บทที่ 373 : เพลิงที่มองไม่เห็น
บทที่ 373 : เพลิงที่มองไม่เห็น
ใบหน้าของเมลิสซ่าในกองเพลิงเผยรอยยิ้มออกมา ดวงตาคู่งามเหมือนอัญมณีหยีราวจันทร์เสี้ยว แล้วเธอก็อ้าปากออกเหมือนอยากจะพูดอะไรบางอย่าง
ประกายเพลิงอ้อยอิ่งที่ปลายนิ้วของโจเซฟได้สลายหายไปท่ามกลางสายลมเย็นเยียบ…
มือที่เอื้อมออกไปของอัศวินค้างอยู่กลางอากาศ เถ้าถ่านและเกล็ดหิมะหมุนวนกระจัดกระจายไปทุกทิศ ไม่สามารถถูกลมหอบเข้าไปในมือพ่อของเธอ
ดวงตาของโจเซฟเบิกกว้าง กาลเวลาเหมือนหยุดลงสำหรับเขา แล้วเขาก็มองลูกสาวที่น่ารักของตัวเองกลายเป็นเถ้าถ่านไปต่อหน้า
ตู้ม…!
เขตแดนที่ใช้แนวคิดการเผาไหม้ขยายออกอย่างรวดเร็วจนไม่สามารถหยุดยั้งได้ มันควบแน่นบนร่างของโจเซฟ เพลิงพิสุทธิ์แผดเผาอย่างดุเดือดราวกับจะทำให้สรรพสิ่งมอดไหม้ในทันที แต่เขาไม่รู้สึกอะไรอีกต่อไปแล้ว
อัศวินผู้แข็งแกร่งดังเหล็กกล้าที่ไม่เคยอ่อนแอมาก่อนในชีวิตรู้สึกว่าเสียงในลำคอถูกบางอย่างขวางกั้น เขาอ้าปากพะงาบ ๆ เหมือนปลา แต่ไม่สามารถพูดออกมาเป็นคำพูดที่สมบูรณ์ได้…
“เม…เมลิสซ่า…”
โจเซฟสะอึกเอ่ยชื่อของลูกของเขาออกมา
เขารู้ว่าการเผาผลาญพลังชีวิตเจ็บปวดแค่ไหน แต่เมลิสซ่าก็ฝืนข้ามสนามรบ ก้าวข้ามการถูกเขตแดนระดับเหนือนภาของไวลด์ถล่มมาจนถึงตัวเขาได้
โอบล้อมไปด้วยเปลวเพลิงโชติช่วงที่ไม่ได้อ่อนแรงลงเลย
แต่เด็กดีที่แข็งแกร่งเช่นนี้ เมลิสซ่าของเขาผู้อ่อนโยน น่ารัก ฉลาด ทำงานหนัก ซน สวยและใจกล้าไม่เคยเป็นที่รักของชะตากรรม…
จนท้ายที่สุด เธอก็มาไม่ถึงอ้อมแขนของผู้เป็นพ่อ!
“เมลิสซ่า…พ่อขอโทษ”
ความโศกเศร้ามหาศาลถาโถมใส่โจเซฟ และดวงตาแข็งกร้าวที่ไม่เคยเปียกชื้นน้ำตามาหลายปีจนคิดว่ามันแห้งไปนานแล้วก็เต็มไปด้วยน้ำตาในทันใด
เขาสูดหายใจลึก ๆ แต่อากาศรอบ ๆ ก็ดูเหมือนเปลี่ยนสถานะเป็นของแข็ง ทำให้เป็นไปไม่ได้เลยที่เขาจะหายใจได้แม้ครึ่งปอด
มันราวกับว่าทุกสิ่งที่ทำให้เขายังมีชีวิตปลิวจากเขาไปแล้วพร้อม ๆ กับเถ้าถ่านเหล่านั้น ไม่เหลืออะไรไว้เลย
ในสายตาที่พร่ามัวด้วยน้ำตาของเขา รอยยิ้มของเมลิสซ่าและความทรงจำเกี่ยวกับเธอก็ฉายขึ้นมาในใจของเขาอย่างรวดเร็ว
แล้วจากนั้น มันก็ดูจะค่อย ๆ ทับซ้อนกับใบหน้าที่อ่อนเยาว์และหาญกล้าเท่าเทียมกันกับแม่ของเธอ
แม่ของเมลิสซ่าก็เป็นอัศวินแห่งแสงและสหายร่วมรบที่ต่อสู้เคียงบ่าเคียงไหล่กับโจเซฟมานับครั้งไม่ถ้วน
เขายังจำได้…เมลิสซ่าทั้งไม่ชอบทั้งกลัวแม่ของเธอมากในสมัยเด็ก เพราะเธอคาดหวังสูงและเข้มงวดมาก
“ดาเลีย…”
แม่ของเมลิสซ่าซึ่งก็เป็นอัศวินแห่งแสงเช่นกัน ได้ตายในอ้อมแขนของโจเซฟ…
[“โจเซฟ ฉันกำลังจะตาย” ดาเลียแย้มยิ้ม เอื้อมมือออกไปลูบแก้มของเขา แล้วพูดเบา ๆ “ยกโทษให้ฉันด้วย ฉันทำได้แค่ปล่อยให้คุณดูแลลูกของเราคนเดียว…ฉันต้องไปแล้ว หวังว่าจะได้เห็นเมลิสซ่าเป็นอัศวินที่แท้จริงนะ…”]
ในตอนนั้น โจเซฟคิดว่าตราบใดที่เขาแข็งแกร่งพอ เขาก็จะปกป้องทุกคนได้
ดังนั้นโจเซฟจึงทุ่มเทอย่างหนักในการฝึกฝนตนเอง รับงานต่อเนื่อง วนเวียนอยู่ระหว่างความเป็นความตายเพื่อลืมความเจ็บปวดในใจ และคำนึงถึงงานของหอพิธีกรรมต้องห้ามเป็นอันดับแรก อารมณ์ของเขาเลวร้ายขึ้นทุกที แต่นิสัยของเขาก็ยิ่งซื่อตรงและชอบธรรมขึ้นเรื่อย ๆ
เขาสานต่อเจตจำนงของภรรยา ตั้งความคาดหวังต่อเมลิสซ่าอย่างเข้มงวด หวังว่าเธอจะสามารถเป็นอัศวินแห่งแสงเหมือนแม่ของเธอได้
ไม่คิดเลยว่าเมื่อถึงวันนี้ เมลิสซ่าจะเป็นดั่งที่อัศวินแห่งแสงควรจะเป็นจริง ๆ เธอเปล่งประกายและอ่อนโยนเหมือนแม่ของเธอ
…แต่ก็ตายในอ้อมแขนของเขาเหมือนกับแม่ของเธอด้วยเช่นกัน
“อะไร…?”
แข็งแกร่งไปแล้วมีประโยชน์อะไร?
อะไรคืออัศวิน?
สุดท้ายแล้ว เขาก็ปกป้องอะไรไม่ได้สักอย่าง…!
น้ำตาหยดโตโปรยปรายและระเหยไปอย่างรวดเร็วภายใต้อุณหภูมิที่สูงลิ่ว โจเซฟคุกเข่าลงที่พื้น ปิดหน้าร่ำไห้อย่างปวดร้าวท่ามกลางเปลวเพลิงสีขาวที่โหมกระหน่ำ
ไม่รู้กี่ครั้ง เมื่อดาบปีศาจแคนเดลานำภาพหลอนอันแสนเจ็บปวดมาสู่เขา วันคืนนับไม่ถ้วนที่เขานอนกระสับกระส่าย เขาเคยคิดว่าสิ่งเหล่านี้คือนรก
ไม่คิดเลย ว่าโลกนี้จะยิ่งน่ากลัวกว่านรกอีก…
—
“อะไร…”
เมื่อวินสตันได้ยินเสียงแล้วหันไปอีกครั้ง เขาก็ชะงักไป
ไกลออกไป การระเบิดของเปลวเพลิงสีขาวทำให้สนามรบสว่างจ้าขึ้นวูบหนึ่ง แต่เมื่อความมืดมิดล้อมเข้ามาอีกครั้ง เพลิงที่เหมือนดอกบัวแดงอันงดงามก็ได้หายไปอย่างสมบูรณ์แล้ว
หัวใจของวินสตันดิ่งวูบ เขาพูดไม่ออก อึ้งโดยสมบูรณ์
เขาไม่อยากเชื่อเลยว่าชีวิตของเด็กสาวผู้เฉลียวฉลาดและเปี่ยมพรสวรรค์จะจบลงที่นี่อย่างง่ายดายขนาดนี้ แต่ว่า…
หลังจากนั้นครู่ใหญ่ ๆ เขาก็ฟื้นจากความเงอะงะ ทึ้งผมตัวเองอย่างแรง แล้วมองทะเลเพลิงสีขาวที่ดูแข็งแกร่งแล้วเงียบไปอย่างปวดร้าว
ในฐานะเพื่อนเก่า เขารู้อดีตของโจเซฟ
แม้ว่าสำหรับคนนอก โจเซฟจะสว่างไสวดั่งตะวัน แต่ความตายของดาเลียเป็นมุมมืดที่ซ่อนอยู่ในใจของเขาเสมอ และเขาก็โทษตัวเองอยู่ช่วงหนึ่ง หวังว่าเขาน่าจะตายไปกับเธอในภารกิจนั้น นั่นคือเปลวเพลิงศักดิ์สิทธิ์ ‘ไร้เทียมทาน’ ที่ไม่เคยกลัวความตาย
หลังจากนั้น เมลิสซ่าก็กลายเป็นที่พักใจเดียวของเขา ทำให้เขากลับมาจากความตายได้เสมอ
แต่…ถ้าเมลิสซ่าตายล่ะ?
—
เปลวเพลิงสีขาวโถมซัดคลื่นสีดำจนแตกกระเจิงออกไป
ไวลด์มองลงมายังโจทก์เก่าของเขา และเมื่อเห็นสภาพอ่อนแออับจนหนทางของอีกฝ่าย เขาก็ไม่ได้เยาะเย้ย แต่แสดงสีหน้าสงสารอย่างหาที่เปรียบไม่ได้
คนน่าสงสารที่ไม่สามารถปล่อยภาระทางจิตใจไปได้ ก็มีแต่จะแพ้เท่านั้น
ส่วนตัวไวลด์เองน่ะหรือ?
ในอดีต เขาจะแสดงด้านที่อ่อนโยนให้ศิษย์สองคนที่เขามองว่าเป็นคนของเขา แต่สิ่งที่เขาได้รับกลับมาคือการทรยศและความตาย เป็นดั่งมีดที่แทงเข้าใส่จุดที่อ่อนนุ่มของเขา
นับแต่วันที่เขาลงมือฆ่าศิษย์ที่เขาทะนุถนอมที่สุดจากการชี้นำของเจ้าของร้านหลิน เขาก็ได้ตื่นจากความฝันที่หลอกตัวเองและตัดทุกความรู้สึกของเขาทิ้งไปหมดแล้ว
เมื่อเห็นว่าโจเซฟในตอนนี้ดูน่ากลัวแค่ไหน ไวลด์ก็พบว่ามันดูตลกสุด ๆ เลย
เขาฉีกยิ้มแล้วพูดเสียงต่ำ “จุ๊ ๆๆ โจเซฟ… เจ็บเหรอ? ไม่สบายใจเหรอ? นี่คือหนทางที่นายเลือก นี่คือทุกอย่างที่นายอยากปกป้อง ดูสิว่านายปกป้องอะไรได้บ้าง?”
ในขณะที่ไวลด์ใช้คำพูดกร่อนการป้องกันตัวของโจเซฟ เขาไม่รอช้าที่จะฉวยโอกาสงาม ๆ นี้ไว้
สิ่งที่ต้องทำเร่งด่วนที่สุดไม่ใช่การล้อเลียนคู่ต่อสู้ แต่ต้องฆ่าโจเซฟเมื่อเขาพังทลาย…
ทันทีที่เขาอ้าปาก สสารแห่งจุดจบนับไม่ถ้วนซึ่งเป็นตัวแทนแนวคิด ‘จุดจบ’ ก็พุ่งเข้ามาดั่งภูเขาถล่มทะเลคลั่ง
ไวลด์โบกหนวดของเขา เตรียมใช้ร่างของตัวเองจบชีวิตโจเซฟ
สสารแห่ง ‘จุดจบ’ ฆ่าโจเซฟไม่ได้เร็วนักหรอก
‘จุดจบแห่งชีวิต’ ที่ว่านี้ ที่จริงแล้วก็คือการเร่งความเร็วชีวิตของสิ่งต่าง ๆ จนถึงจุดจบและแตกสลายไป แต่โจเซฟเข้าสู่ระดับเหนือนภาแล้ว และระดับเหนือนภาทุกชีวิตก็มีชีวิตเป็น ‘กึ่งอมตะ’
เหตุผลที่เป็น ‘กึ่งอมตะ’ ก็ย่อมเป็นเพราะไม่มีสิ่งใดในโลกนี้ที่จีรังตลอดกาลอย่างแท้จริง (นอกจากเจ้าของร้านหลินผู้ยิ่งใหญ่) กระทั่งระดับเหนือนภาก็แค่คงอยู่เป็นเวลานาน
แม้ว่า ‘จุดจบ’ จะสามารถทำให้โจเซฟหายไปได้ แต่มันจะใช้เวลานาน ดังนั้นไวลด์จึงแค่ใช้กฎเกณฑ์ของตัวเองลดทอนกำลังศัตรูให้ได้มากที่สุดเพื่ออำนวยความสะดวกต่อการกระทำของเขา
เส้นหนวดปล่อยสสารสีดำออกมาราวกับยื่นออกมาจากในนรก พวกมันพุ่งจากใต้ดินสู่พื้น โจมตีโจเซฟอย่างไม่หยุดหย่อน
โจเซฟยังคงสะอื้นไห้ ยอมรับความตายของลูกสาวของเขาไม่ได้ เขาถูกเส้นหนวดนับไม่ถ้วนปกคลุมเป็นก้อนทันที และแสงจากไฟสีขาวก็ดูจะหายไป
ไวลด์รวบรวมพลังของเขา และเขตแดน ‘จุดจบ’ ของเขาก็ลดรัศมีลง
ไวลด์มองโจเซฟที่ไม่กระดิกตัวแล้วยกมุมปากขึ้น…
“!!!”
จู่ ๆ ความเจ็บปวดแสบร้อนก็แล่นเข้าสู่สมองของเขา
ไวลด์ยังไม่ทันตั้งตัว เขาก็อยากหดเส้นหนวดอย่างไม่รู้ตัวเหมือนคนที่โดนน้ำร้อนลวก…
แมกม่าที่เหมือนคลื่นน้ำทะลักออกมาจากใต้กองหนวดที่ห่อตัวโจเซฟอยู่ และทุกที่ที่มันผ่านก็แตกระแหง กลายเป็นพื้นดินอันร้อนระอุ
ไวลด์เบิกตากว้างมองเส้นหนวดที่เขาใช้มัดตัวโจเซฟเริ่มหายไปเหมือนกระดาษบาง ๆ ต่อหน้าเขา ราวกับพวกมันถูกเปลวเพลิงที่มองไม่เห็นเผาและขยายวงขึ้นเรื่อย ๆ เขาทำได้เพียงตัดหนวดส่วนที่ไหม้ของตัวเองออก
โจเซฟหยุดร้องไห้แล้ว เขาหยิบดาบของเขาแล้วลุกขึ้นช้า ๆ รอบตัวเขาไม่มีเปลวเพลิงอีกต่อไป เส้นผมที่ปลิวกระพือเงียบ ๆ ในสายลมหนาวกลายเป็นสีขาวโดยสมบูรณ์ ร่างของเขางองุ้มและดูแก่ชรามาก
เขตแดนนาม ‘การเผาไหม้’ ถูกสร้างขึ้นแล้ว
แต่ที่นี่กลับไม่มีเปลวไฟ
โจเซฟเงยหน้าขึ้นแล้วยกดาบ ดวงตาของเขาไร้ชีวิตชีวา แต่ดูเหมือนบางอย่างที่มองไม่เห็นจะกำลังเผาไหม้อยู่
“ไวลด์…ฉันจะฆ่าแก!”