บทที่ 290 ออดอ้อน (2)
กู้เจียวใจแข็งดั่งเหล็กกล้า ก่อนจะขึ้นนั่งบนรถม้าเพื่อเดินทางกลับ
ตอนที่เสี่ยวซานจื่อรอกู้เจียวอยู่ข้างนอก ก็ได้พูดคุยกับเด็กหนุ่มคนนั้นและเด็กๆ ในบ้านเมตตาอีกหลายคน เขาไม่รู้ว่าคนป่วยด้านในคือน้องสาวในนามของกู้เจียว ลูกสาวตระกูลสูงศักดิ์ที่ถูกสลับตัวกับกู้เจียวตั้งแต่เด็ก
ระหว่างทางนั้นจะว่าว่างก็ว่างจริงๆ เสี่ยวซานจื่อจึงเล่าเรื่องที่ตนได้ยินมาให้กู้เจียวฟัง “ได้ยินว่าแม่นางผู้นั้นเป็นลูกสาวจากตระกูลใหญ่ ปกปิดตัวตนแล้วมาทำการกุศลที่บ้านเมตตา หากไม่ใช่เพราะวันนี้นางเป็นลมล้มพับไป แล้วแม่ครัวของบ้านเมตตาเข้ามาพยุงไว้ ถึงได้เห็นป้ายประจำตัวของนาง ไม่อย่างนั้นคงไม่รู้ว่านางเป็นใครมาจากไหน แต่ตัวตนที่แท้จริงเป็นคือใคร นางเองก็ไม่ได้บอก”
กู้เจียวเลิกม่านขึ้นเพื่อชมทิวทัศน์ริมทาง
เสี่ยวซานจื่อพูดต่อ “แต่ละเดือนบ้านเมตตาได้เงินแค่ไม่เท่าไหร่ ข้าวปลาอาหารหรือเสื้อผ้าของเด็กๆ ก็มีไม่พอ พอแม่นางผู้นั้นมาอยู่ที่นี่สถานการณ์ของบ้านเมตตาก็ดีขึ้น เสื้อผ้าของเด็กๆ ล้วนแต่ได้นางเป็นคนซื้อให้ ค่าอาหารแต่ละเดือนก็ได้นางช่วยจุนเจือ ทุกวันนี้คนที่จิตใจงามอย่างแม่นางไม่ได้มีมากนัก…”
หลังจากนั้นเสี่ยวซานจื่อพูดพร่ำอะไรต่อ กู้เจียวก็ไม่ยินแล้วเพระนางผล็อยหลับไป
อีกฟากหนึ่ง ในที่สุดเซียวลิ่วหลังก็ตามล้างตามเช็ดที่เจ้าเณรน้อยก่อเรื่องไว้เสร็จเรียบร้อย จากนั้นก็เดินออกมจากกั๋วจื่อเจียนด้วยหน้านิ่วคิ้วขมวด
เขาจูงมือเสี่ยวจิ้งคง
แม้มือของเสี่ยวจิ้งคงจะถูกเขาจูง แต่หัวกลมน้อยนั้นกลับก้มงุด ร่างน้อยแสดงความต่อต้านออกมาอย่างชัดเจน ราวกับเด็กน้อยแสนน่าสงสารที่ถูกลากตัวกลับบ้านอย่างไรอย่างนั้น
เซียวลิ่วหลังเห็นท่าทีไม่สบอารมณ์ของเสี่ยวจิ้งคงก็แค่นหัวเราะออกมา “เหอะ คราวนี้ข้าไม่ช่วยแก้ตัวให้เจ้าแน่!”
เขาได้ค้นพบแล้วว่า หากเอาแต่ให้ท้ายเสี่ยวจิ้งคง เจ้าหนูน้อยนี่ก็จะยิ่งได้ใจไม่เกรงกลัวใครเพราะคิดว่ามีคนคอยช่วยเสมอ
คราวก่อนทำอาจารย์ซุนโมโหจนร้อง คราวนี้โกนหัวเพื่อนไปเกือบครึ่งห้อง
นี่เขากล้าโกนหัวให้เพื่อนได้อย่างไร!
เสี่ยวจิ้งคงฮึดฮัดด้วยความน้อยใจ “ก็บอกแล้วว่าพวกเขาเป็นคนขอให้ข้าโกนเอง เพื่อนร่วมห้องกันก็ต้องช่วยเหลือกันสิ สหายต้องสามัคคีกันไม่ใช่หรือ ข้าผิดอะไรที่ช่วยพวกเขา เจ้าไม่ชมข้าหน่อยหรือที่เป็นคนมีน้ำใจ ไม่คิดเล็กคิดน้อยที่พวกเขาจะฉลาดแล้วมาแย่งที่หนึ่งของข้า แถมยังต้องให้ข้าสารภาพว่าเป็นคนก่อเรื่องต่อหน้าเจียวเจียวอีก เจ้าไม่มีเหตุผลเอาเสียเลย!”
“ไม่มีเหตุผลอย่างนั้นหรือ ได้ เช่นนั้นข้าจะบอกเหตุผลให้เจ้าฟัง” เซียวลิ่วหลังหยุดฝีเท้าลง หยุดอยู่ลงกลางตรอกอันเงียบสงัด เขามองเสี่ยวจิ้งคงด้วยสายตาดุดัน “พวกเขาขอให้เจ้าโกนหัวให้เจ้าก็โกน แล้วหากพวกเขาขอให้เจ้าสอบให้ได้ที่โหล่ เจ้าจะสอบให้ได้ที่โหล่หรือไม่”
เสี่ยวจิ้งคงเม้มปากน้อย ก่อนจะเอ่ยเสียงอ้อมแอ้ม “ข้า…ข้าก็อยากจะสอบให้อยู่หรอก! แต่ความสามารถของข้าทำเช่นนั้นทำไม่ได้!”
เซียวลิ่วหลัง ‘เหอะเหอะ’
เซียวลิ่วหลังพูดต่อ “อีกอย่าง กั๋วจื่อเจียนมีกฎเขียนไว้ชัดเจนว่าห้ามพกของมีคมมิใช่หรือ”
เอาสิ ไล่ต้อนเขาอีก
เสี่ยวจิ้งคงหมดทางหนีทีไล่แล้ว
ถูกจับได้คาหนังคาเขาแล้ว
ทว่าหากใช้ไม้แข็งไม่ได้ เช่นนั้นก็ต้องเล่นไม้อ่อน
เสี่ยวจิ้งมองเขาด้วยสายตาออดอ้อน ร่างน้อยบิดไปมา “พี่เขย~ อย่าบอกเจียวเจียวเลยได้ไหม”
เซียวลิ่วหลังปั้นหน้าเข้ม ไม่ต้องมาอ้อน!
คราวนี้ก่อเรื่องใหญ่โตพอสมควร ในแคว้นเจา ชายที่อายุมากกว่ายี่สิบปีบริบูรณ์ขึ้นไปไม่อาจโกนหัวได้ตามใจตน แต่คนทั่วไปอายุได้สองสามขวบก็ไม่โกนหัวกันแล้ว เว้นเสียแต่ต้องรักษาโรคหรือได้รับบาดเจ็บ
ยิ่งไปกว่านั้นกฎของราชวงศ์นั้นเข้มงวดที่สุด แต่วันนี้เขากลับโกนหัวองค์ชายเป็นคนแรก!
หากไม่ใช่เพราะฉินฉู่อวี้ร้องห่มร้องไห้ขอให้เขาโกนหัวให้ได้ ป่านนี้เขาคงถูกจับไปสำเร็จโทษในวังหลวงแล้ว
ทว่าเป็นเพราะเขาโกนหัวองค์ชายอีกนั่นแล เหล่าผู้ปกครองที่เป็นขุนนางใหญ่จึงไม่กล้าพูดอันใดมาก
เพราะอะไรน่ะหรือ แม้แต่ฮ่องเต้ยังไม่เรียกร้องความยุติธรรมให้ลูกชายของตัวเองเลย แล้วพวกเขาจะไปเรียกร้องอะไรได้
เพราะเหตุใดน่ะหรือ ลูกหลานของพวกเขาสำคัญกว่าลูกชายของฮ่องเต้หรืออย่างไร
การออดอ้อนของเสี่ยวจิ้งคงล้มเหลว
เขาพรูลมหายใจออกมา จำใจยอมรับความจริงที่พี่เขยนิสัยไม่ดีจะฟ้องเรื่องนี้ให้เจียวเจียวรู้
เมื่อมาถึงบ้าน ถึงได้พบว่ากู้เจียวออกไปรักษาคน
เซียวลิ่วหลังชี้ไปที่กำแพงหน้าลานบ้าน “เจ้าเข้ามุมทบทวนตัวเองรอเจียวเจียวกลับมา”
เสี่ยวจิ้งคงโคลงศีรษะน้อยของตน ยืนหันหน้าเข้าหากำแพงแต่โดยดี
เพียงแต่วันนี้เซวียนผิงโหวออกไปทำภารกิจอย่างหนึ่งที่นอกเมือง ระหว่างทางกลับจวนผ่านตรอกปี้สุ่ยพอดี จึงถึงโอกาสแวะมาเยี่ยมเสียหน่อย
ประตูเรือนเปิดทิ้งไว้
เขาเพิ่งจะก้าวข้ามธรณีประตูเข้ามาก็เห็นเจ้าถั่วน้อยแสนน่าสงสาร ใบหน้าน้อยหันเข้ากำแพง นิ้วมือเล็กชี้บนชี้ล่าง แคะกำแพงเล่นอย่างรู้สึกผิด
ไอ้หยา นี่ไม่ใช่เด็กน้อยที่รุมต่อยลูกชายของทูตแคว้นเหลียงร่วมกับฉินฉู่อวี้แล้วก็ลูกชายของเจ้ากรมสวี่หรอกหรือ
มุมปากของเซวียนผิงโหวยกยิ้มพลางเดินเข้าไปใกล้ แล้วใช้นิ้วสะกิดไหล่น้อยของเขาจากข้างหลัง
เสี่ยวจิ้งคงเหลียวกลับมา มองเซวียนผิงโหวด้วยสายตาตำหนิ “ทำอะไรของท่าน”
น่ารักน่าชังเสียจริง เซวียนผิงโหวนึกอยากจะแกล้งเจ้าเด็กน้อยคนนี้ขึ้นมา เขายกมุมปากขวาพลางเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ก่อเรื่องอะไรอีกล่ะ ไหนเล่าให้ฟังซิ ข้าจะช่วยหาทางออกให้เจ้าเอง”
เสี่ยวจิ้งคงเป็นคนหยิ่งในศักดิ์ศรี ไม่มีทางยอมรับกับผู้อื่นว่าตนเองกำลังโดนลงโทษเพราะก่อเรื่องหรอก “ท่านเป็นใคร พวกเราสองคนสนิทสนมกันขนาดนั้นเชียวหรือ”
เซวียนผิงโหวยิ้มพลางเอ่ย “แหม คราวก่อนเจ้าร้องไห้ขี้มูกย้อยเปื้อนข้าไปทั้งตัว ไม่กี่วันก็ลืมกันแล้วหรือ”
เมื่อพูดถึงเรื่องนั้น เสี่ยวจิ้งคงก็รู้สึกผิดขึ้นมาจริงๆ
แม้เขาจะกลัวเสียหน้า แต่ก็ยังมีเหตุผล
เขาเคยช่วยท่านลุงรูปหล่อ ท่านลุงรูปหล่อเคยช่วยเขา พวกเขาจึงผูกมิตรกันอย่างช่วยไม่ได้
แววตาของเสี่ยวจิ้งคงอ่อนลงก่อนจะเอ่ยถามเขา “ข้าชื่อจิ้งคง ท่านชื่ออะไรหรือ”
เซวียนผิงโหวรู้สึกว่าเสี่ยวจิ้งคงน่าสนใจ จึงไม่ได้วางมาดแล้วตามไปตามตรง “ข้าชื่อเซียวจี่”
เสี่ยวจิ้งคงตาเบิกโพรง “เสี่ยวจีที่แปลว่านกน้อยน่ะหรือ ท่านเป็นนกน้อยตัวหนึ่งอย่างนั้นหรือ”
รอยยิ้มของเซวียนผิงโหวแข็งค้างไป ก่อนจะกัดฟันเอ่ย “เซียวจี่ต่างหาก…ช่างเถิด ไม่เข้าใจก็ช่างเถิด เช่นนั้นเจ้าเรียกข้าว่าท่านโหวเซียว”
ไม่ได้ห่างเหินเหมือนคำว่าเซวียนผิงโหว
แต่ใครจะไปรู้ว่าเสี่ยวจิ้งคงกลับเบิกตาโตยิ่งว่าเดิม มองเขาด้วยสายตายากอธิบาย “เหตุใดถึงกลายเป็นเสี่ยวโหว ลิงน้อยไปได้เล่า นี่ท่านเป็นไก่หรือเป็นลิงกันแน่”
ไก่หรือลิงอะไรกันเล่า!
เซวียนผิงโหวกันฟันกรอด “โหวเซียว! โหวที่มาจากโหวเกอร์!”
แม่เจ้าโว้ย!
ไปกันใหญ่แล้ว!
โหวที่มาจากท่านโหวต่างหาก!
เซวียนผิงโหวเอ่ยอย่างปวดหัว “ช่างเถิด เช่นนั้นก็เซียวจี่ก็แล้วกัน!”
สีหน้าของจิ้งคงมึนงงยิ่งกว่าเดิม