บทที่ 291 หยอกล้อ

สามีข้าคือขุนนางใหญ่

บทที่ 291 หยอกล้อ

สายตาของเสี่ยวจิ้งคงจับจ้องไปที่เซวียนผิงโหวราวกับกำลังมองคนสติฟั่นเฟือน “ไก่น้อย…”

พอเซวียนผิงโหวเอ่ยจบ เขาก็เพิ่งนึกขึ้นได้ว่าเขาไม่ควรพูดออกไป ไม่เช่นนั้นเจ้าตัวเล็กต้องเข้าใจผิดแน่ๆ

และแล้วก็เป็นอย่างนั้นจริงๆ

“เงียบ! ไม่ต้องพูดต่อแล้ว!” เซวียนผิงโหวผวายิ่งกว่าตอนไปออกรบเสียอีก

เสี่ยวจิ้งคงจึงต้องยอมเงียบเสียงลง

โธ่ ก็ได้

พลางคิด โลกของผู้ใหญ่นี่มันช่างซับซ้อนจริงๆ นอกจากจะตั้งชื่อแปลกๆ แล้ว ยังเอาหมูเห็ดเป็ดไก่มาพ่วงด้วยอีก!

เซวียนผิงโหวถอนหายใจโล่งอก

สักพักเสี่ยวจิ้งคงเริ่มเอามือไขว้หลัง ก่อนจะเอียงหัวแล้วพูดว่า “เจ้าแปด”

จนแล้วจนรอดก็พูดคำนั้นออกมาอยู่ดี

เซวียนผิงโหว “…!!”

คนอย่างเซวียนผิงโหวยอมเสียเลือดแต่ไม่ยอมเสียน้ำตา ไม่เคยเกรงกลัวคมดาบคมมีดใดๆ ทั้งนั้น แต่เจ้าหัวเหม่งนี่กลับมีรังสีอำมหิตที่รุนแรงกว่าฝูงม้าเหล็กหรือทหารเป็นพันเป็นหมื่นนายเสียอีก รู้ตัวอีกที เซวียนผิงโหวก็ดันเผลอปล่อยไก่ตัวเบ้อเร่อออกมาเสียแล้ว!

น่ากลัวชะมัดเจ้าเด็กนี่!

เซวียนผิงโหวผู้ที่ทั้งชีวิตกุมชะตาความเป็นความตายของคนอื่นมาโดยตลอด บัดนี้เขากลับมาโดนเข้าเสียเอง

นี่สินะสิ่งที่เรียกว่า กรรมใดใครก่อ กรรมนั้นคืนสนองอย่างนั้นหรือ

เสี่ยวจิ้งคงน้อยถอนหายใจ “เฮ้อ ที่เรือนข้าน่ะมีลูกไก่เจ็ดตัวแล้ว ท่านจะมาเป็นตัวที่แปดไม่ได้แล้วนะ”

เซวียนผิงโหวนึกในใจ …เดี๋ยวก่อน นี่เราคิดมากไปสินะ

ด้วยความที่เซวียนผิงโหวเติบโตมาในหมู่โจร คำพูดคำจาของเขาจึงสกปรกกว่าคนปกติทั่วไป แต่จะว่าไปแล้ว การที่มาบอกให้เขาไปเป็นลูกไก่อีกคนก็ดูจะไม่ได้คำพูดที่ดีเท่าไหร่เลยนี่นา!

ต่างอะไรกับการด่าเขาว่าเป็นไอ้ไก่อ่อนกัน!

แม่ทัพทหารผู้ยิ่งใหญ่อย่างเขาจะเป็นลูกไก่ไปได้อย่างไรกันเล่า!

เซวียนผิงโหวได้แต่คิดว่าจะมาต่อล้อต่อเถียงกับเด็กน้อยไม่รู้ประสีประสาแบบนี้คงจะไม่ได้การ จึงสูดหายใจลึกๆ ก่อนจะพูดกับเจ้าตัวเล็กด้วยความใจเย็น “ถ้าข้าบอกว่า ข้าเป็นพ่อแท้ๆ ของพี่เขยเจ้า เจ้าเชื่อข้าหรือไม่”

เสี่ยวจิ้งคงขมวดคิ้วพลางมองคนตรงหน้าด้วยสายตากึ่งประหลาดใจกึ่งเข้าใจ ก่อนจะพยักหน้า “มิน่าล่ะ”

“มิน่าอะไร” เซวียนผิงโหวเอ่ยถาม

“มิน่าพี่เขยตัวแสบถึงชอบสอบได้ที่โหล่” เสี่ยวจิ้งคงเอามือลูบคาง

ที่ผ่านมาเสี่ยวจิ้งคงน้อยเอ่ยโทษพี่เขยตัวแสบมาตลอดว่าเขาไม่ขยัน ที่ไหนได้ เป็นเพราะบิดาของเขาเองที่ไม่ฉลาด ตัวเองเป็นไก่หรือเป็นลิงยังไม่รู้ตัวเลย!

เซวียนผิงโหว “…”

เซวียนผิงโหวรู้สึกราวกับหัวใจของเขาเต้นรัวนับหมื่นหน จนเขาจำไม่ได้แล้วว่าเขามาที่นี่เพื่ออะไร ในเมื่อลูกชายของเขาจำเขาไม่ได้ด้วยซ้ำ เซวียนผิงโหวเอามือกุมอกและเรียกฉังจิ่ง “แบก แบกข้ากลับจวนที”

ฉังจิ่ง “ท่านเดินไม่ไหวหรือ”

เซวียนผิงโหวนึกในใจ ถ้าข้าเดินไหว ข้าจะเรียกเจ้ามาทำพระแสงอะไร! มา! เจ้ามา! เจ้าลองมาโดนเจ้าเด็กนี่ดูถูกสิ!

แต่ดูเหมือนฉังจิ่งดูจะไม่ค่อยอยากกลับเท่าใดนัก เพราะพอเขาเห็นลูกแก้วกลมๆ บนพื้น ก็เกิดอยากอยู่ต่อเพื่อเล่นตีลูกแก้ว

แต่เขาก็มิอาจขัดคำสั่งของเซวียนผิงโหวได้

เลยจำต้องพาเซวียนผิงโหวออกไปจากตรงนั้น

สักพัก กู้เจียวก็เดินทางกลับมาถึงเรือนพอดี

เสี่ยวจิ้งคงพอเห็นเจียวเจียวเดินเข้ามา ก็ทำตาเป็นประกาย ก่อนจะวิ่งตึงตังเข้าไปหาแล้วกอดขาของกู้เจียว “เจียวเจียว! ในที่สุดเจ้าก็กลับมาเสียที! ข้าคิดถึงเจ้าจะแย่แล้ว!”

เสี่ยวจิ้งคงน้อยคลายกอด แล้ววิ่งไปที่ด้านหลังกู้เจียวก่อนจะคว้าตะกร้าที่กู้เจียวสะพายหลัง พลางเอ่ย “เดี๋ยวข้าช่วยสะพายให้เอง!”

กู้เจียววางตะกร้าลง ก่อนจะหยิบกล่องยาและของอื่นๆ ออกมา

แม้จะเป็นตะกร้าเล็กๆ แต่สำหรับเสี่ยวจิ้งคงแล้วตะกร้านี้ใหญ่กว่าตัวเขาเสียอีก

เสี่ยวจิ้งคงทั้งแบกทั้งลากเจ้าตะกร้ายักษ์ก่อนจะเดินเข้าห้องไปอย่างทุลักทะเล

ส่วนเซียวลิ่วหลังก็กำลังง่วนอยู่กับการทำโจทย์คำนวณ ตั้งแต่ที่เขาได้รับหนังสือที่สงสัยว่าเป็นหนังสือของแคว้นเยียนจากเสี่ยวจิ้งคง ตราบใดที่เขามีเวลาว่าง เขาจะศึกษาเนื้อหาของหนังสือเล่มนี้อย่างจริงจัง

เนื่องจากข้อความในหนังสือเป็นภาษาที่แตกต่างอย่างสิ้นเชิง แม้ว่าจะมีคำอธิบายประกอบอยู่บ้าง แต่ก็ยังเข้าใจยาก

แต่อักขระแปลกๆ ที่ใช้แทนตัวเลขกระตุ้นความสนใจอย่างมากของเขา และสิ่งที่เรียกว่าสูตรซึ่งระบุโดยอักขระและสัญลักษณ์เหล่านั้นก็ทำให้เขาประหลาดใจเช่นกัน

เนื่องจากตำราการคำนวณนั้นสูญหายไป แคว้นเจายังคงใช้วิธีการตัดวงกลมเพื่อคำนวณวงกลม แต่ก็ยากที่จะมานั่งขีดเส้นผ่าศูนย์กลางเป็นพันเป็นหมื่นเส้นเพื่อที่จะคำนวณพื้นที่วงกลมออกมาได้

สูตรที่บันทึกไว้ในหนังสือเล่มนี้ง่ายกว่ามาก แต่เขายังไม่ได้เจาะสูตรเหล่านี้

ขณะที่เซียวลิ่วหลังกำลังก้มหน้าก้มตาแกะโจทย์อยู่นั้น จู่ๆ ก็มีเสียงดังขึ้น เขามองออกไปนอกหน้าต่าง และเห็นว่าเจ้าตัวเล็กกำลังเดินแบกตะกร้าของกู้เจียว

ด้านหลังเสี่ยวจิ้งคง คือกู้เจียวที่กำลังเดินตาม วันนี้นางใส่ชุดสีฟ้าราวอ่อนกับน้ำแข็ง มองเผินๆ ราวกับนกนางแอ่นที่บินอยู่บนท้องนภา

ในขณะเดียวกัน กู้เจียวเองก็เหมือนจะรู้สึกได้ว่ามีใครกำลังมองมา จึงหันไปทางหน้าต่างห้องของเซียวลิ่วหลัง

ดวงตาสองคู่ประสานสบกัน

กู้เจียวคลี่ยิ้มให้เขา

สำหรับเขา รอยยิ้มนั้นเฉกเช่นดอกไห่ถังที่บานสะพรั่งท่ามกลางสายลมยามค่ำคืนใต้แสงดาว

หัวใจของเซียวลิ่วหลังเต้นระรัวขึ้นในพริบตา ก่อนจะรีบเบนสายตาหนีแล้วหันไปอ่านหนังสือต่อ

อย่างไรก็ตาม ดูเหมือนว่ากู้เจียวไม่อยากแสร้งทำเป็นว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น จึงเดินมาทางหน้าต่าง วางแขนข้างหนึ่งบนขอบหน้าต่างและเท้าแก้มลงไปบนมือ “ทำอะไรอยู่”

ลมกลางคืนพัดมาจากข้างหลังร่างของกู้เจียวอย่างช้าๆ พัดกลิ่นหอมจางๆ ที่อยู่บนร่างกายของกู้เจียว กลบกลิ่นน้ำหมึกของพู่กันของเซียวลิ่วหลัง

จู่ๆ เขาก็รู้สึกรุ่มร้อนที่บริเวณหน้าอก

เขายังคงก้มหน้าก้มตาจดจ่อกับหนังสือ ไม่หันไปชายตามองคนพูดทักแม้แต่นิด

“อ่านหนังสือ” เขาตอบด้วยน้ำเสียงนิ่งและราบเรียบ

“อ๋อ” กู้เจียวเลิกคิ้วขึ้น ก่อนจะยื่นตัวเข้าไปในห้อง

พอเห็นว่านางขยับเข้ามาใกล้กะทันหัน ร่างของเซียวลิ่วหลังเกิดแข็งทื่อ

นางอยู่ใกล้เขามากจนดูเหมือนแก้มของพวกเขากำลังสัมผัสกัน

ในหัวของเซียวลิ่วหลังเอาแต่จินตนาการว่านางกำลังจะคว้าเขามาจูบราวกับลูกแมวน้อยที่เพิ่งดื่มเหล้าเมากรึ่มๆ

จู่ๆ เขาก็เริ่มคอแห้ง

“เจ้า…” ขณะที่เขาคิดว่ากู้เจียวจะทำแบบนั้นกับเขา แต่กู้เจียวกลับแค่ยื่นมือออกไปแล้วหยิบกระดาษที่อยู่ข้างๆ เขา

พอหยิบกระดาษเสร็จก็กลับไปยืนที่เดิมเหมือนเดิม

จู่ๆ ลมหายใจที่แก้มและปลายจมูกเมื่อครู่นี้ก็หายไป แต่ไม่รู้เป็นเพราะอะไร

เขาถึงรู้สึกเสียดายอย่างบอกไม่ถูก

จากนั้นกู้เจียวหยิบดินสอออกมาแล้วเขียนคำสองสามคำลงบนกระดาษ ก่อนจะทิ้งกระดาษไว้ให้เขาพร้อมกับยิ้มมุมปากหนึ่งที แล้วเดินกลับไปที่ห้องของตัวเองตามเดิม

เซียวลิ่วหลังใช้เวลาอยู่นานสองนานกว่าจะให้หน้าของเขาหายร้อน จากนั้นจึงหยิบกระดาษของกู้เจียวขึ้นมาดู

เขาหยิบมันขึ้นมาดู และเห็นตัวอักษรขนาดใหญ่สองสามตัวเขียนไว้ว่า ‘อ่าน หนัง สือ กลับ หัว นะ!’

เขาอ่านมันพลางนึกสีหน้าที่กู้เจียวมองเขามาเมื่อครู่นี้ และแล้วใบหน้าของเขาก็ร้อนผ่าวขึ้นอีกครั้ง…

ระหว่างทานอาหารเย็น แม่นางเหยาและกู้เหยี่ยนมองทะลุท่าทีสงบนิ่งอันเสแสร้งของเซียวลิ่วหลังได้ในทันที มีเพียงกู้เสี่ยวซุ่นเท่านั้นที่จ้องมองที่เซียวลิ่วหลังครู่หนึ่งแล้วเอ่ยถาม “พี่เขย หน้าเป็นอะไรนั่น แดงแจ๋เชียว”

เจ้าเด็กนี่ พูดเรื่องไม่ควรพูดอีกแล้วสินะ

เซียวลิ่วหลังพยายามตีหน้าจริงจัง ก่อนจะเอ่ยตอบ “ข้าร้อนน่ะ”

“อ๋อ” กู้เสี่ยวซุ่นพยักหน้า “นั่นสินะ”

แม่นางเหยาก้มหน้าแอบหัวเราะ

กู้เหยี่ยนเห็นดังนั้นก็รีบเอาไก่ยัดปากกู้เสี่ยวซุ่นก่อนที่เขาจะถามอะไรไม่เข้าเรื่องไปมากกว่านี้ “กินข้าวของเจ้าไป!”

“อืม” กู้เสี่ยวซุ่นปากไม่ว่างแล้วและลืมไปในที่สุดว่าตัวเองจะถามอะไรต่อ

หลังจากทานข้าวเย็นกันเสร็จ หลังจากที่โดนพี่เขยตัวแสบบังคับขู่เข็ญ ในที่สุดเสี่ยวจิ้งคงก็ยอมรับสารภาพเรื่องที่เขาโกนหัวเพื่อนในชั้นเรียน

“คนที่เขาเลือกโกนคนแรกก็คือฉู่อวี้” เซียวลิ่วหลังเอ่ยเสริม

เสี่ยวจิ้งคงไม่รู้ว่าฉินฉู่อวี้เป็นองค์ชาย แต่กู้เจียวรู้

กู้เจียวนึกในใจ โอ้โห ถึงขั้นโกนหัวองค์ชายเลยหรือนี่

เซียวลิ่วหลังพอเห็นท่าทีของกู้เจียวก็นึกในใจ เหตุใดถึงทำหน้าภูมิอกภูมิใจเช่นนั้น! ที่เจ้าเด็กนี่โตมากร่างขนาดนี้เป็นเพราะใครกันล่ะ!

กู้เจียวรับรู้ได้ถึงสายตาอาฆาตจากเซียวลิ่วหลัง เดิมนางจะเอ่ยชมเจ้าตัวเล็กสักหน่อย จึงพลันต้องรีบคืนคำ และทำท่าจริงจังหนักแน่นใส่เสี่ยวจิ้งคง “ต่อไปห้ามพกมีดโกนไปที่โรงเรียนเด็ดขาด เราจะโกนผมให้ใครโดยไม่คิดเงินพวกเขาไม่ได้หรอกนะ”

เซียวลิ่วหลัง “…”

ขณะเดียวกัน เหล่าคนในวังเองก็ตกใจไม่น้อยกับเหตุการณ์นี้

เหล่าขันทีที่มารอรับองค์ชายฉินฉู่อวี้ต่างพากันตกใจเสียจนลูกตาแทบหลุดจากเบ้าเมื่อได้เห็นหัวกลมๆ ราวกับลูกชิ้นขององค์ชาย

ฉินฉู่อวี้ยังไม่รู้ตัวว่าคนรอบๆ เขามีปฏิกิริยาอย่างไร เขาขึ้นรถม้ากลับไปที่วังและรออย่างกระตือรือร้นเพื่อให้เขาฉลาดขึ้นเมื่อเขาตื่นขึ้น

ที่ฉินฉู่อวี้เข้ามาในชั้นเรียนเด็กพิเศษได้นั้นเป็นเพราะได้รับความช่วยเหลือจากไท่จื่อเฟยล้วนๆ และนั่นทำให้เขาตกที่นั่งลำบากทุกครั้งที่มีการสอบ เพราะเขามักจะได้ที่โหล่ของห้องอยู่เสมอ

อาจารย์รู้ถึงตัวตนของเขาแม้ว่าเขาจะไม่กล้าพูดคำหยาบ แต่เขาอายุแปดขวบและเป็นชายร่างเล็กที่โตแล้ว และแน่นอนว่าเด็กแปดขวบก็คงไม่อยากเสียหน้า

ความปรารถนาที่จะฉลาดของเขาแกแกร่งกว่าใครๆ ดังนั้นเขาจึงขอโกนผมคนแรกอย่างไม่ลังเล

เขาเดินเข้าไปที่วังคุนหนิงพร้อมกับหัวเหม่งของเขา

“เสด็จแม่!”

เซียวฮองเฮากำลังเลือกวัสดุใหม่เพื่อใช้เป็นเครื่องบรรณาการ เมื่อได้ยินดังนั้น จึงหันไปหาด้วยรอยยิ้ม ก่อนจะเป็นลมล้มไป

ทันทีหลังจากนั้น ฮ่องเต้เองก็ตกใจ

หลังจากนั้นไม่นาน คนในวังทั้งหมดก็รู้เรื่อง

จวงกุ้ยเฟยถึงขั้นต้องวานคนให้ไปสืบความมาว่าองค์ชายเจ็ดจะออกบวช

“ใครเป็นคนโกนหัวให้เจ้า” ฮ่องเต้เอ่ยถามด้วยเสียงโกรธกริ้ว

บังอาจมาโกนหัวองค์ชาย โอหังนัก!

ฉินฉู่อวี้ที่คิดว่ามันเป็นสิ่งที่ดี เพราะเขากำลังจะฉลาดขึ้น ดังนั้นเขาจึงไม่ปิดบังอะไร: “เสี่ยวจิ้งคงเป็นคนโกนให้กระหม่อมเองเสด็จพ่อ!”

“ใครนะ” ฮ่องเต้ถามย้ำ

“เสี่ยวจิ้งคงอย่างไรเล่า เสด็จพ่อเคยเจอเขาแล้วนี่ ลืมแล้วรึ”

น้องชายของหมอเทวดาอย่างนั้นรึ

ฮ่องเต้ได้ยินดังนั้นก็ชักโกรธไม่ลง “เขา เขาโกนหัวเจ้าไปเพื่ออะไรกัน”

ฉินฉู่อวี้เอ่ยตอบ “ข้าให้เสี่ยวจิ้งคงทำเอง ข้าอยากฉลาดเหมือนเขานี่นา!”

จากนั้นฉินฉู่อวี้ก็อธิบายเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างละเอียด น้ำเสียงของเขาดูสดใสมาก เพราะเขาคิดว่าเขากำลังจะฉลาดขึ้นแล้ว!

ฮ่องเต้เริ่มกำหมัด และมุมปากของเขากระตุก

เจ้าลูกโง่เอ๊ย!

ส่งให้ไปเรียนหนังสือดีๆ แล้วดูซิ ได้อะไรกลับมา

ท้ายที่สุด ฉินฉู่อวี้ก็โดนไม้เรียวของเสด็จพ่อไปเต็มๆ

ฮือ ฮือ ฮือ ! เจ็บชะมัด!

ที่ฮ่องเต้ลงโทษเขาไม่ใช่เพราะเขาโกนหัว แต่เป็นเพราะฮ่องเต้ลองให้เขาท่องการบ้าน แต่เขากลับท่องให้ไม่ได้

เจ้าหน้าที่และผู้ปกครองของเจ้าตัวเล็กๆ ที่ถูกเสี่ยวจิ้งคงโกนหัวได้แต่รอคำตรัสของฮ่องเต้ แต่ท้ายที่สุด ฮ่องเต้ไม่ได้พูดอะไร พวกเขาจึงเลือกปล่อยผ่านเรื่องนี้ไป

ว่ากันตามตรง หากจะกล่าวโทษเสี่ยวจิ้งคงก็คงจะไม่ถูกต้องเสียทีเดียว

แม้ว่าเสี่ยวจิ้งคงจะจงใจทำจริงๆ เด็กโตอย่างพวกเจ้าถูกเด็กสี่ขวบหลอกนี่มันใช่เรื่องที่ไหน เห็นได้ชัดว่าพวกเขาเองที่โง่

จากความตกใจ ความโกรธ และความอัปยศในครั้งนี้ ทุกคนค่อยๆ สงบลง จากนั้นพวกเขาก็ค้นพบสิ่งหนึ่ง…

ก็คือเสี่ยวจิ้งคงโกนหัวพวกเขาได้เนียนเกลี้ยงมากเลยทีเดียว!

เนียนเรียบเสมอกันทุกระเบียดนิ้วบนหนังศีรษะเลยก็ว่าได้

นี่มัน มืออาชีพชัดๆ !

“ลูกชายคนสุดท้องของข้าอายุเกือบหนึ่งเดือนแล้ว ข้าต้องการหาคนมาโกนผมให้”

“หลานชายของข้าอายุสองขวบ และเขาก็อยากจะโกนหัวด้วย แต่ข้าหาอาจารย์ช่างผมที่เหมาะสมไม่เจอที”

“ของข้าก็เป็นเหมือนกัน โกนไปโกนมา เลือดออกเฉย!”

หลังจากที่เหล่าผู้ปกครองพากันส่งลูกเข้ากั๋วจื่อเจียนเสร็จแล้ว ก็ชวนคุยเรื่องนี้กันให้จ้าละหวั่น

จะว่าไป พอมานึกดูดีๆ แล้ว มีที่ไหนที่เชิญเด็กสี่ขวบไปโกนผมให้ที่เรือนกันเล่า

“ข้าว่าไม่เหมาะเท่าไหร่”

“ข้าเองก็คิดเช่นนั้น”

“ถ้าอย่างนั้น…พวกเราไปกันเถอะ”

“ไปกัน!”

เช้าตรู่ของวันรุ่งขึ้น ขณะที่เซียวเสี่ยวจิ้งคงกำลังเดินเข้ากั๋วจื่อเจียน จู่ๆ เขาก็สังเกตเห็นถึงสายตาที่เปี่ยมไปด้วยความโลภของคนรอบๆ กำลังจ้องมาที่เขา

เขาไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น

เซียวลิ่วหลังรีบให้เขาเข้าไปข้างในก่อน

จากนั้นคนกลุ่มนั้นก็เดินมาล้อมรอบที่เซียวลิ่วหลัง

เซียวลิ่วหลังคิดว่าทุกคนมาหาเขาเพื่อพูดคุยเกี่ยวกับเรื่องนี้และเขาก็พร้อมที่จะถูกวิพากษ์วิจารณ์จากคนนับหมื่น แต่พวกเขากลับเดินเข้ามาแล้วพูดกับเขาว่า “น้องชายของเจ้ารับงานโกนผมหรือไม่”

เซียวลิ่วหลัง “…”

เรื่องแบบนี้ใครจะไปรับปากล่ะ

เซียวลิ่วหลังได้แต่นึกในใจ เจ้าเด็กนี่นอกจากจะเป็นเจ้าของเรือนในเมืองหลวงแล้ว หากปล่อยให้ออกไปทำธุรกิจอีก แล้วตัวเขาเองที่เป็นพี่เขยก็ยิ่งมีสถานะต่ำเตี้ยเรี่ยดินเข้าไปอีกน่ะสิ

ดังนั้น สิ่งที่เสี่ยวจิ้งคงไม่รู้ก็คือ อาชีพช่างโกนผมของเขาต้องพังทลายลงอย่างโหดเหี้ยมโดยพี่เขยตัวแสบ