยาได้ช่ำชองขนาดนี้ ข้าจึงคิดว่าอาจจะเคยวางยาหมิงเอ๋อร์มาก่อน เพื่อจะถามไถ่อาการของหมิงเอ๋อร์ให้แน่ชัด ข้าถึงได้ตามตัวผู้ติดตามผู้นั้นมา”
การคาดเดานี้ราวกับแสงตะวันเจิดจ้าในวันฟ้ากระจ่างหลังเมฆหมอกปกคลุม
ยามคนเราถูกผลักจมลงในปลักโคลน ย่อมไม่ต้องการปีนป่ายขึ้นบนหอคอยตำหนักสูงตระหง่านดังเดิม ขอเพียงแค่กลับมายืนบนพื้นได้อีกครั้ง เขาก็ดีใจจนเนื้อเต้นและยอมรับสภาพแต่โดยดีแล้ว
ถังเย่ว์ซานราวกับคว้าฝางเส้นสุดท้ายที่จะยื้อชีวิตเขาไว้ได้ ย่อมไม่ยอมตกลงไปในบ่อโคลนอีกเป็นอันขาด “เป็นเพราะยา ยา ยา… ไม่ผิดแน่! ต้องเป็นเพราะยาแน่นอน! หมิงเอ๋อร์เป็นเด็กว่านอนสอนง่าย จะทำเรื่องพรรค์นั้นได้อย่างไร เขาต้องถูกคนวางยาแน่นอน!”
จวงไทเฮาวางกับดักต่อ “เช้านี้ข้าให้คนไปเก็บถุงน้ำของกู้ตูเว่ยมาแล้ว ผลปรากฏว่าในน้ำของเขาถูกวางยาพิษเช่นกัน”
สีหน้าของถังเย่ว์ซานพลันชะงักไป
จวงไทเฮาทอดถอนใจ “เฮ้อ กู้ตูเว่ยหมายจะฆ่าหมิงเอ๋อร์ก็จริง แต่กู้ตูเว่ยคงไม่โง่ถึงขั้นลงมือกับหมิงเอ๋อร์ต่อหน้าคนมากมาย ว่ากันตามตรง ก็แค่น้องชายร่วมบิดาต่างมารดาคนหนึ่ง มิใช่แก้วตาดวงใจของเขาเสียหน่อย เขาจะยอมเสี่ยงชีวิตขนาดนั้นเชียวหรือ”
ถังเย่ว์ซานรู้สึกว่าคำพูดของไทเฮามีเหตุมีผลมาก!
เขาเอ่ยถามด้วยความสงสัย “กลายเป็นว่าเขา…เองก็ถูกคนวางยาเช่นกันอย่างนั้นหรือ”
จวงไทเฮาหันไปมองด้วยสีหน้านิ่งเรียบ “ใช่แล้ว”
ทั้งกู้ฉังชิงและถังหมิงมีพยานรู้เห็นในเวลาเดียวกัน หากถังเย่ว์ซานเชื่อคนหนึ่ง ก็ต้องเชื่ออีกคนหนึ่งเช่นกัน
แล้วถังเย่ว์ซานจะเชื่อหรือไม่
คำตอบคือเชื่อแน่นอน
เขายอมฝืนทนยอมรับว่ากู้ฉังชิงไม่ใช่คนร้ายตัวจริง ยังจะดีเสียกว่าให้เขาสงสัยว่าลูกชายของตัวเองเป็นพวกวิตถาร
วินาทีนี้ความแค้นเคืองที่ถังเย่ว์ซานมีต่อกู้ฉังชิงก็มลายหายไปจนสิ้น เขาเคียดแค้นเพียงแค่มือมืดที่อยู่หลังม่าน!
เขาคำรามลั่นด้วยความเกรี้ยวกราด “ผู้ใดกัน! ผู้ใดกล้าดีถึงขั้นปลุกปั่นให้จวนหยวนไซว่และจวนติ้งอันโหวร้าวฉาน”
จวงไทเฮาแกล้งนวดหัวคิ้วที่ไม่ได้รู้สึกเจ็บปวดเลยสักนิด ก่อนจะตัดพ้อ “ข้าเองก็จนปัญญา เมื่อคืนวานจัดการมือสังหารเร็วเกินไป ไม่ทันได้ไต่สวน ผิดที่เจ้าไม่ย่อมบอกให้ชัดว่าเรื่องราวเป็นมาอย่างไร หากฉินกงกงไม่เจอของพวกนี้ตอนขุดหลุมฝังศพ ข้าคงหาไม่เจอแม้แต่เบาะแสใกล้ตัวเช่นนี้!”
ยามนี้ถังเย่ว์ซานรู้สึกเสียดายขึ้นมา นั่นสินะ เหตุใดถึงไม่บอกกล่าวไทเฮาสักหน่อย ไทเฮาอาศัยเพียงแค่ศพสองศพยังสืบหาเบาะแสได้มากมายเพียงนี้ หากตอนนั้นตัวเองโน้มน้าวให้ไทเฮาไว้ชีวิตเพื่อไต่สวน ป่านนี้คงสาวตัวไปถึงคนร้ายที่อยู่เบื้องหลังแล้วกระมัง
ซื้อของเขาแล้วนับเงินให้เขาคงเป็นเช่นนี้สินะ
จวงไทเฮาคิดว่าปั่นหัวได้พอสมควร แล้วก็พูดเสี้ยมต่ออีกสองสามประโยคก่อนจะวางมือ “เอาละ ที่ควรพูดข้าก็พูดหมดแล้ว จะทำเช่นไรต่อเจ้าก็คิดเอาเองก็แล้วกัน หากจะฆ่ากู้ตูเว่ยจริงๆ ข้าก็จะไม่ห้ามเจ้า ก็แค่คนของฮ่องเต้คนหนึ่ง ฆ่าให้ตายเสียก็ไม่เสียดายหรอก”
ไม่เสียดายก็จริง เพียงแต่…หากเป็นทำเช่นนั้นเขาก็จะกลายเป็นหนึ่งในหมากของตัวจริงที่อยู่เบื้องหลัง ถังเย่ว์ซานจะไม่ยอมรับความอัปยศเช่นนั้นหรอก!
กู้ฉังชิงทำร้ายหมิงเอ๋อร์จนสาหัสสากรรจ์ เขาจะปล่อยให้อีกฝ่ายลอยนวลหรือ
คิดว่าเขาโง่หรือย่างไร
เหอะเหอะ นอกจากเขาจะไม่ฆ่ากู้ฉังชิงแล้ว พอเรื่องซา เขาจะเลื่อนยศให้กู้ฉังชิงด้วย!
เขาจะให้คนร้ายที่อยู่หลังม่านได้เห็นว่าถังเย่ว์ซานผู้นี้ไม่ใช่คนโง่!
…
หลังจากที่ข่าวกู้ฉังชิงจะถูกประหารชีวิตแพร่ออกไป ท่านเหล่าโหวก็ไม่เป็นอันหลับนอน
กว่าจะทนจนฟ้าสาง เขาไม่สนใจแม้แต่กินมื้อเช้า รีบมุ่งหน้าไปยังวังหลวงเพื่อขอเข้าเฝ้าฮ่องเต้ในทันที
ฮ่องเต้เองก็รู้ว่าเขามาเพราะเหตุใด
ฮ่องเต้เองก็ร้อนใจไม่ต่าง
หากเรื่องเช่นนี้เกิดขึ้นที่อื่น บางทีอาจจะหาทางแก้ไข แต่ดันมาเกิดในค่ายทหารเนี่ยสิ
ทุกเรื่องต้องเป็นไปตามธรรมนูญทหารอย่างเคร่งครัด ไม่ว่าฮ่องเต้หรือไทเฮาก็ไม่อาจยื่นมือเข้าไปยุ่งได้
ถังเย่ว์ซานไม่ได้จับกู้ฉังชิงในข้อหาฟันถังหมิงจนแขนขาด แต่เป็นข้อหาหนีทหารจากการที่เขาแหกคุกกลางดึก
นั่นคือโทษประหาร ไม่ว่าจะขุนนางชั้นใดก็ไม่มีข้อยกเว้น
ยังไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่เขาฆ่าทหารบริสุทธิ์อีกสองนายอีก
“ฝ่าบาท! หลานชายของกระหม่อมถูกใส่ร้าย! เรื่องนี้ต้องมีเงื่อนงำอย่างแน่นอน!”
กู้ฉังชิงไม่อธิบายกับท่านเหล่าโหวแม้สักทำ ท่านเหล่าโหวไม่รู้ว่ามีมือสังหารบุกเข้ามา ทั้งยังไม่รู้ว่ากู้ฉังชิงไปเยี่ยมกู้เหยี่ยน
ทว่าท่านเหล่าโหวนั้นเชื่อว่ากู้ฉังชิงไม่มีทางฆ่าคนบริสุทธิ์อย่างไร้เหตุผล ยิ่งเป็นเรื่องหนีทหารยิ่งเป็นไปไม่ได้เสียยิ่งกว่า
ฮ่องเต้ทอดถอนใจ “คิดว่าเราไม่คิดหาทางช่วยเขาหรือ หลักฐานทั้งหมดล้วนแต่เป็นโทษต่อเขา ตัวเขาเองก็สารภาพแล้ว”
นั่นคือประเด็นสำคัญ กู้ฉังชิงยอมรับว่าตัวเองแหกคุก
แม้เขาจะเป็นฮ่องเต้แต่ก็ไม่อาจแทรกแซงได้!
ฮ่องเต้กัดฟัน “หากสิ้นหนทางแล้วจริงๆ เราจะ…อนุญาตให้เจ้านำกองกำลังพลีชีพไปชิงตัวนักโทษออกมา!”
หากแต่ทำเช่นนั้น กู้ฉังชิงจะไม่สามารถใช้ชีวิตใต้แสงตะวันได้อีก
ทั้งยังไม่สามารถสืบทอดจวนโหวได้
แล้วจะต่างอะไรกับคนที่ถูกบีบให้ตายทั้งเป็น
ท่านเหล่าโหวทรุดล้มลงไปกับพื้น
ทันใดนั้นเอง เว่ยกงกงก็เดินเข้ามาด้วยท่าทางร้อนรน “ฝ่าบาท! ฝ่าบาท! เกิดเรื่องใหญ่แล้วพ่ะย่ะค่ะ! กู้ตูเว่ย…เขา…เขา…”
ท่านเหล่าโหวใบหน้าซีดเผือด “ฉังชิงเป็นอะไรไป”
เว่ยกงกงยิ้ม “เขาถูกตัดสินว่าไม่มีความผิดและถูกปล่อยตัวแล้วพ่ะย่ะค่ะ!”
ฮ่องเต้ “…”
ท่านเหล่าโหว “…”
…
หลังจากจวงไทเฮาทำภารกิจปั่นหัวครั้งยิ่งใหญ่ของวันนี้สำเร็จแล้ว นางก็รีบกลับไปยังตำหนักเหรินโซ่วในทันที
“เจียวเจียว ข้าจัดการเรียบร้อยแล้ว! ไข่หวานของข้าล่ะ”
ฉินกงกงที่เดินตามหลังจวงไทเฮามาแทบจะล้มหน้าคะมำ!
ท่านปั้นหน้านิ่วคิ้วขมวดทำเสียงเข้มปั่นประสาทคนทั้งเช้าเพื่อไข่หวานเพียงถ้วยเดียวอย่างนั้นหรือ
ท่านเป็นถึงไทเฮาเชียวนะ ช่วยวางมาดหน่อยได้หรือไม่
“ทำเสร็จแล้ว” กู้เจียวยกยิ้มมุมปาก ยกไข่หวานถ้วยหนึ่งออกมาจากห้องครัวเล็ก
จวงไทเฮาถูฝ่ามือไปมา มองไข่หวานของตัวเองอย่างปลาบปลื้ม
เจียวเจียวบอกว่าจะใส่น้ำตาลเพิ่มอีกสองช้อน ใส่ใข่สองฟอง!
น้ำตาลสองช้อนเชียวนะ ไม่คิดไม่ฝันเลยจริงๆ!
จวงไทเฮากลืนน้ำลายอึกพลางมองชามใบใหญ่ที่กู้เจียววางลงตรงหน้า
วินาทีต่อหมาสีหน้าของนางก็บึ้งตึงในทันใด
จวงไทเฮา “ไหนว่าจะใส่น้ำตาลเพิ่มสองช้อนไม่ใช่หรือ”
กู้เจียวตอบ “ข้าก็ใส่แล้วนี่”
แต่ใส่น้ำเพิ่มไปอีกสองถ้วยเช่นกัน
จวงไทเฮา “แล้ว…แล้วไหนว่าใส่ไข่สองฟองเล่า”
กู้เจียว “ก็ใส่แล้ว”
แต่ใส่เป็นไข่นกกระทาใบเล็กกระจิริด แถมยังเอาไข่แดงแยกออกอีกต่างหาก”
ไทเฮาร้องไห้คร่ำครวญอยู่ในใจ…
ข้าปวดใจนัก
แต่ข้าจะไม่พูดออกไป!
น้อยนักที่ฉินกงกงจะเห็นไทเฮาเสียเปรียบ จึงหัวเราะออกมาอย่างอดไม่ได้
จวงไทเฮาให้สายตาจ้องเขาราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ
ขณะที่ฉินกงกงนึกว่าตัวเองต้องตายอย่างไม่ต้องสงสัย จู่ๆ จวงไทเฮาก็ยกมือชี้ไปที่ฉินกงกง แล้วเอ่ยกับกู้เจียว “วันนี้ฉินกงกงเหนื่อยมากแล้ว เจียวเจียวทำให้เขาสักถ้วยสิ”
ฉินกงกงได้ยินดังนั้นก็สงสัยว่าตัวเองเสียสติไปแล้วหรืออย่างไร
ไทเฮาบอกว่าเขาเหนื่อยแล้วอย่างนั้นหรือ
แถมยังให้แม่นางกู้เข้าครัวต้มไข่หวานให้เขาด้วยตัวเองอีก
ฉินกงกงโขกหัวลงกับพื้นในทันใด “กระหม่อมมิกล้าพ่ะย่ะค่ะ! กระหม่อมมิกล้า!”
จวงไทเฮามองตาเขียว “ไม่ เจ้ากล้า”
หลังจากนั้นหนึ่งเค่อ ไข่หวานอีกถ้วยหนึ่งก็ถูกกู้เจียวยกออกมา ทว่าสีสันของถ้วยนี้ดูเข้มข้นกว่าเป็นเท่าตัว แม้จะอยู่ไกลก็นยังได้กลิ่นหอมหวานของน้ำตาลแดง
จวงไทเฮา “เจ้ามากินกับข้า”
ฉินกงกงคุกเข่าลงอย่างหวาดกลัว!
“ฉินกงกงกินสิเจ้าคะ” กู้เจียวเอ่ยด้วยรอยยิ้ม
ฉินกงกงมองไทเฮาอย่างกล้าๆ กลัวๆ คิดว่าหากตัวเองกินก็ตาย หากไม่กินก็ตาย จึงทำได้เพียงกลั้นใจนั่งลง
จวงไทเฮาเอ่ยสีหน้าจริงจัง “เจียวเจียว”
“เจ้าคะ”
“ด้านนอกมีคนเรียกเจ้าน่ะ”
“มีหรือเจ้าคะ”
จวงไทเฮาพยักหน้า “ที่สวนดอกไม้หลวง!”
“อ๋อ” กู้เจียวเดินคิ้วกระตุกออกไป
เมื่อนางเดินออกไป จวงไทเฮาก็แย่งชามไข่หวานของฉินกงกงมาในทันที!
ฉินกงกงมึนงงไปหมด “…”