ตอนที่ 377 คุณปู่คุณย่าฟางรำลึกความหลัง

แม่ปากร้ายยุค​ 80

ตอนที่ 377 คุณปู่คุณย่าฟางรำลึกความหลัง

คุณปู่และคุณย่าฟางมองหน้ากัน ในใจก็รำลึกถึงความหลัง

พวกเขาไม่ได้สั่งสอนลูกชายหลายๆ คนของตัวเองให้ดี ไม่ใช่เลี้ยงเหมือนโต้วโต้วเหรอ ตามใจเกินไปหรือเปล่า?

ในปีที่พวกเขาต้องต่อสู้เพื่อประเทศชาติ จึงไม่ได้ทำหน้าที่พ่อกับแม่ให้ลูกๆ ดังนั้นเพื่อเป็นการชดเชย ในตอนที่ลูกๆ ยังเด็ก พวกเขาจึงยอมตามใจ

เมื่อพวกเขาเหล่านั้นโตขึ้น พวกตนสองสามีภรรยาจึงได้รู้ว่าเด็กๆ ไม่เพียงแต่ไม่กตัญญูต่อพวกนางเท่านั้น ยังต้องการให้พวกนางช่วยวาดอนาคตให้ด้วย

แม้พวกตนจะตามใจลูกๆ แต่ก็มีขีดจำกัดอยู่

นั่นก็คือไม่ว่าจะตามใจลูกอย่างไร ต้องไม่ทำลายผลประโยชน์ของประเทศ

ต่อให้ลูกๆ จะหาทางไต่เต้าขึ้นไป แต่ก็ต้องทำเพื่อตัวเอง พวกตนสองสามีภรรยาจะไม่ใช้เส้นสายเพื่อช่วยเหลือพวกเขาแน่นอน

เมื่อเป็นเช่นนั้น ลูกๆ จึงเคียดแค้นพวกตนสองคน คิดว่าพวกตนหัวดื้อเหมือนต้นอวี๋* แม้แต่ลูกที่ตัวเองคลอดออกมาก็ไม่ยอมช่วยเหลือ

ดูจากที่หลินม่ายพูดเมื่อกี้ ลูกๆ ของพวกเขาคิดว่าการให้ของพ่อกับแม่เป็นเรื่องปกติ หากไม่ยอมให้ก็ไม่สมเหตุสมผลหรือเปล่านะ?

เมื่อคิดถึงจุดนี้ สองสามีภรรยาจึงแทะน่องไก่ในชามของตนเองเงียบๆ

พวกเขายังไม่สามารถสอนลูกของตนให้ดีได้เลย พวกเขาจึงไม่ควรสอนให้หลานไม่ดีอีก

หลินม่ายกินคอไก่ชิ้นหนึ่ง ถามคุณปู่คุณย่าฟางอีกครั้ง “คุณปู่คุณย่าจะตกลงไปเจียงเฉิงกับพวกเราไหมคะ”

คุณปู่ฟางคิดหนักและตอบว่า “ให้ฉันกับย่าอายุมากกว่านี้อีกหน่อย แล้วค่อยไปอยู่เจียงเฉิงกับพวกเธอ ตอนนี้พวกเรายังมีกำลัง ขอใช้ชีวิตที่ชนบทอย่างมีความสุขก่อนเถอะ”

เขาและย่าฟางเติบโตมาจากพื้นดินนี้ตั้งแต่เล็ก เปี่ยมไปด้วยความคิดถึงบ้านเกิดของตน

หากปีนั้นไม่ใช่ว่าทำเพื่อแผ่นดิน เขาคงไม่ยอมจากบ้านเกิดไปแน่

เมื่อเขาเกษียณออกมาแล้วจึงรีบพาย่าฟางกลับมาที่บ้านเกิดเมืองนอน

หลินม่ายได้ยินพวกเขาพูดดังนั้น ขณะในใจคิดว่าจะพยายามเกลี้ยกล่อมคนแก่ทั้งสองคนนี้ให้ไปอยู่บ้านเธอหรือบ้านฟางจั๋วหรานอย่างไรดี คุณย่าฟางก็พูดขึ้นมาก่อน

คุณย่าฟางกลอกตาใส่คุณปู่ฟาง “อย่าดื้อเลย ม่ายจื่อมารับพวกเราไปดูแล พวกเราก็ไปดีๆ เถอะ อย่าทำเป็นไม่รู้ดีชั่ว แล้วก็อย่าพูดว่าตอนนี้ยังมีกำลัง มีกำลังตรงไหนล่ะ? แค่ล้มก็เป็นเรื่องใหญ่แล้ว คุณล้มครั้งนี้ทำเอาฉันตกใจมาก ถ้าคราวต่อไปล้มแรงกว่านี้จะให้ฉันทำยังไง? ให้จั๋วหรานกับม่ายจื่อวางงานกลับบ้านมาดูแลเราเหรอ? นั่นมันเสียเวลาพวกเขาไม่ใช่หรือไง? ไม่สู้เรากลับเจียงเฉิงไปกับม่ายจื่อ พวกเราปวดหัวตัวร้อนหรือเป็นอะไรขึ้นมา ม่ายจื่อกับจั๋วหรานก็อยู่ดูแลเราได้ พวกเราแก่กันขนาดนี้ ไม่ได้มีความสามารถจะไปช่วยอะไรพวกเขาได้ก็ไม่ควรดึงให้พวกเขาถอยหลังนะ”

นางตบหน้าอกแล้วพูดกับหลินม่ายว่า “เรื่องในบ้านเดี๋ยวฉันจัดการเอง ครั้งนี้พวกเราจะกลับไปเจียงเฉิงกับเธอ”

คุณย่าฟางได้เอ่ยวาจาสิทธิ์แล้ว แม้คุณปู่ฟางจะไม่อยากไปจากบ้านเกิด แต่เขาก็ทำได้แค่ต้องยอมรับมัน

เขาตอบอย่างไม่สบายใจนัก “ในเมืองมีอะไรดี? มีแต่บ้านคอนกรีตทั้งนั้น จะมีที่ไหนอยู่แล้วดี เดินออกไปเห็นทิวทัศน์สวยงาม ปลูกผักได้ แล้วยังตกปลาจับกุ้งได้อีก”

หลินม่ายหัวเราะขึ้นมาทันที “เจียงเฉิงมีทะเลสาบเยอะมากค่ะ คุณปู่อยากไปตกปลาจับกุ้งก็ทำได้ ถ้าอยากปลูกผัก นี่ก็ไม่ยากเลยค่ะ รอบๆ วิลล่าของจั๋วหรานเป็นสวน เปิดหน้าดินหน่อยก็ปลูกผักได้แล้วนี่คะ?”

คุณย่าฟางเอาศอกทิ่มคุณปู่ “เห็นไหม ม่ายจื่อกับจั๋วหรานจัดที่อยู่ให้เราเหมาะสมออกขนาดนี้ ถ้าเราไม่ไปอยู่กับพวกเขาก็เสียน้ำใจเด็กทั้งสองคนแล้วล่ะ”

คุณปู่ฟางพยักหน้าอย่างช่วยไม่ได้ แต่เขาคิดว่าจะอยู่ที่ก่อนสองสามวันแล้วค่อยไป

คุณย่าฟางเห็นด้วย

หลินม่ายก็ไม่คัดค้าน

แม้จะมีเรื่องใหญ่รอให้เธอไปจัดการ แต่เธอเชื่อว่าเถาจืออวิ๋นและเฉินเฟิงจะจัดการได้ดี

ถึงแม้ว่าพวกเขาจะจัดการได้ไม่ดี อีกไม่กี่วันเธอก็กลับเจียงเฉิงไปจัดการแล้ว คงไม่มีผลกระทบอะไรใหญ่โต

หลังกินข้าวและล้างจานเสร็จ คุณย่าฟางคิดว่าจะเอาภาชนะที่ชาวบ้านให้มากลับไปคืน

หลินม่ายคิดว่าตอนนี้ข้างนอกอากาศร้อนมาก กลัวว่าคุณปู่คุณย่าออกไปข้างนอกจะร้อน จึงเสนอตัวออกไปส่งคืนข้าวของที่ชาวบ้านนำมา

คุณย่าฟางตอบตกลงโดยไม่ลังเล

หลินม่ายเป็นว่าที่หลานสะใภ้ของที่บ้านนางแล้ว ซึ่งก็ถือเป็นเด็กๆ ในครอบครัว ไม่มีอะไรต้องเกรงใจ

หลินม่ายหยิบของที่ต้องนำไปคืนออกจากบ้านไปตามบ้านที่คุณย่าฟางบอก ส่งคืนบ้านแล้วบ้านเล่า

เธอกล่าวขอบคุณทุกบ้านด้วยความจริงใจโดยไม่มีข้อยกเว้น

ทุกบ้านบอกเธอว่าไม่ต้องขอบคุณ ทั้งยังขอบคุณเธอที่ทำให้พวกเขาร่ำรวยขึ้น

ตอนที่หลินม่ายเอาหม้อหอยขมและตะกร้าสตรอเบอรี่ไปถึงหน้าบ้านของฟู่เฉียง สภาพบ้านผุๆ พังๆ ของเขาก็ทำเอาเธอตกใจมาก

บ้านหลังนี้ไม่ได้ดีไปกว่าบ้านเก่าของคุณยายเถียนเลย

ในบ้านมีเสียงตำหนิของคนหนุ่มดังขึ้นมา “แม่รู้หรือเปล่าว่าผมดูแลครอบครัวมาลำบากขนาดไหน แม่ยังไปทำร้ายลูกบ้านอื่นอีก แม่อยู่เงียบๆ ไม่ได้เหรอ!”

เสียงเด็กน้อยคนหนึ่งดังขึ้นมา “พี่ใหญ่ เป็นเหว่ยเหว่ยที่ตีฉัน แม่ก็เลยตีเขา พี่อย่าว่าแม่เลย”

หลินม่ายลังเลอยู่พักหนึ่งแล้วจึงตะโกนจากหน้าบ้าน “ที่นี่ใช่บ้านฟู่เฉียงไหมคะ?”

เสียงภายในบ้านหยุดลงทันที

ไม่กี่วินาทีหลังจากนั้น ร่างผอมราวกับเสาไม้ไผ่ก็เดินออกมา

ทันทีที่เห็นหลินม่าย ดวงตาของเขาก็เป็นประกายขึ้นมา พูดอย่างเขินอายว่า “พี่ม่ายจื่อ”

แม้ว่าเมืองซื่อเหม่ยมีหลายคนที่ไม่รู้จักหลินม่าย แต่ชาวบ้านใกล้เคียงรู้จักหลินม่ายกันหมด

ฟู่เฉียงเองก็เช่นกัน

เขารับหม้อและตะกร้าจากมือหลินม่าย กล่าวขอโทษ “ผมตั้งใจว่าอีกสักพักจะไปเอาหม้อและตะกร้าที่บ้านย่าฟาง แต่คุณต้องเอามาคืนด้วยตัวเองซะแล้ว”

หลินม่ายยิ้มตอบ “กินของที่เธอเอามาให้แล้วจะให้เธอมาเอาเองอีกเหรอ!”

ฟู่เฉียงเบิกตากว้าง “พี่ม่ายจื่อกินหอยขมที่ให้แล้วเหรอ? หอยขมต้องวางทิ้งไว้ในน้ำสักสองสามวันก่อน ให้มันคายสิ่งสกปรกแล้วค่อยกินนะ”

หลินม่ายหัวเราะแล้วตอบว่า “อันนี้ฉันรู้ หอยขมยังไม่ได้กิน วางทิ้งไว้ในน้ำนั่นแหละ ที่กินไปคือสตรอเบอรี่”

ฟู่เฉียงถามอย่างคาดหวัง “สตรอเบอรี่ป่าหวานไหมครับ”

หลินม่ายยังไม่ได้กินสตรอเบอรี่ แต่เธอก็พยักหน้ารับ “หวาน หวานมาก” พูดจบก็จะเดินกลับไป

ตอนนั้นเอง ผู้หญิงคนหนึ่งก็เดินนำเด็กชายเจ็ดแปดขวบออกมาด้วยความโกรธ

ปากก็ด่าไปด้วย เนื้อความประมาณว่าเป็นบ้าก็ไม่ขังไว้ดีๆ ยังปล่อยออกมาทำร้ายคนอื่นได้อีก

ฟู่เฉียงรู้สึกอายขึ้นมา

หญิงนางนั้นเดินมาเห็นหลินม่าย จากนั้นจึงหุบปากลงแล้วเอ่ยถามอย่างประจบประแจงว่า “ม่ายจื่อ ทำไมคุณมาอยู่ที่นี่?”

หลินม่ายยิ้มแล้วตอบว่า “เอาของมาคืนค่ะ” จากนั้นจึงถามต่อ “แล้วเมื่อกี้คุณด่าอะไรเหรอคะ?”

เมื่อพูดถึง ความโกรธของผู้หญิงคนนั้นก็ตีกลับขึ้นมาอีก ดันเด็กในมือเธอไปตรงหน้าหลินม่าย “เห็นที่เหว่ยเหว่ยบ้านฉันบาดเจ็บไหมคะ?”

หลินม่ายมองเห็นบาดแผลบนร่างกายของเด็กน้อยหลายแห่ง

แม่ของเด็กคนนั้นพูดด้วยความโมโห “แผลพวกนี้คือโดนแม่ของฟู่เฉียงทำร้ายมา ฟู่เฉียงก็รู้อยู่ว่าแม่เป็นบ้า ยังปล่อยให้ออกมาทำร้ายคนอื่นแบบนี้ได้!”

ฟู่เฉียงโกรธจนกำหมัดแน่น “ถ้าเหว่ยเหว่ยของคุณไม่มาตีน้องสาวผม แม่ผมจะไปตีลูกคุณเหรอ? แม่ผมเป็นบ้าไปแล้วยังไง? เคยทำร้ายใครก่อนเหรอ?”

แม่ของเหว่ยเหว่ยพูดไม่ออก ตอบไปอย่างเจ้าเล่ห์ว่า “ฉันไม่สน ลูกชายฉันโดนแม่เธอตี ดูเอาเถอะ เธอต้องจ่ายค่ารักษาเป็นไข่ไก่ยี่สิบฟอง”

ฟู่เฉียงพูดอย่างโมโห “น้องสาวผมโดนเหว่ยเหว่ยตี แม่ผมโดนลูกชายคุณกัดก็ต้องโดนตีเปล่า โดนกัดเปล่าเหรอ?”

แม่ของเหว่ยเหว่ยโกรธแทบตาย แต่เพราะเกรงใจการมีอยู่ของหลินม่าย จึงไม่กล้าทำอะไร ทำได้แค่จ้องไปที่ฟู่เฉียงอย่างขุ่นเคืองใจ

เด็กชายอายุเพียงสิบสามสิบสี่จ้องไปที่แม่ของเหว่ยเหว่ยอย่างไม่เกรงกลัว

ด้านหลังของเขามีเด็กน้อยตัวมอมแมมยืนเกาะกรอบประตูอยู่ มองไปที่แม่ของเหว่ยเหว่ยอย่างหวาดกลัว

ในสถานการณ์นี้เห็นได้ว่าเขาโดนคนอื่นรังแก ดังนั้นจึงขลาดเขลาเหมือนหนู มีอะไรนิดหน่อยก็ตัวสั่นงันงก

หลินม่ายทนดูไม่ได้อีกต่อไป พูดกับฟู่เฉียงว่า “เธอพาแม่กับน้องสาวของเธอออกมาเถอะ ไปทำแผลที่โรงพยาบาลกับเหว่ยเหว่ย ให้เขาตรวจดู จ่ายค่ารักษาให้กันทั้งสองฝ่าย แบบนี้ยุติธรรมดี”

ดวงตาของฟู่เฉียงเป็นประกายขึ้นมา ถามแม่เหว่ยเหว่ย “คุณกล้าเปล่าล่ะ?”

…………………………………………………………………………………………………………………………

สารจากผู้แปล

พ่อแม่รังแกฉันแท้ๆ ปู่ย่าฟางคงเสียใจที่เลี้ยงลูกแล้วไม่มีใครดีสักคนเลย มาดีเอารุ่นหลาน

ไหหม่า(海馬)