บทที่ 289 ไทเฮาจอมกลั่นแกล้ง

สามีข้าคือขุนนางใหญ่

บทที่ 289 ไทเฮาจอมกลั่นแกล้ง

ข่าวที่กู้ฉังชิงถูกปล่อยตัวโดยไม่ต้องรับผิดแพร่ออกไป เรื่องพิธีประลองอันดุเดือดก็เป็นที่เลื่องลือไปทั่วทั้งเมืองหลวงแล้วเช่นกัน แต่รายละเอียดนั้นทุกคนเองก็ไม่แน่ชัด อย่างเช่นว่าเรื่องที่ถังหมิงเคยถูกคนบุกเข้ามาทารุณกรรมในจวน เรื่องนั้นยังไม่ต้องพูดถึง เอาเป็นว่าตอนนี้กู้ฉังชิงฟันถังหมิงแขนขาดเชียวนะ

แต่ถูกปล่อยตัวโดยไม่มีความผิดอย่างนั้นหรือ

ท่านเหล่าโหวเองก็ยังรู้สึกประหลาดใจ กลัวว่าข่าวของเว่ยกงกงจะมีอะไรผิดพลาด

เขารีบกลับมายังจวนโหว กลับกลายเป็นว่ากู้ฉังชิงกลับมาถึงแล้ว กำลังอาบน้ำอาบท่าอยู่ที่ห้องของตัวเอง

อยู่ในห้องสำเร็จโทษนานขนาดนั้น จิตใจเขาห่อเหี่ยวเศร้าหมอง ไม่มีกะจิตกะใจมาสนใจภาพลักษณ์ของตนเอง จนกระทั่งได้เห็นกระจกสำริด ถึงได้เข้าใจว่าสภาพของตนน่ากลัวมากแค่ไหนยามไปหากู้เหยี่ยนที่ตรอกปี้สุ่ยในคืนนั้น

กลางค่ำกลางคืนเช่นนั้น กู้เหยี่ยนไม่คิดว่าเขาเป็นผีก็ถือว่าจิตใจเข้มแข็งมากแล้ว

กู้ฉังชิงอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า สระผม โกนหนวดเครา จึงกลับมาเป็นผู้บัญชาการตูเว่ยผู้หล่อเหลาอีกครั้ง

เว้นเสียแต่ที่มุมปากยังมีรอยช้ำอยู่นิดหนึ่ง เป็นฝีมือของท่านเหล่าโหวที่ใช้แส้ฟาด

กู้เฉิงเฟิงและกู้เฉิงหลินก็มาหาเช่นกัน ทั้งสองโดดเรียนมาจากสำนักชิงเหอ แต่เพราะเป็นเรื่องสำคัญเช่นนี้ จึงไม่มีใช่ตำหนิพวกเขาทั้งสอง

“พี่ใหญ่!”

กู้เฉิงหลินเห็นกู้ฉังชิงเดินออกมาจากห้องอาบน้ำ ก็โผเข้าหากอดเขาแน่นโดยไม่ลังเล สูดกลิ่นอันคุ้นเคยจากตัวเขาและกลิ่นหอมอบอุ่นจากสบู่ ดมไปดมมาก็รู้สึกแสบจมูกขึ้นมา “พี่ใหญ่…ข้าคิดว่าจะไม่ได้เจอท่านแล้วเสียอีก…ข้าได้ยินมาว่าท่านถูกตัดสินประหารชีวิต…ข้าอยากฆ่าถังหมิงให้ตายไปเสีย…ต้องโทษที่เขา…”

พอได้ยินดังนั้น กู้ฉังชิงและกู้เฉิงเฟิงก็ชะงักไป หรือว่ากู้เฉิงหลินจะรู้เรื่องของถังหมิงแล้ว

กู้เฉิงหลินเอ่ยเสียงสะอื้น “เขาอยู่ดีไม่ว่าดีหาเรื่องกลั่นแกล้งทหารตระกูลกู้! เขาคือคนชั่วช้า! สารเลว! พี่ใหญ่ก็แค่สั่งสอนเขา แต่ตัวเขาฝีมือไม่ดีเอง สู้คนอื่นไม่ได้ ยังมีหน้ามากล่าวโทษพี่ใหญ่อีก…หากไม่ใช่เพราะเขา พี่ใหญ่กึงไม่โดนขังคุก”

เกือบไปแล้ว ที่แท้จะพูดเรื่องนี้เองหรอกเหรอ

ทั้งสองลอบถอนหายใจ

กู้เฉิงเฟิงสังเกตเห็นอย่างชัดเจนว่ากู้ฉังชิงร่างกายซูบผอมลงไปมาก แววตามืดมน แต่เขายังโกรธเรื่องที่พี่ใหญ่ปกป้องกู้เหยี่ยนจนไม่ลืมหูลืมตา แต่ก็ทนเห็นท่านพี่ถูกกู้เฉิงหลินยุดยื้อทั้งที่ยังบาดเจ็บอยู่ไม่ไหว เขาจึงผลักกู้เฉิงหลินออกไปอย่างไม่สบอารมณ์นัก “พอได้แล้ว พี่ใหญ่เพิ่งจะออกมา ร่างกายยังบาดเจ็บอยู่ เจ้าอย่าเอาแต่กอดท่านพี่แบบนั้น!”

“ฮือ” กู้เฉิงหลินปาดน้ำตาแล้วคลายท่อนแขนออก มองกู้ฉังชิงน้ำตาคลอ “พี่ใหญ่ ท่านผอมลง”

กู้เฉิงเฟิงเอ่ย “เช่นนั้นก็ไปสั่งให้คนในครัวทำอะไรอร่อยๆ มากินสิ!”

ในที่สุดกู้เฉิงหลินก็ฟังออกเสียที่ว่ากู้เฉิงเฟิงอารมณ์ไม่ดีสักเท่าไหร่ “พี่รองโมโหอะไร พี่ใหญ่กลับมาทั้งที ท่านควรจะดีใจไม่ใช่หรือ”

นั่นสิ เขาโมโหเรื่องอะไรกัน ก็แค่พี่ใหญ่ดีกับกู้เหยี่ยนมากกว่าเขาและกู้เฉิงหลินเอง

กู้เฉิงเฟิงเดือดปุด

กู้ฉังชิง “…”

กู้เฉิงหลิน “…”

“เจ้าก็ออกไปเถิด ข้ามีเรื่องจะคุยกับพี่ใหญ่เจ้า” ท่านเหล่าโหวสั่งกู้เฉิงหลิน

“ขอรับ” ท่านปู่เอ่ยปากสั่งแล้ว กู้เฉิงหลินจะไม่ทำตามก็ไม่กล้า เขามองกู้ฉังชิงอย่างอาลัยอาวรณ์ ก่อนจะเอ่ยเสียงแผ่วเบา “พี่ใหญ่ เดี๋ยวตอนเย็นข้าจะมาหาท่านอีก”

“อืม” กู้ฉังชิงพยักหน้ารับ

หลังจากกู้เฉิงหลินออกไป ท่านเหล่าโหวก็สั่งให้บ่าวรับใช้ออกไปเช่นกัน

ภายในห้องพลันเงียบสงัดขึ้นมา

สองปู่หลานสบตากันแต่ไม่พูดไม่จา

ท่านเหล่าโหวมองดูบาดแผลบนร่างกายของกู้ฉังชิง อันที่จริงเขาก็ฝืนใจไม่น้อย เพียงแต่ในสถานการณ์เช่นนั้นหากเขาไม่ลงโทษกู้ฉังชิง ถังเย่ว์ซานก็จะเป็นคนลงโทษกู้ฉังชิงแทน

ยังดีที่เขารู้จักยั้งแรง หากเป็นถังเย่ว์ซานลงมือเองก็ไม่แน่ว่าจะเป็นเช่นไร

ความจริงแล้วก็เป็นโชคดีเช่นกันที่เขาบาดเจ็บ ถังเย่ว์ซานถึงได้เชื่อว่าเขาไม่มีทางคือคนร้ายที่บุกเข้าไปตัดกล่องดวงใจของถังหมิง

ทว่าสองปู่หลานคู่นี้นิสัยเหมือนกันไม่มีผิด เป็นคนจำพวกหยิ่งในศักดิ์ศรีในเรื่องที่ไม่ถูกไม่ควร ไม่เคยแก้ต่างให้ตัวเอง

ท่านเหล่าโหวเข้าประเด็น “เรื่องของถังหมิงคือเรื่องอะไรกันแน่ เหตุใดถังเย่ว์ซานถึงปล่อยตัวเจ้า แต่ก่อนหน้านี้หัวเด็ดตีนขาดอย่างไรก็ไม่ยอมปล่อยเจ้า”

ส่วนเรื่องที่เหตุใดกู้ฉังชิงถึงได้เดือดดาลจนฟันแขนถังหมิงทั้งยังแหกคุกอีกนั้น เรื่องแรกท่านเหล่าโหวไปสืบถามจนรู้ความแล้ว ส่วนเรื่องหลังท่านเหล่าโหวเชื่อว่ากู้ฉังชิงคงไปตามล่ามือสังหารเป็นแน่

ในสามคำถามนี้ กู้ฉังชิงตอบเพียงแค่คำถามที่สอง “ถังเย่ว์ซานจับตัวคนร้ายที่บุกเข้าไปในค่ายทหารเมื่อคืนวันนั้นได้แล้ว จากเบาะแสที่พบบนร่างของคนร้าย จึงได้รู้ว่าข้าบริสุทธิ์ แล้วก็ได้รู้ว่าคนที่อยู่เบื้องหลังกำลังวางแผนยุยงให้จวนติ้งอันโหวและจวนหยวนไซว่แตกหัก เขาไม่อยากคิดกับดัก จึงปล่อยตัวข้าออกมา”

“เจ้ารู้ได้อย่างไร” ท่านเหล่าโหวถาม

“เขาเป็นคนบอกข้าเอง” กู้ฉังชิงตอบ

นั่นคือความจริง

เพียงแต่ไม่ใช่ทั้งหมด

ถังเย่ว์ซานยังบอกอีกว่า เขาถูกวางยาถึงได้ทำร้ายถังหมิง ให้เขารีบไปหาหมอ

ตอนนั้นเขามึนงงไปหมด ไม่เข้าใจว่าเหตุใดถังเย่ว์ซานถึงได้พูดเช่นนั้น

ถังเย่ว์ซานบอกอีกว่า ถังหมิงเองก็ไม่ได้ตั้งใจและถูกคนวางยาเช่นกัน หวังว่าพวกเราทั้งสองจะไม่ผิดใจกันเพียงเพราะคนชั่วที่ชักใยอยู่เบื้องหลัง

ถังหมิงเป็นคนเช่นไร กู้ฉังชิงรู้อยู่เต็มอก ไม่มีทางถูกวางยาแน่นอน

ทว่าระหว่างเดินทางกลับ เขาถึงเพิ่งเริ่มเข้าใจ ที่สั่งให้เขาเผาห้องสำเร็จโทษและแสร้งทำเป็นหลบหนีนั้น เพื่อที่จะหลอกล่อให้คนร้ายใช้เป็นเหตุป้ายความผิดให้แก่เขา

วันนี้ถังเย่ว์ซานบอกเขาว่าคนร้ายถูกจัดการแล้ว กู้ฉังชิงก็คิดว่าถังเย่ว์ซานจับคนร้ายตัวจริงได้

ส่วนเรื่องที่กู้เจียวมีส่วนเกี่ยวข้อง กู้ฉังชิงไม่ได้บอกให้ท่านเหล่าโหวรู้

ท่านเหล่าโหวไม่เคยประมือกับคนร้าย จึงไม่รู้ว่าเจ้าคนร้ายนั้นเล่ห์เหลี่ยมเพียงใด ด้วยความสามารถของถังเย่ว์ซานจะตามจับได้ก็ไม่ใช่เรื่องแปลก จึงไม่ได้รู้สึกสงสัยแต่อย่างใด

แม้ท่านเหล่าโหวอยากจะรู้เหลือเกินว่ากู้ฉังชิงและถังหมิงบาดหมางไม่ลงรอยกันเรื่องอะไรกันแน่ แต่กู้ฉังชิงกลับไม่ยอมปริปากแม้แต่คำเดียว ท่านเหล่าโหวเองก็ไม่ซักไซ้

ท่านเหล่าโหวกำชับให้เขาพักผ่อนให้ดี สองสามวันนี้ยังไม่ต้องไปที่ค่ายทหาร ก่อนจะลุกขึ้นแล้วเดินออกจากห้องไป

เรื่องราวใหญ่โตถึงเพียงนี้ ถังเย่ว์ซานไม่เพียงต้องการสืบรู้ว่าใครคือผู้ที่ชักใยอยู่เบื้องหลัง เขาอยากจะรู้นักว่าใครกันที่แทงข้างหลังเขา

ท่านเหล่าโหวออกไปได้ไม่นาน กู้เฉิงเฟิงก็กลับมาอีกครั้ง

เขาบ่นอุบอิบอยู่พักใหญ่ก่อนจะนึกเรื่องสำคัญขึ้นมาได้ ว่าตัวเองมาเพื่อถามเรื่องหนึ่งกับกู้ฉังชิงให้แน่ชัด

“พี่ใหญ่ ท่านรู้หรือไม่นางเด็กผู้นั้นรู้จักกับไทเฮา” เขาถาม

กู้ฉังชิงที่กำลังเช็ดกระบี่ยาวของตนเอง พอได้ยินดังนั้นก็เหลียวไปมองเขา สายตาหยุดอยู่บนร่างของเขาแวบหนึ่ง ก่อนจะก้มหน้าขัดเช็ดถูกระบี่ต่อ “ใช่ รู้จัก”

แค่นี้เองหรือ

ช่วยตอบให้จริงใจหน่อยไม่ได้หรืออย่างไร

คิดว่าเขาจะแฉความลับของนางเด็กนั่นรึ

“ข้าเองก็เห็นกับตา!” กู้เฉิงเฟิงมุมปากกระตุก

กู้ฉังชิงชะงักไปก่อนจะเอ่ย “เรื่องบางเรื่องอย่าได้รู้มากเกินไป นางกับไทเฮาจะรู้จักกันหรือไม่ ก็ไม่ได้เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ในเมืองหลวง”

กู้เฉิงเฟิงส่งเสียงฮึดฮัด “พูดอย่างกับว่าข้าจะไปฟ้องท่านปู่อย่างไรอย่างนั้น อีกอย่าง ใครจะไปอยากรู้ความลับของนางเด็กนั่นกัน”

ข้ารู้เยอะกว่าท่านพี่เป็นไหนๆ!

รู้หรือไม่ว่านางตัวแสบนั่นบุกไปสั่งสอนถังหมิง

รู้หรือไม่ว่าข้ากับนางไปดักซุ่มจับตัวคนร้ายที่จวนหยวนไซว่

รู้หรือไม่ว่าไทเฮาช่วยพวกเขาทั้งสองคนจากเงื้อมมือของถังเย่ว์ซาน

เหอะ เหอะ เหอะ!

กู้เฉิงเฟิงสะบัดหน้าหนี เชิดหน้ามองฟ้าเดินปั้นปึ่งออกไป

กู้ฉังชิงรู้สึกว่าวันนี้น้องรองแปลกพิกล จึงได้แต่ส่ายหน้า

ทว่าในวินาทีนั้นกู้เฉิงเฟิงที่เดินจากไปแล้วก็ปรากฏตัวขึ้นนอกหน้าต่างของเขา ทั้งยังเท้าสะเอวตะโกนเสียงดังลั่นอีกต่างหาก “ข้าเคยขี่ม้ากับนาง ดื่มเหล้ากับนาง แล้วก็ปาหินกับนางด้วย!”

พูดจบก็วิ่งหนีไป!

กู้ฉังชิง “…!!”

อีกฟากหนึ่ง กู้เจียวที่อยู่ที่ตำหนักเหรินโซ่วตลอดทั้งคืนก็กำลังจะกลับบ้านเสียที

เมื่อคืนยามที่มาถึงนางสวมชุดตระเวนราตรี แต่ในตำหนักของไทเฮาก็มีเสื้อผ้าของเด็กสาวอยู่บ้าง ไม่รู้ว่าตัดเย็บขึ้นมาเพื่อนางโดยเฉพาะหรืออย่างไร เพราะว่าช่างพอดีตัวเหลือเกิน

กู้เจียวเปลี่ยนเป็นชุดกระโปรงผูกเอวสีฟ้าอ่อน เส้นผมรวบขึ้นอย่างเรียบง่าย ปล่อยให้ผมหางม้ายาวสยายประบ่า ประดับปิ่นที่เซียวลิ่วหลังมอบให้ในวันพิธีปักปิ่น

จวงไทเฮาให้คนยกตะกร้าเครื่องประดับมา

ทว่านางไม่รับไว้แม้สักชิ้น

แต่กลับถูกใจหน้ากากชิ้นหนึ่งที่มีก้านขนนกยูงเหมือนอันเดิม บนหน้ากากฝังหินภูเขาไฟ หรือที่เรียกว่าหินอาทิตย์ทมิฬ

นางสวมหน้ากากแล้วส่องกระจก

อืม สวยดี!

“ขอบคุณท่านย่ายิ่งนัก” กู้เจียวเอ่ยขอบคุณ

จวงไทเฮาส่งเสียงฮึดฮัด

ฉินกงกงส่งกู้เจียวถึงตรอกปี้สุ่ยเพิ่งจะกลับมาถึงวังหลวง

ฉิงกงกงมาพร้อมกับข่าว คนในบ้านรู้ว่ากู้เจียวค้างแรมกับท่านย่าก็วางใจ มีเพียงเสี่ยวจิ้งคงที่ตื่นมาแล้วไม่เจอกู้เจียวในตอนเช้า ก็ปากยื่นจนแขวนตะเกียงได้สองใบ

กู้เจียวตั้งใจว่าจะไปรับเสี่ยวจิ้งคงหลังเลิกเรียนสักหน่อย ให้เด็กน้อยตื่นเต้นดีใจ

ทว่ากู้เจียวรออยู่หน้ากั๋วจื่อเจียนอยู่นานแล้วแต่ก็ยังไม่เห็นเสี่ยวจิ้งคงออกมาเสียที ทว่าสิ่งที่กู้เจียวยังไม่รู้ก็คือ เสี่ยวจิ้งคงถูกเรียกผู้ปกครองอีกแล้ว

ส่วนผู้ปกครองก็คือเซียวลิ่วหลัง

ตั้งแต่ที่เซียวลิ่วหลังเข้าสำนักฮั่นหลิน ผู้บังคับบัญชาเบื้องบนยังไม่เรียกตัวเขาบ่อยเท่าถูกเรียกผู้ปกครองเลย

“คะ…คราวนี้เรื่องอะไรอีกเล่า” ตอนที่หลิวเฉวียนรายงานเขา เซียวลิ่วหลังก็กำหมัดแน่พลางถามหลิวเฉวียน หลิวเฉวียนใบหน้าเหยเกจนแทบดูไม่ได้ “ท่าน…ท่านไปดูด้วยตนเองจะดีกว่า!”

เซียวลิ่วหลังกัดฟันเอ่ย “มีอะไรที่ยังพูดไม่ได้อีก แม้แต่อาจารย์เขาก็ยังทำเอาโมโหจนร้องไห้มาแล้ว ยังมีเรื่องใดที่ร้ายแรงกว่านั้นอีก”

หลิวเฉวียนเกาหัวยิ้มเจื่อน เหอะ เหอะ มีที่ร้ายแรงกว่านั้นจริงๆ

เซียวลิ่วหลังสูดหายใจลึก ปกติแล้วเขาไม่ใช่คนอารมณ์ร้าย แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเขาโมโหไม่เป็น เพียงแต่การฝึกฝนจิตทำให้เขาปิดบังความโกรธไว้ได้

แต่เจ้าเณรน้อยผู้นี้กระตุกหนวดเขาครั้งแล้วครั้งเล่า จนเขาแทบจะระเบิดอารมณ์ออกมาแล้ว

หลิวเฉวียนนึกในใจ รอท่านเข้าไปก่อนค่อยระเบิดเถอะ กลัวว่าหากเดือดดาลเอาตอนนี้ ประเดี๋ยวยังต้องระเบิดอีก

เซียวลิ่วหลังและหลิวเฉวียนไปยังกั๋วจื่อเจียน

อาจเป็นเพราะถูกเสี่ยวจิ้งคงแกล้งจนกลายเป็นบาดแผลในใจไปแล้ว พอเกิดเรื่องครั้งนี้ อาจารย์ซุนจึงเรียกอาจารย์เจี่ยงออกมาเพื่อควบคุมสถานการณ์

สีหน้าของอาจารย์ทั้งสองยากจะอธิบายด้วยคำพูด

เซียวลิ่วหลังเหลือบมองอาจารย์ซุน ไม่ได้ร้องไห้ แล้วก็ไม่ได้รับบาดเจ็บ แล้วก็ไม่มีเด็กคนอื่นมาฟ้องเอาเรื่อง คงไม่ได้ทำความผิดร้ายแรงอะไรหรอกกระมัง

“อาจารย์ซุน เกิดเรื่องอันใดขึ้นกับจิ้งคงหรือ” เขาเอ่ยถามเสียงนอบน้อม

ระหว่างอาจารย์ซุนกับเขาได้วางเดิมพันกันไว้ เพียงแต่อาจารย์ซุนไม่เคยคิดว่าเซียวลิ่วหลังจะชนะ เพราะอย่างนั้นเขาจึงลืมเรื่องเดิมพันไปเสียสนิท วันนี้เขามาพูดคุยกับเซียวลิ่วหลังในฐานะของอาจารย์ของเสี่ยวจิ้งคง “เจ้า…ไปดูเอาเองที่ห้องเรียนเถิด”

เมื่อเขามาถึงหน้าประตู ก็รู้สึกว่าวันนี้ห้องเรียนนั้นสว่างเป็นพิเศษ พอตั้งใจดูให้ชัดอีกที ที่แท้เป็นเพราะบรรดาหัวโล้นน้อยๆ กำลังสะท้อนแสง!

เขามึนงงไปหมด สงสัยว่าตัวเองมาผิดห้อง จึงถอยเท้ากลับตามสัญชาตญาณ

อาจารย์ซุนหัวเราะเสียงเจื่อน

เซียวลิ่วหลังเป็นคนที่ผ่านร้อนผ่านหนาวมาพอสมควร ไม่นานก็ตั้งสติได้ ในใจของเขาตื่นตระหนกดั่งคลื่นซัดโหมกระหน่ำ ทว่ากลับไม่แสดงออกมาทางสีหน้าเลยแม้แต่นิด “นี่เป็น…ฝีมือของจิ้งคงอย่างนั้นหรือ”

อาจารย์ซุนพยักหน้า เขาแทบจะน้ำตาเล็ดแล้ว “เขาโกนหัวคนเกือบครึ่งห้อง…หนึ่งในนั้นมีองค์ชายด้วยพระองค์หนึ่ง แล้วก็ยังมีลูกหลานของขุนนางใหญ่หลายคน…”

แม่เจ้า เกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้นในชั้นเรียน อาจารย์อย่างเขาจะรอดชีวิตหรือไม่!

โชคดีที่เซียวลิ่วหลังเตรียมใจมาแล้ว แต่ตอนที่อาจารย์ซุนเข้ามาในห้องนั้นยังไม่รู้ว่าเกิดเรื่องอันใดขึ้น พอเขาเปิดประตูเข้ามา ก็เห็นเณรน้อยกลุ่มหนึ่ง ภาพนั้นสะเทือนใจเขาไม่น้อย

เซียวลิ่วหลังเอ่ย “ว่าแต่ เหตุใดเขาถึงทำเช่นนั้น”

อาจารย์ซุนอยากจะร้องไห้ “ปัญหาอยู่ที่จุดนี้นั้นแล ไม่รู้ว่าจิ้งคงบังคับหรือว่าพวกเขาแต่ละคนขอให้จิ้งคงช่วยบวชให้กันแน่”

ใช่ นี่คือการบวช

อาจารย์ซุนจำได้แจ่มชัด ตอนที่เสี่ยวจิ้งคงเล่าก็ใช้คำพูดนี้

เซียวลิ่วหลังปวดหัวไปหมด!

เจ้าเด็กน้อยนี่บวชคนจนติดลมบนไปแล้วหรืออย่างไร!

อีกอย่าง เหตุใดเขาถึงพกมีดโกนมาที่กั๋วจื่อเจียนได้

เซียวลิ่วหลังสกัดกลั้นอารมณ์โกรธ แล้วเรียกเสี่ยวจิ้งคงออกมา “ว่ามา เกิดเรื่องอะไรขึ้น เหตุพวกเขาถึงขอให้เจ้า…บวชให้”

เสี่ยวจิ้งคงร้องอ๋อ ก่อยจะยักไหล่เอ่ย “เพราะพวกเขาอยากฉลาดเหมือนข้า!”

เขาพูดจบก็ใช้ฝ่ามือน้อยตบลงบนหัวโล้นของตัวเองเบาๆ “ท่านย่าบอกว่า คนฉลาดล้วนแต่ไม่มีผมกันทั้งนั้น ถึงได้เรียกคนฉลาดว่าหัวใส!”

เมื่อวานท่านย่ามาเล่นไพ่ เขาเศร้าใจเป็นอย่างมาก ถามท่านย่าว่าเหตุใดเส้นผมของเขาถึงไม่งอกเสียที ท่านย่าจึงบอกกับเขาแบบนั้น!

เซียวลิ่วหลังมุมปากกระตุก!

ท่ายย่า!

ท่านย่าจะหลอกเด็กแบบนี้ไม่ได้!

“ฮัดเช่ย!”

ณ ตำหนักเหรินโซ่ว จวงไทเฮาที่กำลังอ่านสาส์นกราบทูลข้อราชการของขุนนางอยู่ก็พลันจามออกมา

เฮ้อ เจียวเจียวคงคิดถึงข้าอยู่เป็นแน่!

เสี่ยวจิ้งคงเป็นที่หนึ่งของชั้น ทั้งยังไม่เคยพูดโกหก เพราะอย่างนั้นคำพูดของเขาจึงมีน้ำหนักเป็นอย่างมาก

เขาบอกว่าโกนแล้วจะฉลาด ไม่มีผู้ใดไม่เชื่อเขาแม้สักคน

ฉินฉู่อวี้เป็นสหายผู้กล้าคนแรก คนที่สองคือสวี่โจวโจว หลังจากนั้นสถานการณ์ก็เหนือการควบคุม

หากไม่ใช่เพราะอาจารย์ซุนมาถึงเร็ว ไม่อย่างนั้นทั้งห้องคงถูกเสี่ยวจิ้งคงโกนหัวจนเกลี้ยงแล้ว

อย่าว่าอย่างนั้นอย่างนี้เลย เขาโกนได้เก่งไม่เบา

อย่างไรก็ตามแต่ เด็กอายุสี่ขวบคนหนึ่งเหตุใดถึงได้มีฝีมือขนาดนี้

อาจารย์ซุนมึนงงไปหมด “เหตุใดเขาถึงโกนหัวเป็น เมื่อก่อนเขาเป็นพระหรือ”

เซียวลิ่วหลัง “ใช่ขอรับ”