บทที่ 332 อาจื้อโกรธจริง ๆ แล้ว

ทะลุมิติไปเป็นแม่ของวายร้ายทั้งสาม

บทที่ 332 อาจื้อโกรธจริง ๆ แล้ว

บทที่ 332 อาจื้อโกรธจริง ๆ แล้ว

หลังจากที่ครอบครัวกระกูลเหยาเดินทางมาถึงเมืองหลวงเเล้ว ก็ยิ่งทำให้ชีวิตเดิม ๆ ของครอบครัวของหลินเหราสนุกสนานมากขึ้น

ตอนนี้พวกเขาเองก็ย้ายเข้าบ้านใหม่แล้ว เวลาอาซือไม่มีอะไรทำก็ได้ออกไปเล่นกับพี่ ๆ ทั้งสอง

เนื่องจากอาจื้อต้องเรียนหนังสือเลยไม่ได้ออกไปเล่นกับพวกพี่ ๆ

เด็กชายจะตื่นนอนก่อนรุ่งสางทุกวัน เดินผ่านตลาดกลางเมืองหลวงเล็ก ๆ และไปเรียนหนังสือที่จวนของเซี่ยเชียนที่อยู่ทางตะวันออกของเมือง เมื่อเขากลับบ้าน ก็เป็นเวลาเย็นแล้ว

บางครั้งเซี่ยเชียนก็ให้อาจื้อหยุดพัก ซึ่งก็ทำให้เด็กน้อยดีใจเป็นอย่างมาก

วันนี้อาจื้อตื่นขึ้นมาในเวลาเดิม ล้างหน้าแปรงฟันด้วยอาการงัวเงีย หลังจากจัดการตัวเองเสร็จก็หาอะไรกินเล็กน้อย จู่ ๆ เด็กน้อยก็นึกขึ้นได้ว่าวันนี้ไม่ต้องไปจวนเซี่ย อาจื้อจึงวิ่งออกไปหาเหยาเอ้อหลางที่ห้อง

เหยาเอ้อหลางเพิ่งฝึกวิชามวยกับอาเขยของเขาเสร็จ ก็เหลือบมาเห็นอาจื้อจึงเอ่ยขึ้นด้วยความตกใจ “ต้าเป่า วันนี้ดวงอาทิตย์ขึ้นทางทิศตะวันตกหรืออย่างไร ถึงได้เจอเจ้าในเวลาเช้า ๆ แบบนี้ แปลกประหลาดยิ่งนัก”

อาจื้อหัวเราะ “พี่รองพูดอะไร ราวกับว่าสัตว์ออกหากินในตอนกลางคืนที่จะพบได้เเค่กลางคืนเท่านั้น”

เหยาเอ้อหลางใช้มือปาดเหงื่อบนหน้าผาก ตาทั้งสองข้างเป็นประกาย “อ่อ ต้องเป็นเพราะว่าวัน ๆ เจ้าเอาเเต่เรียนหนังสือไม่ผิดแน่ ถึงพบเจอได้เเค่เวลากลางคืน”

อาจื้อจนปัญญา และไม่รู้ว่าควรจะโกรธหรือหัวเราะดี

เหยาเอ้อหลางเห็นท่าทางของลูกพี่ลูกน้องที่ดูเหมือนกำลังหงุดหงิดเล็กน้อย จึงเดินออกไปข้างหน้าตบไหล่น้องเบา ๆ ขยิบตาให้เเล้วกล่าวขึ้นว่า “วันนี้เกิดอะไรขึ้น เจ้ามีเวลามาเล่นกับข้าหรือ ทำไมไม่เห็นเอ้อเป่าเล่า”

เด็ก ๆ ที่บ้านล้วนชอบเล่นกับเหยาเอ้อหลางที่มีบุคลิกร่าเริง อาจื้อมองไปยังใบหน้าที่ยิ้มเเย้มสดใสราวกับดวงอาทิตย์ของเอ้อหลาง และทิ้งความอึดอัดใจไว้ด้านหลัง

เด็กน้อยยิ้มแล้วพยักหน้า “วันนี้ท่านปู่ให้ข้าหยุดพัก ให้ข้าผ่อนคลายหนึ่งวัน วันนี้เอ้อเป่าต้องไปร้านอาหารกับเเม่ข้า เห็นบอกว่าอยากจะกินข้าวหมากจีน”

เหยาเอ้อหลางกระตุกยิ้มแล้วพูดอย่างมีความสุข “งั้นก็ได้เลย เวลามีเด็กผู้หญิงมาเล่นด้วย จะทำอะไรก็ต้องคอยระวัง งั้นวันนี้พวกเราสามคนจะได้โล่งขึ้นอีกหนึ่งวัน รอเดี๋ยวนะ เนื้อตัวข้ามีเเต่เหงื่อ ข้าไปอาบน้ำเสร็จแล้วพวกเราไปเรียกพี่ถังออกไปเล่นกัน”

อาจื้อพยักหน้านั่งรอเหยาเอ้อหลางที่ม้านั่งหินในลานบ้านอย่างเชื่อฟัง

ในที่สุดก็มีวันที่ไม่ต้องฝึกเขียนอักษร อาจื้อมีอารมณ์ที่ผ่อนคลายมาก โดยคิดว่าลูกพี่ลูกน้องคนที่สองของเขาจะพาเขาไปเล่นที่ไหน

ไปซื้อของตามถนนในเมืองหรือว่าไปขี่ม้าในเขตชานเมือง เรื่องพวกนี้พวกเขาล้วนทำมาหมดเเล้ว

ช่วงเช้าของฤดูร้อนมีสายลมอ่อน ๆ พัดผ่านทำให้อากาศไม่หนาวไม่ร้อน และลมที่พัดมาตกกระทบแก้ม ทำให้ในไม่ช้าก็ทำให้เด็กชายรู้สึกง่วงเล็กน้อย

เด็กชายถือโอกาสหาวออกมาหนึ่งครั้งแล้วนอนลงบนโต๊ะ

สภาพแวดล้อมรอบ ๆ เงียบสงบอย่างยิ่ง ในตอนเช้าตรู่ที่มีเสียงนกร้องช่างเป็นเสียงที่ไพเราะ ภายใต้ร่มเงาของต้นไม้เขียวขจี เมื่อได้ยินเสียงเหล่านั้น อาจื้อก็หลับตาลงอย่างรวดเร็ว

ไม่รู้ว่านานแค่ไหนแล้ว เด็กชายก็ถูกปลุกให้ตื่น

“ต้าเป่า ต้าเป่า ทำไมมานอนตรงนี้ ตื่นได้เเล้ว ระวังจะเจ็บคอนะ”

ดวงอาทิตย์ลอยสูงขึ้น อาจื้อขยี้ตาด้วยความงัวเงีย เด็กชายคิดว่านี่คือเสียงของเหยาซูกำลังพูดอยู่กับตัวเอง เเต่ว่าฟังจากเสียงนั้นเเล้วดูเหมือนจะไม่ใช่

เด็กชายเงยหน้าขึ้น “ป้าสะใภ้รอง…”

พี่สะใภ้สองในมือถือตระกร้าใบเล็ก ๆ กำลังจ้องมองอาจื้อด้วยความประหลาดใจ “เจ้ามานอนอะไรตรงนี้”

เด็กชายตื่นขึ้นในที่สุด แล้วยืนขึ้นด้วยความเขินเล็กน้อย ก่อนจะกล่าวขึ้นว่า “ข้ารอพี่รอง พี่รองบอกว่าจะไปอาบน้ำ เดี๋ยวก็มาขอรับ”

พูดเสร็จ อาจื้อก็รู้สึกตัวว่าท้องฟ้าสว่างแล้วก็ผ่านมาครึ่งวันแล้ว

สะใภ้รองประหลาดใจเล็กน้อย “พี่รองเจ้าออกไปแล้วนะ ทำไม เจ้ารออยู่ตรงนี้ตลอดเลยหรือ”

อาจื้อตะลึง และทำอะไรไม่ถูกไปชั่วขณะ

เหยาเอ้อหลางออกจากบ้านไปแล้วหรือ?

เด็กชายพยายามหาเหตุผล แล้วกล่าวออกมาอีกรอบ “ข้ามาหาพี่รองตอนเช้า ตอนนั้นเขาเพิ่งฝึกมวยเสร็จ บอกว่าเนื้อตัวมีเเต่เหงื่อ อาบน้ำเสร็จแล้วจะไปเรียกพี่ใหญ่ออกไปเล่นด้วยกัน”

พูดจบ อาจื้อสังเกตเห็นสีหน้าของป้าสะใภ้รองที่ทำอะไรไม่ถูก

อาจื้อไม่รอให้ผู้ใหญ่พูดขึ้น จึงยิ้มออกมาเเล้วกล่าวว่า “หรือว่าพี่รองไม่เห็นข้า เลยคิดว่าข้าออกไปแล้วก็เลยออกจากบ้านไป”

สะใภ้รองพยักหน้าแล้วกล่าวอย่างจนปัญญา “คงจะเป็นอย่างนั้น ตอนเช้าข้าได้ยินเขาพูดกับต้าหลางว่าวันนี้จะไปที่ไหนซักที่ ข้าเองก็ไม่ได้ตั้งใจฟัง…”

อาจื้อพยักหน้า และกล่าวอย่างสุภาพ “ป้าสะใภ้ ข้าขอตัวก่อนนะขอรับ”

สะใภ้รองยังต้องการที่จะพูดอะไรบางอย่าง เเต่ว่าตัวเองก็มีเรื่องที่ต้องจัดการ จึงไม่ได้รั้งเด็กชายไว้

อาจื้อหันหน้าไปแล้วเม้มริมฝีปาก

เด็กชายค่อย ๆ เดินออกจากลานบ้านไป แขนที่ใช้หนุนตอนนอนก็เริ่มรู้สึกชา จากนั้นความเจ็บปวดและอาการชาเหมือนการฝังเข็มก็ค่อย ๆ ปรากฏขึ้น

ในขณะที่เดินออกมา ดวงตาของเด็กชายก็ค่อย ๆ เเดงขึ้น

อาจื้อกลับมาถึงเรือนของตน หลินเหราที่เข้าไปทำงานในวังเเต่เช้า เหยาซูวันนี้ก็พาเอ้อเป่าไปร้านอาหาร

ทั่วทั้งลานบ้านเงียบสงัด เเม้เเต่กระทั่งซานเป่าก็ไม่ได้อยู่บ้าน

อาจื้อยืนเงียบ ๆ ครู่หนึ่งในเรือนที่ว่างเปล่า และทันใดนั้น น้ำตาก็เริ่มไหลรินออกมาอย่างไม่ขาดสาย

ท้องฟ้ายังคงสว่าง เสียงร้องของนกที่ฟังเเล้วรู้สึกไพเราะ เพียงเเต่ความรู้สึกของอาจื้อได้ตกไปถึงจุดที่ต่ำสุด เเม้เเต่เด็กชายเองก็ไม่สามารถจะยกขึ้นมาได้

อาจื้อร้องไห้เงียบ ๆ คนเดียว ในใจได้เเต่ครุ่นคิด หรือว่าจะไปเรียนหนังสือที่จวนตระกูลเซี่ย

ถึงเวลาเย็น ในบ้านเริ่มทำอาหาร มีเพียงเเค่หลินเหราเเละเหยาเฉาที่ยังไม่ได้กลับมา ทุกคนนั่งพูดคุยกันรอบโต๊ะ

เมื่ออาหารพร้อมเเล้ว ทุก ๆ คนก็เริ่มลงมือกินข้าว สะใภ้ใหญ่ที่นั่งอยู่หัวโต๊ะก็กล่าวขึ้นมาว่า “ข้าคิดว่าในอนาคตเราทุกคนล้วนจะมีเรื่องที่ต้องทำ พวกเราไม่จำเป็นต้องมาพร้อมกันหมดถึงจะเริ่มกินข้าวก็ได้”

เหยาเฟิงที่ไม่ได้สนใจเรื่องนี้เลยไม่ได้พูดอะไรออกมา

สะใภ้สองเงยหน้าขึ้น “พี่สะใภ้ใหญ่หมายความว่า พวกเราจะเเยกกันกินหรือ”

พี่สะใภ้ใหญ่ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง “บ้านของพวกเราก็ล้วนมีห้องครัวเล็ก ๆ ค่อยไปซื้อคนรับใช้เพิ่ม ก็สามารถทำอาหารเองได้ จะช่วยให้สบายขึ้นมาบ้าง”

เหยาซูเห็นด้วยจึงกล่าวขึ้นมาว่า “พี่สะใภ้ใหญ่พูดถูก ถ้าเป็นเช่นนี้ เวลาอาเหราเเละพี่รองกลับมาตอนค่ำ จะได้ไม่ต้องให้ครัวใหญ่ทำอาหาร สามารถทำอาหารที่ครัวของบ้านตนได้เลย”

สะใภ้รองยิ้มขึ้นมา “ข้าไม่มีข้อคิดเห็นอะไร”

สมาชิกในครอบครัวค่อย ๆ เยอะขึ้น ถ้าให้มารวมตัวกันเพื่อทานอาหารคงจะไม่สะดวกสบายเท่าไรนัก

ตระกูลเหยาก็ไม่ใช่ตระกูลที่เคร่งครัดอะไร พี่สะใภ้ใหญ่เสนอมาเช่นนี้ ทุกคนก็คิดว่าไม่เป็นความคิดที่แย่อะไรจึงตกลงกันตามนี้

เมื่อเห็นทุกคนไม่ได้เอ่ยเเย้ง พี่สะใภ้ใหญ่ก็ยิ้มเเล้วกล่าวออกมา “วันพรุ่งข้าจะไปซื้อคนมาเพิ่ม รอให้ท่านพ่อกับท่านแม่มาถึง ค่อยถามความคิดของพวกท่านอีกที”

ทุกคนพยักหน้า

ทุกคนพลางพูดคุยพลางรับประทานอาหาร เหยาซูก็ได้ถามไถ่ลูก ๆ ตามปกติ “วันนี้ตอนเช้าต้าเป่าไปหาพี่รองของเจ้าใช่ไหม หลายวันมานี้ไม่ได้เจอใคร วันนี้คงจะสนุกสนานน่าดูสินะ”

อาจื้อคลี่ยิ้มช้า ๆ โดยไม่ได้กล่าวอะไรออกมา

ตรงกันข้ามกับเหยาเอ้อหลางที่กลับมาจากข้างนอก เขาได้รู้จากผู้เป็นมารดาว่าน้องชายของเขารอเขาอยู่ตรงนั้นทั้งวัน ภายในใจก็มีเเต่ความเจ็บปวด

เด็กชายกล่าวอย่างยอมรับผิด “ต้าเป่า วันนี้ข้าผิดเอง หลังจากอาบน้ำเสร็จก็ลืมไปเลยว่าเจ้ารออยู่…บางทีข้าอาจจะยังงัวเงียอยู่ในตอนเช้า ฝึกมวยเสร็จก็เลยยังไม่สดชื่น…”

อาจื้อส่ายศีรษะ ไม่ได้เเสดงความรู้สึกอะไร เเละกล่าวอย่างสงบ “ไม่เป็นไรหรอกขอรับพี่รอง”

เหยาต้าหลางรู้สึกไม่เข้าใจเล็กน้อย เลยถามขึ้นมา “ต้าเป่าวันนี้มาหาพวกเราหรือ”

“อื้ม” อาจื้อตอบกลับอย่างสงบ เด็กชายใช้ตะเกียบคีบอาหารในจานเเล้วเอาเข้าปากตัวเอง

เด็กชายไม่ได้มองพี่ชายทั้งสองของเขา ดูท่าทางเเล้วเขาคงไม่อยากพูดถึงเรื่องนี้เเล้ว

เหยาซูรู้ว่าสิ่งนี้หมายความว่าอย่างไร จึงได้เเต่ครุ่นคิดอยู่ในใจ

อาซือที่ไม่ได้รับรู้ถึงบรรยากาศบนโต๊ะอาหารค่ำ และยังตื่นเต้นบอกพี่ชายของนางว่าวันนี้ทำอะไรที่ร้านอาหารบ้าง “ท่านแม่บอกว่า เถียนจิ่วชงตั้นกินเยอะไม่ได้ เลยให้พ่อครัวทำชานมมาให้ข้า ท่านพี่ ท่านรู้ไหมว่าอะไรคือชานม ก็คือเอาชาหลงจิ่งและนมเเพะผสมเข้าด้วยกัน หลังจากนั้นผสมน้ำตาล ไม่เหม็นเลยสักนิด อร่อยมาก”

อาจื้อคีบเนื้อให้น้องสาวหนึ่งชิ้น “น้ำตาลต้องกินน้อย ๆ ท่านเเม่บอกเเล้วไม่ใช่หรือว่ามันจะทำลายฟันของเจ้า อีกทั้งไม่ชอบกินเนื้ออีก เเบบนี้ไม่ได้นะ”

อาซือกินเนื้อในชามอย่างเชื่อฟัง เเละคุยกับพี่ชายต่ออย่างอารมณ์ดี

บางทีเด็กชายก็ตอบกลับสองสามประโยคด้วยท่าทางที่เรียบเฉย

เหยาเอ้อหลางเห็นน้องชายไม่ได้สนใจตน ในใจก็เต็มไปด้วยความรู้สึกผิดเเละอึดอัด ไม่รู้ควรจะขอโทษอย่างไร

จริง ๆ เเล้วเด็กชายลืมเรื่องนี้ไปตั้งเเต่ตอนเช้าเเล้วว่าปล่อยให้น้องชายรอนานขนาดนี้ หรือว่าอาจื้อจะโกรธ

เหยาเอ้อหลางขมวดคิ้วด้วยความทุกข์ ในเวลานั้นเขาก็ไม่รู้สึกว่าอาหารในจานหอมหวนยั่วยวนใจอีกต่อไป

…………………………………………………………………………………………………………

สารจากผู้แปล

เทน้องเฉยเลยเอ้อหลาง ปล่อยให้น้องรออยู่ตรงนั้นทั้งวัน หาทางขอโทษน้องให้ได้นะคะ

ไหหม่า(海馬)