บทที่ 293.2 คนโปรดของราชเลขา (2)

สามีข้าคือขุนนางใหญ่

บทที่ 293 คนโปรดของราชเลขา (2)

เนื่องจากภาระงานหนัก พวกเขาจึงจัดการได้เพียงไม่ถึงหนึ่งในสาม และยังไม่ได้เริ่มซ่อมแซมหนังสือโบราณที่เสียหาย

เซียวลิ่วหลังมาทำงานที่สำนักฮั่นหลินได้ไม่ถึงเดือนด้วยซ้ำ ที่เขาเรียนประวัติศาสตร์ได้ดีก็เพราะตาเฒ่าเฟิง ผู้ที่ทิ้งหนังสือประวัติศาสตร์กองใหญ่ไว้ให้เซียวลิ่วหลังได้อ่าน

“ฮุ่ยจงขี่ม้าของเขาและมาถึงด่านเยียนเป่ย ตั้งใจจะข้ามเยียนสุ่ย…”

โชคดีที่เขาเคยเห็นประโยคนี้ในหนังสือของตาเฒ่าเฟิง เป็นเรื่องเกี่ยวกับเหตุการณ์ของฮ่องเต้พระองค์ที่สองของราชวงศ์ก่อนหน้า ที่ชื่อเหวินฮุ่ยจง

วันนั้นอากาศไม่ดี และไม่แนะนำให้ข้ามแม่น้ำ

เหวินฮุ่ยจงไม่ฟังคำแนะนำและยืนกรานที่จะไป โชคดีที่หญิงชาวประมงคนหนึ่งเสี่ยงชีวิตเพื่อหยุดเขา และกระแสน้ำวนยังคงดำเนินต่อไป เหวินฮุ่ยจงรู้สึกว่าเขาและทหารของทั้งสามกองทัพได้รอดพ้นจากการลงโทษ

จากนั้นเหวินฮุ่ยจงก็ได้แต่งตั้งชาวประมงหญิงคนนั้นขึ้นเป็นสนมยศเฟยภายใต้คำคัดค้านของราชวงศ์

แต่ทว่า ตอนจบของชาวประมงหญิงนั้นไม่โชคดีนัก

ในบรรดาสาวงามสามพันคนในวังหลัง คนเราพอได้ใหม่ก็ลืมเก่า

หญิงประมงใช้บั้นปลายชีวิตในวังหลังอย่างโดดเดี่ยว และทิ้งบทกวี ‘เยี่ยนเป่ยฟู่’ ไว้ก่อนที่จะสิ้นลมหายใจ โดยเนื้อหาเป็นการพรรณนาเกี่ยวกับความเหงาครึ่งชีวิตของนาง

โดยหนังสือเล่มนี้ยังขาดใจความบทกวี ‘เยี่ยนเป่ยฟู่’

เซียวลิ่วหลังยกปากกขึ้น ลงบรรจงเขียนเพิ่มลงไป

วันต่อมา

ผู้ดูแลหอสมุดเดินทางเข้ามาทำงานแต่เช้าตรู่

เขาดูแลที่นี่แทนเจ้าของเดิม และมักจะมาที่นี่ทุกๆ สามหรือห้าวันเท่านั้น แต่เพราะเมื่อคืนฝนตก และเขากังวลว่าหลังคาจะรั่วอีกจึงเดินทางมาดู

เขาไปที่ห้องหนังสือทางทิศตะวันออกก่อน แต่ทันทีที่เขาเข้ามา เขาเห็นคนนอนอยู่บนโต๊ะ จึงล้มลงกับพื้นด้วยความตกใจ “ผะ ผีหลอก—”

ไม่แปลกใจที่เขามองอีกฝ่ายเป็นผี ก็ประตูถูกลงกลอนไว้หมดแล้ว นอกจากผีแล้วจะมีใครเข้ามาได้อีก!

เซียวลิ่วหลังตื่นขึ้นเพราะเสียงของเขา ก่อนจะค่อยๆ เงยหน้าขึ้น

ผู้ดูแลพอเห็นหน้าเซียวลิ่วหลังก็เกิดชะงักไปชั่วขณะ

คนอะไร ขนาดหน้ายับเพราะแรงกดจากตอนนอนฟุบยังดูดีขนาดนี้

นี่มันผีที่ไหนล่ะ เทวดาชัดๆ !

แถม…ห้องนี้ยังดูสะอาดเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือเลย หากไม่ใช่เพราะเทวดาเสกคาถาแล้วจะเป็นอะไรไปได้อีก

แม้ว่าจะมีคนเคยบอกเขาว่าจะมีคนจากราชสำนักจะเข้ามาจัดการ แต่เมื่อเช้าวานนี้สภาพที่นี่ไม่ได้เป็นแบบนี้เสียหน่อย

เซียวลิ่วหลังจัดหนังสือในห้องตะวันตกเสร็จเมื่อคืน เมื่อเห็นว่ายังมืดอยู่ เขาก็จัดหนังสือในห้องตะวันออกต่อด้วยเช่นกัน ก่อนเขาจะหลับไปเมื่อใกล้จะรุ่งสาง

“กี่ยามแล้ว” เซียวลิ่วหลังเอ่ยถาม

“ยาม ยามสายแล้ว” ชายคนนั้นเอ่ยตอบด้วยความตกใจ

เซียวลิ่วหลังเลิกคิ้วขึ้น “สายขนาดนี้แล้วรึ”

ที่สำนักฮั่นหลินเข้างานตอนเช้าตรู่

“แถวนี้มีรถม้าหรือไม่” เซียวลิ่วหลังเอ่ยถาม

“มีขอรับ ที่ร้านน้ำชา ท่านเทว…เอ่อ…ท่านชายต้องการใช้รถม้าหรือขอรับ”

เซียวลิ่วหลังยื่นถุงเงินให้เขา “รบกวนเจ้าไปเช่ารถม้ามาให้ข้าที”

“ได้เลยขอรับ!”

เซียวลิ่วหลังลุกขึ้นยืนเพื่อจะออกไปหาน้ำมาล้างหน้าล้างตา

ขณะเดียวกัน ผู้ดูแลก็หันมาเห็นจังหวะที่เซียวลิ่วหลังเดินออกมาจากห้องพร้อมไม้เท้าพอดี

“โอ้…”

เซียวลิ่วหลังขึ้นรถม้ามุ่งหน้ากลับเมืองหลวง

เขาไม่ใช่คนเดียวในรถม้าและมีพ่อค้าอีกสองคนที่กำลังจะไปที่เมืองหลวง พวกเขาจ้างรถม้าก่อน ดังนั้นพวกเขาจึงต้องส่งพวกเขาไปก่อน

สถานที่ที่พวกเขาไปอยู่ไม่ไกลจากสำนักฮั่นหลินนัก พอส่งพวกพ่อค้าเสร็จ เซียวลิ่วหลังก็มุ่งหน้าไปยังสำนักฮั่นหลินโดยทันที

ทันทีที่เขาเข้าไปในสำนัก หนิงจื้อหย่วนก็ปรี่เข้ามาหาเขาพร้อมกับคำถามมากมาย “ลิ่วหลัง! เจ้าไปไหนมา ก็รู้นี่ว่าที่นี่ไม่ให้มาสายน่ะ! อ๋อ จริงสิ เจ้ารู้ไหมว่าหยางซิวจ้วนน่ะเดือดสุดๆ เลย! แต่ตอนนี้เขาออกไปข้างนอกแล้ว”

เซียวลิ่วหลังเอ่ย “ข้าไม่ได้ตั้งใจ เมื่อคืนไม่มีใครมาเรียกข้ากลับไปเลย…เดี๋ยวนะ เจ้าบอกว่าหยางซิวจ้วนเดือดอะไรรึ”

หนิงจื้อหย่วน “ก็ใช่น่ะสิ เขาโมโหใหญ่เลย บอกว่าเจ้าเป็นอะไรมากไหม คิดว่าเป็นจอหงวนใหม่แล้วจะทำตัวแบบนี้ได้หรือ…อ่อ เดี๋ยวนะ เมื่อกี้เจ้าบอกว่าใครไม่ได้เรียกเจ้านะ”

ขณะที่เซียวลิ่วหลังกำลังจะตอบ บังเอิญเฉินเปียนซิวก็กำลังเดินหอบหนังสือออกจากห้องทานแล้วเดินผ่านมาทางนี้พอดี พอเขาเห็นหน้าเซียวลิ่วหลังก็เกิดสะดุ้งไปพักหนึ่ง

เขาลดสายตาลงอย่างรู้สึกผิด เดินผ่านเซียวลิ่วหลังราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น

หนิงจื้อหย่วนไม่ได้รู้จักกับเฉินเปียนซิวนัก และไม่รู้เรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อวาน จึงไม่ได้สังเกตท่าทีของเฉินเปียนซิว แต่หนิงจื้อหย่วนเห็นว่าเซียวลิ่วหลังเอาแต่จ้องเฉินเปียนซิวไม่ละสายตา

“ลิ่วหลัง เจ้าเป็นอะไรรึ” หนิงจื้อหย่วนเอ่ยถาม

“ไม่มีอะไรหรอก” เซียวลิ่วหลังถอนสายตาออก ก่อนจะกันมาตอบ “เจ้าไปทำธุระของเจ้าเถอะ”

มีผู้คนมากมายที่นี่ อีกทั้งเซียวลิ่วหลังกำลังถูกเพ่งเล็งอยู่ หนิงจื้อหย่วนจึงไม่กล้าเข้าใกล้เขาอย่างเปิดเผยมากเกินไป

กว่าเขาจะมีวันนี้ได้นั้นไม่ง่ายเลย

ทุกคนมีวิธีเอาตัวรอดแตกต่างกันไป เซียวลิ่วหลังเป็นคนยอมหักแต่ไม่ยอมงอ ส่วนหนิงจื้อหย่วนยอมงอได้ เพียงแต่เขาเองก็มีขีดจำกัดเหมือนกัน

เซียวลิ่วหลังเดินกลับไปที่ห้องทำงานของตัวเอง

ขณะเดียวกัน เฉินเปียนซิวเองก็เปิดประตูห้องของทำงานของเขาอย่างเงียบๆ ก่อนจะโผล่หัวออกมาและมองไปที่ห้องทำงานของเซียวลิ่วหลัง

พลางนึก เมื่อวานมีคนอยู่ตั้งมากมาย ไม่มีเหตุผลที่เซียวลิ่วหลังจะนึกสงสัยตัวเองได้หรอก

แต่เมื่อคนเราเวลาทำอะไรผิด ก็จะรู้สึกผิดได้ง่าย นั่นทำให้เขารู้สึกว่าเซียวลิ่วหลังจะต้องรีบเข้ามาถามเขาแน่ๆ

ในความเป็นจริง เหตุการณ์เมื่อคืน หยางซิวจ้วนได้ฝากเขาให้ไปตามเซียวลิ่วหลังมาแล้ว

ด้วยความที่พวกเขานั่งรถกันคนละคัน หยางซิวจ้วนนั่งรถคันเดียวกับอันจวิ้นอ๋อง ส่วนพวกเขานั่งรถม้าคันเดียวกัน

รถม้าของหยางซิวจ้วนออกเดินทางไปก่อน และก่อนจะเดินทาง หยางซิวจ้วนก็บอกกับเขาแล้วว่าให้ไปตามเซียวลิ่วหลังขึ้นรถ

เฉินเปียนซิวตอบรับแล้ว

เขารู้ว่าเซียวลิ่วหลังอยู่ห้องใต้หลังคา

แต่เขากลับเลือกที่จะไม่เรียก

ส่วนเสมียนอีกคนนึกว่าเซียวลิ่วหลังขึ้นรถม้าของหยางซิวจ้วนไปแล้ว ก็เลยไม่ได้ถามต่อ

เขาคิดน้อยไปในตอนนั้น เขาเพียงต้องการสอนบทเรียนให้กับเซียวลิ่วหลังก็เท่านั้น ซึ่งทำให้เขาต้องทนทุกข์กับความโชคร้ายของเขาเอง

แต่เช้าวันนี้ พอเขาเห็นท่าที่โมโหของหยางซิวจ้วน เขากลัวว่าหากหยางซิวจ้วนไปถามเรื่องราวจากเซียวลิ่วหลัง เรื่องก็จะสาวมาถึงเขาในท้ายที่สุด

ช่างเถอะ ถึงเวลาก็แค่บอกว่าเขาไปตามแล้ว แต่หาตัวไม่เจอ นึกว่าเซียวลิ่วหลังออกไปแล้วก็สิ้นเรื่อง

เพื่อให้คำกล่าวนี้น่าเชื่อถือยิ่งขึ้น เขาจึงไปหาหวังซิวจ้วนแล้วเอ่ยถาม “เจ้าเห็นเซียวลิ่วหลังครั้งสุดท้ายเมื่อช่วงบ่ายใช่หรือไม่”

หวังซิวจ้วนทำหน้างงก่อนจะตอบ “ข้าไม่ได้สังเกตเลย เขาไม่อยู่รึ”

“แต่ข้าเห็นว่าเขามาทำอยู่พักหนึ่งแล้วนะ”

หวังซิวจ้วนนั่งนึกอยู่พัก เขาจะได้ว่าพอฟ้ามืดลง เขาก็ไม่เห็นเซียวลิ่วหลังแล้ว

หรือแม้ตอนที่ต้องเดินทางกลับ เซียวลิ่วหลังก็ไม่ได้เจอกับหยางซิวจ้วนเลย

ระหว่างที่เซียวลิ่วหลังเดินออกจากสำนัก

ขุนนางข่งมู่ก็เรียกให้เขาหยุด “เมื่อคืนมีคนมาหาเจ้า น่าจะเป็นมารดาของเจ้ามั้ง นางถามว่าเจ้าไปไหน ข้าเลยตอบไปว่าเจ้าไปธุระกับหยางซิวจ้วนที่นอกเมือง”

“ขอบใจเป็นอย่างยิ่ง” เซียวลิ่วหลังเอ่ยขอบคุณ

หยางซิวจ้วนไม่ได้จัดหนังสือเหล่านั้นให้เสร็จเมื่อคืน เขาจึงรีบไปที่ห้องสมุดเดิมหลังจากจัดการงานช่วงเช้าเสร็จ

พอไปถึง ก็พบว่าทุกอย่างถูกจัดแจงและเก็บเข้าที่หมดแล้ว

“นี่…” หยางซิวจ้วนทำหน้าอึ้ง “นี่มันเกิดอะไรขึ้น ใครเป็นคนทำ!”

จากนั้นหยางซิวจ้วนก็หยิบตะกร้าหนังสือสำคัญสองสามตะกร้าและส่งกลับไปที่สำนักฮั่นหลิน

นักปราชญ์หานชื่นชมอย่างมากหลังจากที่ได้เห็นตะกร้าหนังสือเหล่านั้น “ไม่เลวนี่! ทำได้ดีมาก”

หนังสือเหล่านี้เป็นเอกสารที่สำคัญมากและมีค่าอย่างยิ่งต่อการศึกษาประวัติศาสตร์ โดยเฉพาะย่อหน้าเกี่ยวกับอดีตฮ่องเต้เหวินฮุ่ยจงซึ่งไม่มีอยู่ในห้องสมุดขอสำนักฮั่นหลิน

นักปราชญ์หานหยิบหนังสือสองสามเล่มออกมาแล้วส่งไปที่ตู้เพื่อที่พวกเขาจะได้ดูพวกเขาเพื่อดูว่ามีข้อผิดพลาดหรือไม่

ราชเลขาหยวนเองก็อยู่ที่นั่นด้วย

เขาหยิบ ‘เยี่ยนเป่ยฟู่’ขึ้นมาอ่าน

บทกวีนี้สูญหายไปหลายร้อยปี และลัทธิขงจื๊อผู้ยิ่งใหญ่หลายคนพยายามฟื้นฟูมาตลอดชีวิต แม้ว่าเขาจะลองแล้วก็ตาม แต่เขาได้อ้างอิงวรรณกรรมทั้งหมดและตามหาได้แค่เพียงย่อหน้าแรกเท่านั้น

เขาคิดว่าข้อความนั้นน่าจะมีความยาวไม่เกินห้าร้อยคำ ที่ไหนได้ นี่มันเกินพันคำเสียด้วยซ้ำ

“ต้องใช้ความพยายามมากขนาดไหน…” ราชเลขาหยวนอ่านกวีบทนั้นราวมองดูสมบัติล้ำค่า

นักปราชญ์หานเองก็ไม่สามารถบอกได้ว่ามันได้รับการซ่อมแซมโดยพวกเขาหรือโดยอดีตเจ้าของห้องสมุด อย่างไรก็ตาม หนังสือที่นั่นได้รับการซ่อมแซมและบางเล่มยังเป็นหนังสือใหม่อีกด้วย

แต่ราชเลขาหยวนดูออกว่านี่เป็นรอยน้ำหมึกที่เกิดขึ้นไม่เกินสามวันนี้แน่ๆ

นักปราชญ์หานครุ่นคิดอยู่พักหนึ่งก่อนจะเอ่ย “ถ้าเช่นนั้น คงเป็นฝีมือของท่านอันจวิ้นอ๋องแน่ๆ ข้าได้ยินมาว่างานครั้งนี้ลุล่วงได้เพราะเขา”

หยางซิวจ้วนเอาแต่พูดถึงอันจวิ้นอ๋อง ไม่ได้พูดถึงเซียวลิ่วหลังเลยสักนิด

ราชเลขาหยวนนิ่งไปพักหนึ่ง “เจ้าหมายถึง…หลานชายของราชครูจวง คนที่อายุเพียงสิบแปดปีคนนั้นน่ะหรือ”

“ใช่แล้วขอรับ เป็นเขานั่นแหละ แม้ว่าเขาจะเป็นจวิ้นอ๋องผู้สูงศักดิ์แต่เขาเอาแต่ถ่อมตัว ไม่ถือตน เมื่อวานนี้เขาทำงานอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อยและไม่เคยบ่นเลยขอรับ”

ราชเลขาหยวนกระแอมในลำคอหนึ่งที ก่อนจะทำท่าลูบหนวด “ราชครูจวงได้หลานดีจริงๆ ” ก่อนจะนิ่งไปครู่หนึ่งแล้วเอ่ยต่อ “หนังสือพวกนี้ข้าขอเก็บไว้อ่านก่อนได้หรือไม่”

นักปราชญ์หานยื่นมือคารวะ พลางเอ่ย “ท่านราชเลขาหยวนอยากเก็บไว้นานเท่าไหร่ก็ได้ตามใจท่านเลยขอรับ”

ที่นักปราชญ์หานส่งหนังสือมาที่นี่เพื่อแสดงความขอบคุณและเอาใจราชเลขาหยวน หากราชเลขาหยวนไม่ปลื้มหนังสือเหล่านี้ก็เท่ากับที่ทำมาทั้งหมดกลายเป็นศูนย์น่ะสิ

ช่างเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้รับการสนับสนุนจากท่านราชเลขาหยวน

แม้ราชเลขาหยวนจะเล่นเกมการเมืองไม่เก่งเท่าราชครูจวง แต่ในราชสำนักนี้ แน่นอนว่าไม่มีใครกล้าเล่นด้วยราชเลขาหยวนอย่างแน่นอน

ต่อให้ราชครูจวงคิดจะเล่นงานเซวียนผิงโหวได้ แต่แน่นอนว่าราชครูจวงไม่กล้าล่วงเกินกับราชเลขาหยวนแน่นอน

ในทำนองเดียวกัน แม้แต่เซวียนผิงโหวเองยังไม่กล้าแตะต้องราชเลขาหยวนได้เลยด้วยซ้ำ

นี่คือผู้เฒ่าสามราชวงศ์ที่อยู่เหนือกระแสน้ำวนของอำนาจ เขาคือผู้ที่ผ่านมาแล้วสามยุคสามสมัย แม้แต่จวงไทเฮาเองยังต้องยำเกรงให้เขา