บทที่ 290.1 ออดอ้อน (1)

สามีข้าคือขุนนางใหญ่

บทที่ 290 ออดอ้อน (1)

กู้เจียวรออยู่ที่หน้าประตูกั๋วจื่อเจียนนานแล้วแต่ก็ไม่เห็นเสี่ยวจิ้งคงออกมาเสียที จึงถามยามถึงได้รู้ว่ายังไม่เลิกเรียน นางจึงตั้งใจว่าจะรอต่อไป

ทว่ารอเพียงไม่นาน เสี่ยวซานจื่อก็มาหาด้วยสีหน้าร้อนรน “แม่นางกู้! มีคนไข้ที่ต้องรักษาโดยด่วน หมอในโรงหมอออกตรวจข้างนอกกันหมด มีเพียงหมอหลูอยู่ที่โรงหมอ เขาเองก็ปลีกตัวไม่ได้เพราะที่โรงหมอมีคนไข้!”

“รู้แล้ว ข้าจะไปรักษาเอง” กู้เจียวขึ้นนั่งบนรถม้าของเสี่ยวซานจื่อ แล้วกลับไปหยิบกล่องยาที่ตรอกปี้สุ่ยก่อน จากนั้นก็ไปโรงหมอเพื่อพบกับเด็กหนุ่มคนหนึ่งที่มาหาหมอ

เสื้อผ้าอาภรณ์ที่เด็กหนุ่มสวมใส่ดูไม่เหมือนมาจากตระกูลร่ำรวยแต่อย่างใด เขาติดรถม้าคนอื่นมาที่นี่ ตอนกลับก็นั่งอยู่นอกตัวรถเหมือนกับเสี่ยวซานจื่อ

อากาศยามเดือนห้านั้นไม่หนาว ตอนบ่ายถึงขั้นร้อนอบอ้าวเสียด้วยซ้ำ

หนุ่มน้อยนั่งตากลมอยู่ข้างนอก

จากคำบอกเล่าของเด็กหนุ่ม กู้เจียวจึงได้รู้ว่าสถานที่ที่พวกนางกำลังจะมุ่งหน้าไปนั้นเรียกว่าบ้านเมตตา หรือเทียบเท่ากับสถานสงเคราะห์เด็กกำพร้าในชาติก่อนของกู้เจียว แต่ละที่ล้วนแต่มีบ้านเมตตา เกินกว่าครึ่งเปิดทำการโดยศาลาว่าการ ทั้งยังมีบ้านเมตตาที่เปิดทำการโดยบรรดาเศรษฐีประจำท้องที่ที่มีจิตใจเมตตา มีความสุขที่ได้ช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์

มีสถานสงเคราะห์เด็กกำพร้าด้วยหรือนี่ กู้เจียวจึงถือโอกาสถามด้วยว่ามีบ้านพักคนชราหรือไม่

เด็กหนุ่มตอบ “แม่นางหมายถึงสถานพยาบาลใช่หรือไม่ ถนนเส้นนี้ไม่มีสถานพยาบาลหรอก ต้องเป็นถนนซีหลิ่วนู่นถึงจะมี ส่วนใหญ่จะรับพยาบาลทหาร ช่างฝีมือที่แก่ชรา พิการ หรือไม่ก็ไร้ลูกหลานดูแล ชาวบ้านทั่วไปไม่ค่อยไปที่นั่น”

“เพราะเหตุใดหรือ” กู้เจียวถาม

เด็กหนุ่มหัวเราะเสียงขื่น “ดูแลไม่ไหวน่ะสิ”

กู้เจียวไม่ถามต่อแล้ว

ไม่ว่ายุคสมัยไหนหน่วยงานด้านสังคมสงเคราะห์ก็ยังคงเหมือนเดิมสินะ ใช่ว่าอยากไปก็ได้ไป แต่ก็มีจุดกำเนิดจากความตั้งใจดี ทั้งยังช่วยบรรเทาปัญหาของชาวเมืองได้บ้าง

บ้านเมตตาตั้งอยู่ในพื้นที่ห่างไกล รถม้าวิ่งคดเคี้ยวไปมากว่าครึ่งชั่วยามในที่สุดก็มาถึงหน้าประตูบ้านเมตตา

สีบนแผ่นป้ายนั้นถลอกปอกเปิก ประตูใหญ่ก็ร้าวเป็นรอยแตกระแหง บนกำแพงมีทั้งเชื้อราและตะไคร่น้ำเกาะประปราย

ทรุดโทรม

นี่คือภาพจำแรกในหัวของกู้เจียว

เมื่อเดินเข้าประตูไปก็จะเป็นเรือนหลังใหญ่ ตัวเรือนแบ่งส่วนจัดสรรคล้ายกลับเรือนของพวกนาง ด้านซ้ายมือขุดแปลงผัก ด้านขวามือขุดเป็นบ่อปลาเล็กๆ ห้องภายในเรือนเชื่อมต่อกัน ดูเหมือนว่าผู้ใหญ่จะพักอยู่ที่นี่

เมื่อเดินผ่านโถงใหญ่ เรือนหลังที่สองถึงจะเป็นที่ที่ให้เด็กๆ อยู่อาศัย

ภายในลานบ้านตากเสื้อผ้าของเหล่าเด็กๆ ไว้มากมาย เนื้อผ้าถือว่าใช้ได้ ทั้งใหม่ทั้งสะอาด ไม่มีรอยเย็บปะ

ตอนนี้ใกล้จะถึงเวลาอาหารเย็นแล้ว บรรดาเด็กในบ้านเมตตาต่างนั่งกินข้าวกันอยู่ที่โรงอาหารฝั่งตะวันออก

กู้เจียวสูดกลิ่น มีทั้งกลิ่นหอมของผักและเนื้อสัตว์ อาหารการกินก็นับว่าไม่เลวนี่

ดูท่าแล้วบ้านเมตตาคงใช้เงินไปกับที่ที่ควรใช้จริงๆ

“คนป่วยอยู่ที่ใดหรือ” กู้เจียวถาม

เด็กหนุ่มตอบ “ท้ายเรือนนู่น โปรดตามข้ามา”

คนป่วยอยู่ในห้องห้องหนึ่งในเรือนชั้นที่สาม ตำแหน่งทิศที่ตั้งของห้องจัดว่าไม่ค่อยดีนัก ยามฤดูหนาวก็หนาวจัด ยามฤดูร้อนก็ร้อน ยามฟ้าฝนเทลงมาก็ถูกฝนสาด

กู้เจียวเพิ่งจะก้าวพ้นธรณีประตูเข้ามาก็สัมผัสได้ถึงมวลร้อนอบอ้าว ไม่ต้องเดาก็รู้ว่าการอยู่ในห้องนี้ไม่สบายเลยสักนิด

เด็กหนุ่มยืนอยู่ที่หน้าประตู เกาหัวไปมาพลางเอ่ย “ข้ากับท่านพี่ผู้นี้คงไม่เข้าไปแล้ว รบกวนแม่นางช่วยรักษาแม่นางกู้ให้หายดีด้วยเถิด”

เสี่ยวซานจื่อสงสัยว่าอีกฝ่ายพูดกลับกันหรือเปล่า ต้องพูดว่า ‘รบกวนแม่นางกู้ช่วยรักษาแม่นางให้หายดีด้วยเถิดมิใช่หรือ’

เมื่อกู้เจียวเดินเข้าไปก็เข้าใจแล้วว่าเหตุใดเด็กหนุ่มถึงได้พูดเช่นนั้น คนป่วยที่นอนอยู่บนเตียงอันหนาวเหน็บภายในห้องคือกู้จิ่นอวี๋นี่เอง

กู้เจียวไม่ได้เจอกู้จิ่นอวี๋มานานแล้ว นางคิดไม่ถึงเลยว่าจะได้พบอีกฝ่ายที่นี่

กู้จิ่วอวี๋สวมชุดผ้าป่านเหมือนชาวเมืองทั่วไป เครื่องประดับปิ่นมุกบนหัวหายไปแต่แทนที่ด้วยผ้าคาดผมเรียบง่ายสองผืน

ใบหน้าของนางซูมผอมลงไปมาก สีผิวเองก็ไม่ได้ขาวเนียนดุจหยกเหมือนยามที่ได้รับการขีดสีฉวีวรรณที่จวนโหว ดูก็รู้ว่าไม่ได้ออกเป็นเห็นเดือนเห็นตะวันสักเท่าไหร่

นางดูเหมือนจะตัวสูงขึ้นเล็กน้อย

ในดวงตาของกู้จิ่นอวี๋ฉายแววประหลาดใจ คาดไม่ถึงเลยว่ากู้เจียวจะเป็นคนมารักษา

นางมองกู้เจียวด้วยสีหน้าซับซ้อน ริมฝีปากเผยออ้า สุดท้ายก็เอ่ยด้วยเสียงแผ่วเบา “เจ้าเองหรือ”

คราวนี้นางไม่เรียกว่าพี่สาวอีกต่อไป

กู้เจียวเองก็ไม่ได้คิดเงินเพราะคำว่าพี่สาว นางรับเงินจากอีกฝ่ายเพื่อรักษาอาการป่วยก็เพียงเท่านั้น

นางเดินเข้าใกล้แล้วนั่งลงบนเก้าอี้ข้างเตียง “ไม่สบายตรงไหนหรือ”

กู้จิ่นอวี๋หลบตาลงพลางเอ่ยเสียงแผ่วเบา “มีระดู ปวดท้อง เมื่อครู่ปวดจนเป็นลมไป“

“ยื่นมือออกมา” กู้เจียวเอ่ย

กู้จิ่นอวี๋ค่อยๆ ยื่นมือขวาออกมา

กู้เจียวไม่ได้ใกล้ชิดกับกู้จิ่นอวี๋บ่อยนัก แต่มือคู่นี้นางเคยเห็นมาก่อน สิบนิ้วที่ไม่เคยโดนฝนหรือต้องลมมาก่อน ผิวเนียนละเอียดดุจกระเบื้องเคลือบ กระจ่างใสดุจหยกงาม ทว่าวันนี้กลับหยาบกร้านขึ้นหลายเท่าตัว

แม้จะไม่เหมือนมือของกู้เจียวที่มีบาดแผลเล็กใหญ่ แต่ความเปล่งประกายที่เคยมีนั้นได้หายไปแล้ว

คือมือที่ผ่านการตรากตรำ

กู้เจียวจับชีพจรให้นางก่อนจะชักมือกลับแล้วเอ่ยขึ้น “หน้าท้องถูกลมหนาว มีอาการเลือดคลั่ง กินยาคลายกล้ามเนื้อเส้นเลือดก็หายแล้ว ยาแก้ปวดก็จะให้สี่ห้าเม็ด หากปวดจนทนไม่ไหวก็กินหนึ่งเม็ด อย่าฝืนทนจนตัวเองเป็นลมล้มพับไปอีก”

กู้เจียวพูดจบ กันเอี้ยวตัวไปปลดตะกร้าบนหลังแล้ววางลงบนโต๊ะ ก่อนจะหยิบยาออกมาจากกล่องยาใบน้อยแล้วแบ่งใส่ในขวดกระเบื้อง ใช้ดินสอเขียนวิธีกินและปริมาณบนผ้าแถบที่แปะติดกับขวด

กู้เจียวไม่ถามว่าเหตุใดนางถึงปรากฏตัวอยู่ที่บ้านเมตตาได้ ไม่ถามว่านางมาที่นี่เองหรือว่าจวนโหวบีบบังคับให้นางออกมา กู้เจียวแบ่งยาให้นางเสร็จแล้วก็ตั้งใจว่าจะกลับทันที

“ท่านพี่” จู่ๆ กู้จิ่นอวี๋ก็เอ่ยเรียกนางขึ้นมา สีหน้าและน้ำเสียงแฝงไปด้วยความประหม่า “ท่านแม่กับน้องชายสบายดีหรือไม่”

“สบายดี” กู้เจียวตอบอย่างชัดเจนแจ่มแจ้ง

“ขอโทษ” นางเอ่ยเสียงแผ่วเบา ทั้งยังสะอื้นในลำคอ

กู้เจียวเอ่ยเสียงเรียบ “คนป่วยไม่ต้องขอโทษหมอหรอก”

กู้จิ่นอวี๋จ้องมองกู้เจียวพลางเอ่ย “ข้ารู้ว่าท่านไม่อยากฟังสักเท่าไหร่ แต่ข้าไม่ได้เสแสร้งเล่นละคร ข้าได้มาใช้ชีวิตที่บ้านเมตตาอยู่ระยะหนึ่ง ถึงได้รู้ซึ้งอย่างแท้จริงว่าคืนวันของคนยากคนจนนั้นลำบากแค่ไหน ในตอนนั้นชีวิตของท่านพี่คงลำบากกว่าพวกข้ามาก ได้ยินมาว่าคนบ้านนั้นมักจะให้ท่านพี่อดข้าวอยู่บ่อยๆ ทั้งยังทุบตีด่าทอท่านพี่ บังคับให้ท่านพี่ทำงาน หากไม่ใช่เพราะอุ้มผิดตัว เดิมทีคนที่ต้องรับเคราะห์กรรมทั้งหมดนั้นต้องเป็นข้า

ข้าแย่งชีวิตของท่านพี่ แต่พอท้ายที่สุด ข้ากลับอิจฉาท่านพี่เพราะไม่ได้รับความห่วงใยจากท่านแม่และน้องชาย ดูถูกท่านพี่เพราะท่านเป็นชาวไร่ชาวนาที่มาจากบ้านนอก…

บ้านเมตตามีเด็กหลายคนที่ทั้งฉลาดและไหวพริบดี แต่พวกเขาถูกทอดทิ้งอยู่ในที่แบบนี้ พวกเขาไม่สามารถเรียนหนังสือได้ เรียนรู้สิ่งต่างๆ ไม่ได้ เมล็ดพันธุ์ชั้นดีจึงถูกทิ้งไปเสียอย่างนั้น

หากคนที่ถูกทิ้งอยู่ที่ชนบทคือข้า ข้าคงเหมือนกับพวกเขา ตัวข้ามีความสามารถไม่เท่าไหร่ก็เอาแต่นึกดูถูกพี่สาว แต่ข้าไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่า โอกาสในการร่ำเรียนทั้งหลายเหล่านั้น ข้าได้มันมากจากฐานะของท่านพี่ หากท่านพี่เป็นเหมือนข้า เติบโตในจวนโหวตั้งแต่เล็ก ทุกวันนี้ก็เก่งกาจไม่น้อยไปกว่าข้า

ข้าไม่อาจยอมรับได้ว่าท่านพี่นั้นเก่งกาจกว่าตัวข้า แต่เกียรติยศจอมปลอมกำลังกัดกินหัวใจข้า ข้าไม่ขอให้ท่านพี่ยกโทษให้ข้า ข้าเพียงแค่ต้องการบอกกับท่านพี่ว่า จากนี้ไปข้าจะไม่ทำอีกแล้ว ท่านพี่จะคิดว่าข้ากลับตัวกลับใจก็ได้ จะคิดว่าชดใช้กรรมก็เชิญ… เอาเป็นว่าข้าไม่อาจอยู่ในจวนโหวได้อีกต่อไปแล้ว”

นางเอ่ยถึงตรงนั้น สีหน้าก็เต็มไปด้วยความเจ็บปวด “ข้าอิจฉาท่านพี่จริงๆ แม้แต่งงานออกเรือนแล้วท่านแม่กับน้องชายก็ยังอยู่กับท่านไม่ห่าง ไม่รู้ว่าข้าจะแต่งงานกับคนแบบไหน ท่านย่าเลือกคนมาหมั้นหมายกับข้าแล้ว… แต่สุดท้าย ข้าก็ไม่อาจมีอิสระเหมือนท่านพี่ได้”

“พูดจบแล้วหรือไม่” กู้เจียวเอ่ย

กู้เจียวเย็นชาอย่างที่กู้จิ่นอวี๋จินตนาการเอาไว้ นางหัวเราะเยาะตัวเองพลางเอ่ย “ได้ยินว่าพี่เขยสอบเป็นจอหงวนได้แล้ว ข้าแสดงความยินดีกับท่านพี่และพี่เขย ณ ที่นี้ด้วย”

“ขอบใจ”

กู้เจียวพูดจบก็สะพายตะกร้าขึ้นหลังแล้วเดินออกไป