บทที่ 374 คุณพูดอะไรนะครับ

เจ้าของร้านพิศวง

บทที่ 374 : คุณพูดอะไรนะครับ?
บทที่ 374 : คุณพูดอะไรนะครับ?

ชั้นเมฆหมอกที่ทั้งหนาและดำสนิทลอยต่ำมาก ๆ จนดูพร้อมถล่มลงมาได้ทุกเมื่อ ปรากฏการณ์บนท้องฟ้าที่ผิดปกตินี้ทำให้โลกทั้งใบดูเหมือนถึงกาลอวสาน สายฟ้าแลบแปลบปลาบให้เห็นผ่านกลีบเมฆ ก่อนจะถูกพายุหิมะที่หวีดหวิวกลบไปหมด

เปรี๊ยะ…!

รอยร้าวปรากฏขึ้นอีกครั้งบนข่ายมนตร์ที่ตั้งเครื่องจำลองนิมิตชั้นที่สอง ทำให้เห็นว่ามันจะยื้อไว้ได้อีกไม่นานนัก

พื้นดินสั่นไหวเบา ๆ และรอยร้าวที่เหมือนใยแมงมุมก็กระจายออกไปเป็นวงกว้างโดยไม่มีท่าทีหยุดขยายตัว

วินสตันก้าวถอยหลังสองก้าว สูดหายใจลึกแล้วเอื้อมมือออกไปคว้าอากาศที่ว่างเปล่า สัมผัสถึงอุณหภูมิรอบ ๆ สนามรบที่ไต่ระดับขึ้นอย่างต่อเนื่องได้อย่างชัดเจน

แคโรไลน์ หัวหน้าหน่วยโลจิสติกส์ที่มาจากด้านหลังกำลังยืนอยู่ข้าง ๆ เขา หญิงสาวจุดบุหรี่ขึ้นหนึ่งมวน และเลือดก็ยังไหลออกมาจากดวงตาที่หลับอยู่ของเธอ

เพราะสนามพลังอีเธอร์ที่วุ่นวายในสนามรบเกินกว่าขอบเขตตรวจจับของเครือข่ายการตรวจจับอีเธอร์ไปโดยสมบูรณ์แล้ว เพื่อที่จะได้รับข้อมูลที่แม่นยำกว่า แคโรไลน์จึงต้องเข้ามาในสนามรบด้วยตัวเอง

“เฮ้อ…” แคโรไลน์นวดหัวตาของตัวเองแล้วพ่นควันออกมาหนึ่งคำ แม้ว่าดวงตาของเธอจะสามารถรับข้อมูลของสิ่งที่เธอมองได้ทันที แต่มันก็ทำให้จิตของเธอเสียหายอย่างหนัก เธอพูดอย่างเหนื่อยหน่าย “ในที่สุดโจเซฟก็ทำให้กฎของเขาสมบูรณ์ได้ เขตแดนเทพแห่งที่สองก่อตัวขึ้นแล้ว…นี่ไม่ใช่อะไรที่ปลาซิวปลาสร้อยอย่างเราสามารถเข้าร่วมได้เลย”

“…”

ในขณะที่เรื่องนี้แสดงให้เห็นความเป็นไปได้ที่จะพลิกกลับมาชนะของโจเซฟ วินสตันกลับไม่ได้รู้สึกใจชื้นขึ้นมาเลย

เหตุผลที่ ‘เปลวเพลิงศักดิ์สิทธิ์ไร้เทียมทาน’ เป็น ‘เปลวเพลิงศักดิ์สิทธิ์ไร้เทียมทาน’ ได้นั้นก็เพราะวิชาประจำตัวของโจเซฟอาศัยการเผาผลาญอีเธอร์เพื่อต่อสู้ ซึ่งสร้างเปลวเพลิงสีขาวขึ้นมา

จากปากของบรรดาผู้ติดตามของโจเซฟ ไฟของเขาคือแสงแห่งความยุติธรรม

แต่ตอนนี้ อีกฝั่งหนึ่งของเขตแดนคือความมืดมิด

วินสตันมองไปไกลและเข้าใจสิ่งที่แคโรไลน์จะสื่อ สิ่งที่จะเกิดจากนี้คือการต่อสู้ระดับเหนือนภาที่แท้จริง การปะทะกันระหว่างกฎเกณฑ์และแนวความคิดที่เกินขอบเขตของทุกสิ่ง

เขามองเสากั้นขอบสร้างจากอีเธอร์ที่ตั้งอยู่รอบ ๆ เครื่องจำลองนิมิตแล้วเริ่มกังวลว่าเครื่องจำลองนิมิตจะทนอยู่ได้อีกนานแค่ไหน ถ้าข่ายมนตร์สุดท้ายนี้แตกสลายไปโดยที่หอพิธีกรรมต้องห้ามก็ยังไม่พร้อมปลุกสิ่งที่อยู่ในเขตกลาง ทั้งนอร์ซินก็อาจจะถูกทำลายไปจริง ๆ ก็ได้

วินสตันพูดสิ่งที่อยู่ในใจออกมาอย่างเหม่อลอย…

แคโรไลน์พูดติดตลกเมื่อเธอได้ยินคำพูดเหล่านั้น “อย่างน้อย คุณก็ไม่ต้องห่วงว่าจะได้รับบทลงโทษใด ๆ จากการขัดคำสั่งโจมตีก่อนหน้านี้นะ”

วินสตันแค่นยิ้ม

เขาไม่อยากจะสนใจหอพิธีกรรมต้องห้ามบ้าบอนี่อีกต่อไปแล้ว วินสตันมองเหล่าอัศวินที่กำลังพักฟื้นตัวอยู่เบื้องหลังเขา แล้วคิดว่าอย่างน้อย เขาก็ทำในสิ่งที่ตัวเองทำได้แล้ว

โจเซฟ…พอเป็นเรื่องของการเป็นหัวหน้าหน่วย ฉันก็ไม่ได้แย่ไปกว่านายหรอกนะ!

เมื่อคิดถึงการต่อสู้ทั้งต่อหน้าและลับหลังของทั้งสองในอดีต วินสตันก็อดยิ้มไม่ได้

แต่รอยยิ้มบนใบหน้านั้นก็เลือนหายไปในไม่ช้า เขากำอุปกรณ์สื่อสารไว้เล็กน้อยด้วยสีหน้าซับซ้อน เกร็กยังไม่ส่งข่าวมาหาเขาเลย แต่ตอนนี้เขาคงเข้าใจสถานการณ์แล้วล่ะ

จุดประสงค์ของเจ้าของร้านหนังสือคือทำให้โจเซฟและไวลด์อาศัยกันและกันเพื่อเลื่อนขั้นสู่ระดับเหนือนภา

เหมือนกับการเลี้ยงหนอนกู่ ทุกภาคส่วนต่างทำเพื่อความสำเร็จของทั้งสองคนนี้ และเมื่อบรรลุเป้าหมาย คนที่อยู่ในฉากไม่ว่าจะเป็นพวกเขาหรือใคร ต่างก็เป็นแค่ขยะไม่เกี่ยวข้องที่สามารถถูกโยนทิ้งได้ตลอดเวลา

ความโหดร้ายของผู้ยิ่งใหญ่เหล่านี้ชวนให้อึดอัดใจจริง ๆ

ในโลกที่ถูกข่ายมนตร์แยกออกจากความเป็นจริง พื้นที่ที่ถูกอีเธอร์ระดับเหนือนภาถล่มใส่อย่างต่อเนื่องเต็มไปด้วยรอยแตกแดนนิมิต และสัตว์มายาระดับต่ำบางตนที่ฉวยโอกาสย่องออกมาต่างก็ถูกทำลายด้วยเขตแดนแห่งจุดจบทันทีที่ออกมา

พื้นดินจำลองฝีมือมนุษย์ของนอร์ซินถูกทำลายเกลี้ยง และโครงสร้างเหล็กที่พยุงเมืองอยู่เบื้องใต้ก็ถูกเผยออก ถูกกัดกร่อนอย่างรวดเร็ว และกำลังค่อย ๆ แตกสลาย ทำให้โครงสร้างเริ่มสั่น

หิมะหนาที่โปรยปรายทั่วฟ้าถูกความร้อนจัดทำให้ระเหยไปก่อนจะทันได้ตกถึงพื้น และจากที่เห็น อากาศก็เริ่มบิดเบี้ยวสุดลูกหูลูกตา

โจเซฟยืนถือดาบในมือ เพลิงที่ลุกไหม้ทั่วร่างของเขาไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาอีกต่อไป แต่คลื่นความร้อนและลมร้อนระอุพัดเป่าเข้ามาหาเขา ทำให้ทุกอย่างรอบ ๆ ตัวเขาลุกเป็นไฟ

หากไม่มีฟืนให้เผา การตัดสินใจนี้ก็เหมือนฆ่าตัวตาย

เขตแดนแห่งการเผาไหม้ที่ขยายตัวอย่างต่อเนื่องกำจัดทุกสิ่งในขอบเขตของมันอย่างรวดเร็ว พื้นที่วงกลมว่างเปล่าขนาดใหญ่ยักษ์ค่อย ๆ ก่อตัวขึ้นรอบ ๆ โจเซฟผู้จ่ายชีวิตตัวเองเพื่อซื้อพลัง เขาดูเหมือนมีอีเธอร์ไม่จำกัด

แม้ว่าจะไม่มีแสงสว่าง แต่สสารสีดำที่เงียบงันเหล่านั้นกลับเป็นเหมือนเงาที่ถูกแสงแดดสาดใส่ พวกมันระเหยหายไปในพริบตา

ทว่าสสารที่กระฉอกออกมาอย่างต่อเนื่องนั้นดูเหมือนจะไม่มีจุดจบ และพวกมันก็รุมเร้าเข้ามาอย่างต่อเนื่อง

ไวลด์ยิ้มเยาะแล้วพูดเสียงดัง “จุดจบคือชะตากรรมที่เปลี่ยนไม่ได้ จุดจบของจุดจบก็ยังเป็นจุดจบอยู่ดี ต่อให้นายเผาทุกอย่างไปหมด จุดจบที่นายเห็นก็คือจุดจบ แนวคิดของเขตแดนของฉันอยู่เหนือนาย และนายจะไม่มีวันชนะฉันได้”

“ดังนั้น นายและลูกสาวของนาย พยายามไปก็เท่านั้นแหละ!”

โจเซฟดูเหมือนจะไม่ได้ยินคำพูดเหล่านั้นเลย เขาจับจ้องไวลด์อย่างสงบ ดาบหักในมือของเขาดูใช้การไม่ได้อย่างชัดเจน

แต่จู่ ๆ มันก็ทำให้เสียงเตือนในหัวของไวลด์ทำงานตามสัญชาตญาณ เขาสัมผัสบางอย่าง แล้วพลันตกใจ “นาย…”

จู่ ๆ โจเซฟก็ขยับตัว

เขาทำเพียงสิ่งเดียวเท่านั้น นั่นคือการก้าวไปข้างหน้าก้าวหนึ่ง แล้วฟันดาบของเขาเข้าใส่ไวลด์

ในตอนนี้ มองอย่างไรก็ไม่มีแสงให้เห็น แต่ทุกคนที่มองสนามรบอยู่ก็ดูเหมือนจะเห็นแสงสว่าง

ตอนนั้น สิ่งที่ปรากฏขึ้นเบื้องหลังไวลด์ในสนามรบคือร่างสีขาวใหญ่โตที่เปลี่ยนรูปร่างตลอดเวลาเหมือนเปลวเพลิงที่มีชีวิต และมันก็ฟันดาบใส่เขาเช่นกัน!

พลังของภาพจิตเสมือนถูกขยายขึ้นหลายสิบล้านเท่า!

และครั้งนี้มันอยู่ในระดับเหนือนภา!

สีหน้าของไวลด์หวาดกลัว และเขาก็อ่านข้อความจากสายตาของโจเซฟได้ว่า…

“ฉันไม่จำเป็นต้องฆ่าเขตแดนของแก ฉันก็แค่ฆ่าแกก็พอ!”

ใช่แล้ว!

ไวลด์ควบคุมแนวคิด แต่ตัวเขาเองห่างไกลจากการเป็นแนวคิด

ดังนั้นเขาจึงบอกได้เพียง ‘ฉันคือการทำลายล้าง’ แต่ไม่ใช่ ‘ฉันคือจุดจบ’!

นี่ยังเป็นสิ่งที่โจเซฟเข้าใจหลังจากเขาเลื่อนขั้นสู่เหนือนภา แม้ว่าจะ ‘กลายเป็นเทพ’ แต่ก็ยังต้องอยู่ภายใต้กฎการวิวัฒนาการพลังของผู้มีพลังเหนือธรรมชาติอยู่ดี

การไหลของอีเธอร์ไม่เคยเปลี่ยนแปลง

อัศวินบ่มเพาะร่างกายของพวกเขาด้วยความเป็นความตาย ดังนั้นอัศวินระดับเหนือนภาก็จะมีร่างกายระดับเหนือนภาด้วย แต่พวกเขาก็ยังไม่สมบูรณ์และยังใช้วิชาต่าง ๆ อย่างเงอะงะหรือล้มเหลวได้

ในแง่เดียวกัน…

พวกนักเวทใช้การทำสมาธิเพื่อฝึกฝนวิญญาณของพวกเขา ดังนั้นนักเวทระดับเหนือนภาจะสามารถควบคุมคาถาทุกบทได้ แต่พวกเขาก็ยังอ่อนแอและมีร่างกายบอบบางเช่นปุถุชน

พูดอีกอย่างก็คือ เขาจับจุดอ่อนของไวลด์ได้

แม้ว่าไวลด์จะเปลี่ยนร่างกายของตัวเองอย่างแสนกลโดยใช้พิธีลับ แต่ที่จริงแล้ว ร่างจริงของเขาก็ยังเปราะบางสุด ๆ อยู่ดี!

ดาบยาวชี้ตรงเข้าสู่ใบหน้าที่ปรากฏขึ้นบนร่างมหึมาของไวลด์ และเขตแดนแห่งการเผาไหม้ที่ถูกปลดปล่อยตามออกมาก็ถูกบีบอัดจนถึงขีดสุด จากนั้นก็ระเบิดออกด้วยแสงเจิดจ้าราวดวงตะวัน!

“อน่างนั้นก็ลองดูสิ…ในเมื่อพลังทั้งหมดของนางถูกรวมไว้ที่ภาพเสมือน ร่างของนายในตอนนี้ก็น่าจะอ่อนแอมากเหมือนกันนี่?”

ไวลด์แค่นยิ้มอย่างโมโห จากนั้นก็กวาดลมพายุหิมะที่เหลืออยู่อีกครั้ง รวมถึงเลือดเนื้อ วิญญาณของผู้ที่ถูกสังเวย และสสารแห่งจุดจบอันมากเกินจินตนาการถูกใช้เพื่อต่อต้านการเผาไหม้ของโจเซฟ

ในขณะเดียวกัน เขาก็สั่งเส้นหนวดนับไม่ถ้วนให้เสียบทะลวงร่างที่เริ่มแตกสลายของโจเซฟ

ผู้มีพลังเหนือธรรมชาติระดับเหนือนภาทั้งสองปะทะกันสุดกำลังในพริบตา

สีดำและขาวพัวพันกัน!

ทั้งสองละลายกลายเป็นลูกบอลแสงสีเทา และคลื่นกระแทกปนเศษซากของทั้งเมืองก็ระเบิดออกเข้าใส่ข่ายมนตร์ เครื่องจำลองนิมิตทนพลังไม่ไหวแล้วพังลงในทันที

เขตแดนระหว่างแดนนิมิตและความเป็นจริงถูกทำลายโดยสมบูรณ์

อำนาจรุนแรงทะลักออกมาราวน้ำท่วม จมทุกอย่างจนราบเป็นหน้ากลอง

และครั้งนี้ นี่ไม่ใช่แดนนิมิตที่กึ่งฝันกึ่งจริงอีกต่อไปแล้ว แต่เป็นนอร์ซินที่แท้จริง

ไวลด์ได้ยินโจเซฟส่งเสียงคำรามสุดท้าย หรืออาจไม่ใช่ เขาค่อย ๆ เสียการมองเห็นโลกภายนอกไป แล้วทั้งโลกก็เหลือเพียงความเจ็บปวดแสบร้อน…

ร่างมหึมาของไวลด์ระเบิดออกเหมือนลูกโป่งถูกเข็มจิ้ม หัวมนุษย์ที่เต็มไปด้วยรอยแผลของเขาถูกดาบของยักษ์สีขาวบั่นออก จากนั้นก็ถูกเท้ากระทืบแหลกเละ

มวลสมองสีเหลืองตุ่น ๆ ถูกบีบออกมา แล้วยักษ์สีขาวก็กลายเป็นความว่างเปล่าโดยเขตแดนแห่งจุดจบ

“ไม่…เป็นไปไม่ได้…!!”

ไวลด์พึมพำอย่างยากลำบาก ดวงตาที่เบิกกว้างของเขาค่อย ๆ สูญเสียชีวิตชีวาไป

“ไม่มีอะไรที่เป็นไปไม่ได้หรอก”

ในซากปรักหักพังที่เงียบสงัด โจเซฟเดินมาหาพร้อมดาบในมือและพายุที่ผันผวนรอบตัวเขา เสียงของเขาแหบต่ำมากพอจะฆ่าอีกฝ่ายได้

แต่การเผาไหม้ของเขายังไม่จบสิ้น

ฉัวะ!

โจเซฟเงื้อดาบขึ้นเสียบเข้าไปในหัวของไวลด์ จบชีวิตอีกฝ่ายอย่างสมบูรณ์

นักเวทมนตร์ดำยังไม่ทันพูดคำพูดทิ้งท้ายจบประโยค ดวงตาของเขาก็ดับแสง และในขณะเดียวกัน เขตแดนแห่งจุดจบก็หายไปพร้อม ๆ กับความตายของเจ้าของมัน และสสารแห่งจุดจบนับไม่ถ้วนก็แหลกสลายสู่ความว่างเปล่าอย่างรวดเร็ว

“เมลิสซ่า…”

โจเซฟมองมือที่สั่นเทาของเขา แล้วเห็นร่างที่ค่อย ๆ ถูกสร้างใหม่ของเขา หัวใจของตัวเองยังคงว่างเปล่า แม้จะฆ่าไวลด์ไปแล้ว แต่เขาก็ไม่สามารถโล่งใจได้เลย…

เรื่องที่ไร้ค่าและน่าขำที่สุดคือ พลังของเขาได้มาหลังจากเสียคนที่เขาต้องการปกป้อง

“ฉัน อะ…หือ…? อะไร…?”

โจเซฟพลันรู้สึกเจ็บแปลบในอก ก้มลงมองแล้วก็พบเส้นหนวดอาบสสารแห่งจุดจบจารึกมนตราต้องห้ามสีม่วงที่คุ้นเคยเสียบทะลุอกเข้าไปในหัวใจที่กำลังเต้นอยู่ของเขา!

“อุ๊บ ฮ่า ๆๆๆๆๆ!!!”

เสียงหัวเราะแหลมที่คุ้นเคยดังมาจากเบื้องหลังเขา…ไม่สิ มันมาจากรอบทิศเลย!

“เจ้าโจเซฟโง่ โจเซฟที่น่าสงสาร นายคิดจริง ๆ เหรอว่าฉันตาย ใช่ไหม? ฮ่า ๆๆๆๆ…”

สสารอันโกลาหลที่ดูเหมือนรอยแตกผุดขึ้นจากพื้น ก่อเป็นนักเวทมนตร์ดำที่ดูเหมือนสุภาพบุรุษชราที่กำลังยิ้มเยาะ เขาอ้าแขนให้กับละครตลกที่ตนกำกับ “สมรรถนะการผสานกับความตายของฉัน เทียบกับก่อนหน้านี้แล้วเป็นอย่างไรบ้างล่ะ?”

“โฮ่…”

โจเซฟพูดไม่ออก เขามองเกล็ดหิมะที่โปรยปรายจากฟ้าด้วยใจสงบ

ไวลด์เดินเข้ามาขยุ้มหน้าของโจเซฟด้วยรอยยิ้มสง่างาม “นี่คือเจตจำนงของพระเจ้า โจเซฟ และนี่คือรางวัลแห่งความภักดีของฉันที่เจ้าของร้านหลินมอบให้ นายรู้ไหม? ในตอนที่ฉันเพิ่งขึ้นสู่ระดับเหนือนภา ฉันก็คิดอยู่นะ ว่าฉันทำพอแล้วหรือเปล่า? ฉันตอบแทนเจ้าของร้านหลินได้แล้วหรือเปล่า?”

“เห็นกันชัด ๆ ว่าไม่พอ…”

“ความภักดีของฉันยังไม่พอ! ฉันยังต้องการมากกว่านี้ มากกว่านี้!”

สีหน้าของไวลด์บ้าคลั่งสุด ๆ “ดังนั้น…เดาซิว่าฉันจะทำอะไรเป็นอย่างแรกหลังจากเป็นระดับเหนือนภา?”

โจเซฟตอบไม่ได้ สติของเขากำลังจะสลายไปแล้ว

“ถูกต้อง!” ไวลด์ตอบตัวเองอย่างตื่นเต้นจนเกือบเสียสติ ดวงตาของเขาแดงก่ำ “ฉันจัดพิธีบวงสรวงทันที แล้วสังเวยตัวฉันเองให้เจ้าของร้านหลินไง ฮ่า ๆๆๆๆ!”

คนบ้า…

แม้โจเซฟจะรู้ความบ้าของไวลด์อยู่แล้ว แต่คำนี้ก็ยังคงผุดขึ้นในใจโจเซฟอยู่ดี

“จนถึงเมื่อกี้ ทันทีที่นายฆ่าฉัน พิธีกรรมที่หาที่ไหนมาเปรียบไม่ได้นี้ก็ลุล่วงอย่างเป็นทางการแล้ว! ผู้ทำพิธีบวงสรวงสังเวยตัวเอง และผู้รับสังเวยก็มีสิทธิ์จะรับเครื่องสังเวยหรือไม่ก็ได้ ถ้าเจ้าของร้านหลินยินยอมรับชีวิตของฉัน อย่างนั้นฉันก็จะกลายเป็นครอบครัวตลอดกาลของเขา หากไม่…”

“ฉันก็จะถูกคืนชีพ!”

ไวลด์ก้มลงมองโจเซฟ หัวเราะเสียงต่ำแล้วตบบ่าของเขา จากนั้นก็โค้งตัวคำนับ “ขอบใจมากนะ เพื่อนเก่า”

“อย่างนั้นเหรอ…นั่นคือจุดจบเหรอ?”

ความตายมาเยือนโดยสมบูรณ์แล้ว แต่โจเซฟกลับรู้สึกโล่งใจ

คฤหาสน์ A16

โครม!

ในตอนที่หลินเจี๋ยกำลังจะพูดกับคุณหนูจี้ว่าเจ้าหนอนผีเสื้อตัวนี้เชื่องมากและไม่น่ากลัวเลยอยู่นั้นเอง ประตูที่ด้านข้างก็พลันถูกกระแทกจนเปิดออก

“เจ้าของร้านหลิน!”

หลินเจี๋ยหันตามเสียงอย่างแปลกใจ แล้วก็พบเกร็กที่ควรจะรออยู่ข้างนอก

จี้จือซู่มองนิ้วของเจ้าของร้านหลินที่เกือบจะไปอยู่เหนือตัวหนอนเฟืองนาฬิกาอยู่รอมร่ออย่างกระวนกระวาย เพราะการขยับตัวหันหัวไปมองทางอื่นของเจ้าของร้านหนังสือ นิ้วของเขาจึงเคลื่อนออกไปเล็กน้อย และทำให้เธอพลันโล่งใจ

จี้ป๋อหนงขมวดคิ้ว “คุณคือ…เกร็ก?”

เกร็กเมินเขา ถลาไปหาเจ้าของร้านหลินแล้วพูดอย่างร้อนใจ “ได้โปรดช่วยด้วย…”

เสียงเอะอะของยามและคนใช้ในคฤหาสน์ที่ตามมาจากข้างนอกดังมาไกล ๆ เหมือนพวกเขาเพิ่งช่วยพ่อบ้านที่หมดสติซึ่งถูกโยนไว้ข้าง ๆ ห้องได้ และเตรียมจะพุ่งเข้ามากันแล้ว

หลินเจี๋ยได้ยินไม่ถนัด “คุณพูดอะไรนะครับ?”

ครืน…ครืน…

เสียงเอะอะตามมาด้วยการสั่นสะเทือนของพื้นอย่างรุนแรง ทำให้โคมคริสตัลระย้าในห้องส่ายไฟมาและส่งเสียงกรุ๊งกริ๊ง แสงสว่างจ้าวาบขึ้นนอกหน้าต่าง และทั้งคฤหาสน์ก็สั่นไหว

อีหยังวะ? แผ่นดินไหว???

หลินเจี๋ยเซไปสองก้าวด้วยใบหน้างุนงง เขาคว้านาฬิกาเรือนจ้อยในมือโดยไม่รู้ตัว แล้วทันใดนั้น นิ้วของเขาก็หมุนเฟืองทวนเข็มนาฬิกาไปครึ่งวง