บทที่ 292 ทำให้ยุ่งยาก
สภาพอากาศในเมืองหลวงช่วงปลายเดือนห้าเริ่มร้อนอบอ้าวเหมือนช่วงกลางฤดูร้อน
เซียวลิ่วหลังเข้ามาอยู่ในสำนักฮั่นหลินมาเป็นเวลายี่สิบวันแล้ว แต่เนื่องจากเขายังใหม่สำหรับที่นี่ จึงยังคงเน้นเรื่องการเรียนรู้เป็นหลัก
ช่วงเช้าจะมีขุนนางซื่อตู๋หรือไม่ก็ขุนนางซื่อเจี่ยงมาสอนหนังสือ โดยใช้เวลาหนึ่งชั่วยาม ส่วนเวลาที่เหลือก็เอาไว้ใช้ศึกษาด้วยตนเอง
หากมีตรงไหนไม่เข้าใจ สามารถถามคำถามนอกเหนือเวลาเรียน หรือไม่ก็สามารถถามนักปราชญ์ของสำนักฮั่นหลินได้
นักปราชญ์ของสำนักฮั่นหลินจัดว่าเป็นขุนนางระดับสูงสุดในนั้น เป็นขุนนางระดับห้า มีหน้าที่ดูแลสำนักในเรื่องต่างๆ มักจะงานยุ่งและไม่มีเวลามานั่งตอบคำถามให้กับขุนนางหน้าใหม่
รองลงมาก็จะมีขุนนางซื่อตู๋สองคน และขุนนางซื่อเจี่ยงอีกสองคน จัดอยู่ในระดับหก พวกเขามีหน้าที่หลักในการสอนไม่จำกัดเฉพาะเจ้าหน้าที่ฝึกอบรมและปราชญ์ของสำนักฮั่นหลิน หากมีคุณสมบัติเพียงพอก็มีโอกาสเข้าวังเพื่อบรรยายให้องค์จักรพรรดิและไท่จื่อ
ส่วนเซียวลิ่วหลังมีตำแหน่งซิวจ้วน เสมียนของสำนักฮั่นหลิน อยู่ในระดับหกเช่นกัน
ส่วนอันจวิ้นอ๋องและหนิงจื้อหย่วนได้ตำแหน่งเปี่ยนซิว อยู่ในระดับเจ็ด
รองลงมาคือขุนนางระดับแปด ซึ่งเป็นตำแหน่งอู่จิงป๋อซื่อเก้าคน
ที่น่าพูดถึงก็คือ ทุกตำแหน่งขุนนางในสำนักฮั่นหลิน มีเพียงอู่จิงป๋อซื่อเท่านั้นที่ใช้ระบบสืบเชื้อสาย
ดังนั้น ถึงแม้ว่าพวกเขาจะไม่ได้อยู่ในตำแหน่งที่สูงมากนัก แต่พวกเขามีการศึกษาและความรู้ที่แข็งแกร่งมาก ทำให้พวกเขาเป็นกลุ่มคนที่โดดเด่นในสำนักฮั่นหลิน
และยังมีขุนนางระดับแปดที่ทำหน้าที่ทะเบียนหรือที่เรียกว่าเตี่ยนจี๋สองคน ขุนนางระดับเก้าที่เป็นซื่อชูสองคน และซื่อจ้าวหกคน และมีข่งมู่อีกหนึ่งที่ไม่ได้อยู่ในระดับขุนนางด้วย
หน้าที่ของสำนักฮั่นหลินในแต่ละยุคสมัยมีความต่างกันออกไป ในยุคนี้ หน้าที่ของสำนักฮั่นหลินคือการร่างหนังสือ บันทึกพงศาวดาร การทำจดหมายราชสำนัก รวมถึงการเขียนราชกิจจานุเบกษาขององค์จักรพรรดิด้วย
เซียวลิ่วหลังและคนอื่นๆ หลักจากที่เข้ามาทำงานได้สักพัก ก็เริ่มได้จับการเขียนจดหมายราชสำนักบ้างแล้ว
วันนี้ขุนนางที่เป็นซิวจ้วนมาจากตระกูลหยาง ได้เรียกเซียวลิ่วหลังเข้าพบ
เขาเป็นขุนนางซิวจ้วนที่เก่าแก่ที่สุดในฮั่นหลิน ไม่น่าแปลกใจเลยที่หลังจากผ่านการประเมินในช่วงปลายปี เขาจะได้รับการเลื่อนตำแหน่ง และตอนนี้งานเขียนทั้งหมดของสำนักฮั่นหลินก็อยู่ภายใต้การควบคุมของเขา
เขาขอให้เซียวลิ่วหลังช่วยเขียนคำจารึก โดยบอกว่าฮ่องเต้มีแผนจะสร้างสุสานของจักรพรรดิขึ้นใหม่
เวลาผ่านไปครึ่งชั่วยาม เซียวลิ่วหลังก็เขียนคำจารึกเสร็จ แล้วยื่นให้หยางซิวจ้วน
หยางซิวจ้วนพออ่านเสร็จก็ถึงกับคิ้วขมวดจนเป็นปมหนา “เจ้าเป็นถึงจอหงวนเชียวนะ เขียนได้แค่นี้เองรึ แหกตาดูสิว่าเขียนอะไรลงไป คำจารึกแบบนี้ หากฝ่าบาททอดพระเนตรแล้วมีหวังทรงกริ้วเป็นแน่แท้!”
เซียวลิ่วหลังอ้ำอึ้งอยู่พักหนึ่ง ก่อนจะเอ่ยถาม “ขอเรียนถามขอรับ ประโยคไหนที่ฝ่าบาทมาทอดพระเนตรแล้วจะทรงกริ้วหรือขอรับ”
หยางซิวจ้วนทำหน้าเหนื่อยหน่าย “เจ้าดูเองไม่ออกรึ ต้องให้ข้าสอนอีกรึ นี่เจ้ามาเป็นจอหงวนได้อย่างไรกัน”
เซียวลิ่วหลังเม้มปาก ไม่เอ่ยอะไร ก่อนจะกลับไปเขียนใหม่
แต่กระนั้น หยางซิวจ้วนก็ยังไม่พอใจ
เซียวลิ่วหลังนั่งเขียนคำจารึกไปประมาณสิบหกสิบเจ็ดชุดได้ทั้งเช้า แต่ทั้งหมดกลับถูกหยางซิวจ้วนปฏิเสธลูกเดียว
“แค่คำจารึกง่ายๆ ยังเขียนไม่เป็น ข้าว่าเจ้าไม่ต้องกินข้าวกลางวันแล้วกระมัง นั่งเขียนไปเรื่อยๆ แบบนี้นี่ล่ะ! เขียนจนกว่าข้าจะพอใจ!”
หยางซิวจ้วนพูดจบก็เดินสะบัดก้นออกไปที่โรงอาหารของสำนัก
เซียวลิ่วหลังถือแผ่นจารึกกลับเข้าไปในห้องทำงานของเขา แล้วก้มหน้าก้มตาเขียนต่อไป
อากาศที่ร้อนอบอ้าวทำให้ห้องทำงานของเขาไม่ต่างอะไรจากหม้อนึ่ง ร่างกายของเขาเต็มไปด้วยเหงื่อไคล เสื้อของเขาก็ยังเปียกโชกอีกด้วย
ทันใดนั้น หน้าห้องของเซียวลิ่วหลังปรากฏชายสวมหมวกคนหนึ่งที่กำลังทำท่าบีบจมูกของเขาและมองไปรอบๆ พอแน่ใจแล้วว่าไม่มีใครอยู่ข้างนอก เขาจึงย่องเท้าเงียบๆ และแอบเข้าไปในห้องทำงานของเซียวลิ่วหลังพร้อมกับกล่องอาหารในมือ
เงาของชายคนนั้นบังทับบนกระดาษของเซียวลิ่วหลัง เซียวลิ่วหลังจึงเงยหน้าขึ้นไปมอง “เจ้ามาได้อย่างไร”
หนิงจื้อหย่วนวางกล่องอาหารไว้บนโต๊ะ “ก็มาส่งข้าวให้เจ้าอย่างไรเล่า! เมื่อครู่ข้าบังเอิญสวนกับเฝิงหลินและหลินเฉิงเย่ พวกเขาถามข้าว่าเหตุใดยังไม่เห็นเจ้าออกมากินข้าว ข้าเลยบอกว่าเจ้ากินแล้ว”
หนิงจื้อหย่วนพูดไปพลางเปิดกล่องอาหารไป
อาหารที่ว่านั่นก็ไม่ใช่ของดีอะไรนัก
ครอบครัวของเขายากจนและข้าวของในเมืองหลวงก็มีราคาสูง เงินเดือนน้อยของเขาไม่เพียงพอสำหรับตัวเขาเองทุกเดือน
อาหารที่เขานำมาให้คือบะหมี่หยางชุนโรยด้วยต้นหอมสับและผักเคียงเป็นถั่วงอกลวก
เพียงแต่…อาจเป็นเพราะห้องของเซียวลิ่วหลังอยู่ใกล้กับห้องน้ำเกินไป ตอนช่วงหน้าหนาวยังพอไหว แต่พอเป็นหน้าร้อนแบบนี้ ก็แอบมีส่งกลิ่นบ้าง
เซียวลิ่วหลังรีบเดินไปปิดหน้าต่างประตู
แม้จะไม่มีกลิ่นรบกวนจากภายนอกแล้ว แต่พอปิดหน้าต่างประตูเลยกลายเป็นว่าห้องยิ่งอบอ้าวกว่าเดิม
“รีบกินเสียสิ!” หนิงจื้อหย่วนเร่ง
เซียวลิ่วหลังไม่ได้โอดครวญอะไร ยกตะเกียบขึ้น แล้วลงมือกินอย่างตั้งใจ
บะหมี่หยางชุนรสจืดไปหน่อย ส่วนถั่วงอกก็เค็มไปนิด แต่สุดท้ายก็กินจนหมด
ผ่านไปแค่ชั่วพริบตาเดียว ทั้งร่างของหนิงจื้อหย่วนก็ชุ่มไปด้วยเหงื่อ เขาเอาแต่คิดในใจว่าเซียวลิ่วหลังใช้ชีวิตในห้องแบบนี้ไปได้อย่างไร
พอเห็นว่าเขากินเสร็จแล้ว หนิงจื้อหย่วนก็รีบพุ่งตัวไปเปิดหน้าต่าง
ในที่สุด…ก็ได้รับลมสักที
เซียวลิ่วหลังเก็บอุปกรณ์กินข้าวเรียบร้อย
หนิงจื้อหย่วนชำเลืองดูกองคำจารึกบนโต๊ะ ก่อนจะเอ่ยถาม “หยางซิวจ้วนอีกแล้วรึ”
นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เซียวลิ่วหลังเจอเรื่องแบบนี้
คราวก่อนเซียวลิ่วหลังโดนแก้งานไปสามถึงห้าครั้ง แต่คราวนี้เริ่มหนักขึ้นเรื่อยๆ ถึงขั้นไม่ปล่อยให้เซียวลิ่วหลังได้พักกินข้าวกันเลย
หนิงจื้อหย่วนสุ่มหยิบกระดาษที่เซียวลิ่วหลังเขียนขึ้นมาหนึ่งแผ่น “เจ้าเขียนดีกว่าข้าตั้งเยอะ หยางซิวจ้วนเมื่อเช้ายังชมข้าอยู่เลย…ข้าว่า เจ้าไม่ต้องเขียนเพิ่มแล้ว เจ้าลองยื่นให้เขาดูอีกรอบนะ ข้าพนันเลยว่าอันที่เจ้าเขียนก่อนหน้านั้นเขาแทบไม่ได้อ่านเลย!”
แต่ที่ปฏิเสธไม่ได้ก็คือ เซียวลิ่วหลังเขียนคำจารึกได้ดีขึ้นเรื่อยๆ ในทุกใบที่เขาเขียนแก้ใหม่ ที่จริงเขาทำมันได้ดีมากตั้งแต่ใบแรกเสียด้วยซ้ำ
หนิงจื้อหย่วนคิดในใจ เขาทำได้อย่างไรกัน
“ไม่มีคนเห็นเจ้ามาที่นี่รึ” เซียวลิ่วหลังเอ่ยถาม
“พวกเขากินข้าวกันอยู่ ไม่มีใครสนใจข้าหรอก” หนิงจื้อหย่วนเอ่ยพลางหัวเราะ
“เจ้ารีบออกไปเถอะ อย่าอยู่นานเลย” เซียวลิ่วหลิงเอ่ยก่อนจะยื่นเงินให้ “อ่ะนี่ ค่าข้าว”
หนิงจื้อหย่วนโบกมือปัด “ข้าไม่คิดเงินเจ้าหรอก! กับแค่หยางชุนเมี่ยนแค่นี้ข้าเลี้ยงเจ้าได้สบายๆ น่า!”
เซียวลิ่วหลังครุ่นคิดอยู่พัก ก่อนจะวางเงินลง “ก็ได้ ขอบใจเจ้ามากเลย”
หนิงจื้อหย่วนนั่งอยู่ในนั้นต่ออีกพักหนึ่ง พลางนึก ห้องนี้ทั้งอุดอู้ทั้งมีกลิ่นโชยจากห้องน้ำ นี่มันแกล้งกันชัดๆ ให้เซียวลิ่วหลังมาทำงานในห้องแบบนี้ทุกวันได้อย่างไร
แต่พอนึกดูดีๆ ถ้าเป็นเขาละก็ ป่านนี้คงโดนแกล้งให้ลาออกจากสำนักแล้วกระมัง
“เจ้านี่นะ…เอาเถอะ”
เดิมทีหนิงจื้อหย่วนคิดจะบอกให้เซียวลิ่วหลังไปขอความเห็นใจกับอันจวิ้นอ๋อง แต่ที่จริงแล้ว การที่เซียวลิ่วหลังโดนแบบนี้น่าจะไม่ใช่เพราะอันจวิ้นอ๋องแต่อย่างใด เพราะเขาเองก็เพิ่งมาใหม่ ไม่น่าจะควบคุมขุนนางในนี้ได้ หนิงจื้อหย่วนเดาว่านี่น่าจะเป็นฝีมือบงการของราชครูจวง
ที่จงใจอยากให้เซียวลิ่วหลังลำบาก
แต่ถ้าอันจวิ้นอ๋องยอมยื่นมือเข้าช่วย อย่างน้อยเซียวลิ่วหลังก็น่าจะสบายขึ้นบ้าง
เพราะอย่างไรเสีย พวกเขาทั้งสามก็เข้ามาที่นี่พร้อมกัน เป็นมิตรต่อกัน
แต่หนิงจื้อหย่วนก็พอเข้าใจว่าเซียวลิ่วหลังไม่ใช่คนแบบนั้นอยู่แล้ว
“เจ้ากลับไปเถอะ” เซียวลิ่วหลังเอ่ยทัก “ที่นี่อบอ้าวนัก”
“ก็ได้ ข้าไปก่อนล่ะ” หนิงจื้อหย่วนพอเห็นว่าเซียวลิ่วหลังทำท่าปฏิเสธที่จะคุยเรื่องนี้ต่อ ก็พลันถอนหายใจหนึ่งที ก่อนจะหยิบกล่องข้าวแล้วค่อยๆ ย่องออกไป
ตกบ่าย เซียวลิ่วหลังยื่นคำจารึกที่ร่างใหม่ให้หยางซิวจ้วนตรวจดู
หยางซิวจ้วนพูดบ่นอุบอิบตามเดิม หากไม่ใช่เพราะขื่อแปป่านนี้เขาคงพลั้งมือทุ่มกองคำจารึกลงไปที่หน้าเซียวลิ่วหลังแล้ว
“ไม่ได้เรื่องเอาเสียเลย!”
หยางซิวจ้วนเดือดดาลจนลุกขึ้นและนั่งลงไปใหม่ ก่อนจะถลึงตาใส่เซียวลิ่วหลัง “มายืนซื่อบื้อตรงนี้อยู่ใย รีบไปแก้เสียสิ!”
เซียวลิ่วหลังจึงกลับหลังหันแล้วเดินออกไป
“นี่ เจ้า กิริยามารยาทแบบนี้…” ขณะที่หยางซิวจ้วนกำลังจะบันดาลโทสะ จู่ๆ อันจวิ้นอ๋องก็เดินเข้ามาในห้องพอดี
“ข้ามาผิดจังหวะรึ” อันจวิ้นอ๋องมองเซียวลิ่วหลังที่กำลังเดินสวนมา ก่อนจะสลับมองไปที่หยางซิวจ้วนที่กำลังหัวร้อน
“มิใช่เช่นนั้นขอรับ” หยางซิวจ้วนพอเห็นอันจวิ้นอ๋องก็รีบเปลี่ยนท่าทีและตีหน้ายิ้มแย้ม ก่อนจะถวายบังคมให้
“ที่นี่ ข้าไม่ใช่อันจวิ้นอ๋อง มีแต่ข้าในนามจวงอวี้เหิง ท่านหยางซิวจ้วนไม่ต้องเกรงใจข้าหรอก” อันจวิ้นอ๋องยื่นมือห้าม
“เอ่อ…ขอรับ!ขอรับ!” หยางซิวจ้วนหัวเราะแห้งๆ ก่อนจะเอ่ยถาม “ท่านอวี้เหิงมาหาข้าน้อย…เอ่อ…ข้าด้วยธุระอันใดหรือ”
อันจวิ้นอ๋องเอ๋ย “เมื่อครู่ ข้าได้พบกับนักปราชญ์หาน เขาแจ้งข้ามาว่ามีหนังสือประวัติศาสตร์จำนวนหนึ่งที่ต้องแก้ไขในห้องสมุดเย่ว์หลัวซาน เลยจะขอให้หยางซิวจ้วนพาขุนนางสองสามคนไปที่นั่น ทางที่ดีควรจัดการให้เสร็จภายในวันนี้”
ห้องสมุดเย่ว์หลัวซานเป็นห้องสมุดที่ได้รับการบริจาคโดยนักพรตผู้บำเพ็ญ และมีหนังสือประวัติศาสตร์มากมายจากราชวงศ์ในยุคต่างๆ แต่หนังสือประวัติศาสตร์บางส่วนจำเป็นต้องได้รับการแก้ไขใหม่
หยางซิวจ้วนรีบขานตอบ “ขอรับ ข้าจะรีบตามคนไปจัดการ! บรรณาธิการจวง…”
“ข้าไปได้” อันจวิ้นอ๋องพยักหน้า
หยางซิวจ้วนยิ้มแห้งให้
อันจวิ้นอ๋องมองไปที่เซียวลิ่วหลังซึ่งเดินออกไปพักหนึ่งแล้ว ก่อนจะเอ่ย “พาเซียวซิวจ้วนไปด้วย ข้าจำได้ว่าเขาชำนาญด้านประวัติศาสตร์มากทีเดียว”
“แต่คงเทียบกับท่านมิได้หรอก!” หยางซิวจ้วนพูดประจบ
แต่ตอนนี้ ในเมื่ออันจวิ้นอ๋องพูดขึ้นเช่นนี้ หยางซิวจ้วนจึงจำต้องยกเลิกแผนการทรมานเซียวลิ่วหลังไปก่อน
ส่วนหนิงจื้อหย่วนถูกขุนนางซื่อตู๋เรียกไปใช้งานตลอดช่วงบ่าย ก็เลยไม่ได้ไปด้วยกัน