บทที่ 336 เปิดร้าน

บทที่ 336 เปิดร้าน

ถ้าทำสัดส่วนตามนี้ เธอจะต้องใช้คะแนนกว่าสี่หมื่นแต้มเพื่อแลกของออกมาถึงจะได้เงินสดประมาณแสนหยวน ถ้าอยู่ในช่วงหลายสิบปีให้หลัง เงินสดจำนวนหลายแสนไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรเลย

แต่ในยุคนี้ หากบ้านไหนมีเงินหมื่นจะเป็นบ้านระดับสูง และเงินแสนก็เป็นจำนวนมากพอที่จะทำให้คนทุกตื่นตกใจด้วย

แต่ซูเสี่ยวเถียนไม่ใช่คนที่เอาแต่สนใจเรื่องเอาหน้าน่ะสิ

เธอรู้ว่าถ้าขายแต่วัตถุดิบมันจะไม่คุ้มค่าแน่นอน วิธีที่ดีที่สุดคือเปิดร้านอาหาร และสร้างรายได้จากจุดนี้

เสี่ยวเถียนเปิดแผงควบคุมหน้าร้านขึ้นมา แล้วดูสินค้าแต่ละชิ้นอย่างระมัดระวัง

“มีแต่ของคุณภาพสูงทั้งนั้น รอบ้านเราเปิดร้านเมื่อไรคงถึงคราวรวยของเราแล้ว”

เด็กหญิงพึมพำงึมงัม แววตาของเธอเป็นประกาย

ตอนนี้เสี่ยวเถียนกำลังนอนอยู่บนเตียง และคิดว่าจะเอาเรื่องนี้ไปบอกปู่กับย่าอย่างไรดี

ไม่รู้พวกเขาจะคิดว่าไอ้เรื่องเปิดร้านอาหารมันเป็นความคิดที่แปลกประหลาดหรือเปล่า?

ตอนนั้นซูเสี่ยวเถียนไม่รู้ว่าคุณปู่และคุณย่าเองก็กำลังปรึกษาเรื่องนี้กันอยู่พอดี

สมาชิกบ้านหลักตระกูลซูเกือบครึ่งย้ายมาอยู่เมืองหลวงกันทั้งนั้น และเราสองคนก็คิดว่าการมาอยู่บ้านผู้เฒ่าตู้เป็นการรบกวนอีกฝ่ายมากเกินไป

มีสมาชิกกันตั้งสิบกว่าคน พวกเราควรจะมีบ้านเป็นของตัวเอง นี่คือความคิดลึก ๆ ของคุณย่าซู

“ตาเฒ่า แกว่าพวกเราซื้อบ้านสักหลังกันดีไหม?”

คุณย่าซูคิดเรื่องนี้ตั้งแต่มาถึงเมืองหลวงแล้ว

พอเห็นเรือนสี่ประสานของบ้านผู้เฒ่าตู้ เธอก็ตกหลุมรักบ้านหลังนี้อย่างสุดซึ้ง

เรือนของพวกเขาเป็นเรือนที่สวยงามและกว้างขวาง แบ่งสัดส่วนเป็นอย่างดี และมีหลายห้อง ซึ่งดีกว่าบ้านที่หงซินอีก

“แกอยากซื้อบ้านแบบไหนล่ะ?” คุณปู่ซูเอ่ยถาม

สองวันมานี้เขาไม่ได้อยู่เฉย ๆ นะ เขาไปทำธุระมาหลายอย่างเลย อย่างแรกคือ ราคาทองคำที่ธนาคารรับซื้อ หนึ่งกรัมราคาสามสิบหยวน

ตอนที่เราสองคนเดินทางมาที่เมืองหลวง ได้นำทองติดตัวมาด้วยสองก้อน ทองคำแท่งสองก้อนรวมกันมีน้ำหนักเป็นสองร้อยกรัม คิดเป็นราคาหกพันหยวน

นอกจากทองแล้วเรายังเอาเครื่องประดับมาสองชิ้น แต่ธนาคารไม่รับซื้อ เลยต้องหาวิธีอื่นเพื่อขายมันแทน

เพราะงั้นคุณปู่ซูเลยหยุดคิดที่จะขายมัน แล้วมาขายทองคำแทน

“ฉันชอบบ้านแบบผู้เฒ่าตู้ แต่ไม่รู้ว่ามันราคาเท่าไร” คุณย่าซูใฝ่หามันเหลือเกิน

ส่วนคุณปู่ซูกำลังอยู่ในอาการตกตะลึง ชายชราจ้องมองภรรยาของตนเองด้วยสายตาไม่อยากจะเชื่อ

ยายเฒ่าคิดจริง ๆ หรือว่ามันคือบ้านในอำเภอน่ะ?

ทรัพย์สินบ้านเรามีนิดเดียวเองนะ ยังคิดจะซื้อเรือนสี่ประสานอีกหรือ?

“มองฉันทำไม บ้านตรงหน้าเรามันก็เหมือนที่หงซินไม่ใช่หรือไง?” เธอชอบเรือนหลังใหญ่ที่มีลานบ้าน

แต่ได้ยินมาว่าตอนนี้คนในเมืองชอบตึกสูง ๆ แต่เธอกลับไม่ชอบมันเลย มันดูขี้เหนียวไปหน่อยไหม แม้แต่ที่ปลูกผักยังไม่มีเลย

อีกอย่างเรือนแบบนี้มีห้องเยอะดี ถ้าอนาคตเหล่าลูกชายย้ายมาอยู่ด้วย พวกเราจะได้กลับมาอยู่ด้วยกันทั้งหมด

“เธอกล้าจริงสิ ๆ สินะ”

คุณปู่ซูเอ่ยเบา ๆ

“ต่อให้เราขายของพวกนั้นก็ไม่พอหรือ?” คุณย่าซูกระซิบ

คุณปู่ซูส่ายหน้า

“ไม่พอน่ะสิ ฉันไปถามมาแล้ว เครื่องประดับที่เอามา ธนาคารไม่รับซื้อ เราต้องหาหนทางอื่น กลัวแต่ว่าจะขายไม่ออกสักอันเนี่ยล่ะ ส่วนทองคำสองแท่งนี้หนักสองร้อยกรัม ได้เงินมาหกพันหยวน”

คุณย่าซูจ้องมองสามีด้วยความไม่เชื่อ ขายทองคำสองแท่งยังไม่พอซื้อบ้านอีกหรือ

“ตาเฒ่า บ้านหลังนี้มันมีค่าขนาดนี้เลยหรือ?”

เรือนแบบนี้ ถ้าอยู่ในอำเภอก็ราคาไม่ถึงร้อยหยวนไม่ใช่หรือ?

แล้วเรือนนี้ก็ใหญ่กว่าไม่เท่าไรเองนะ เงินตั้งพันสองพันหยวนยังไม่พออีกหรือ?

“ที่นี่คือเมืองหลวงนะ สถานที่ที่เรายืนอยู่คือนครหลวง ยังไม่ต้องพูดถึงบ้านสหายตู้นะ เรือนที่เล็กกว่านี้หมื่นเดียวยังซื้อไม่ได้เลย”

นี่คือสิ่งที่คุณปู่ซูไปถามมา

คุณย่าซูได้แต่ฟังโดยไม่กล้าพูดอะไรออกมา

หนึ่งหมื่นหยวน แม่เจ้า! จำนวนตัวเลขมันมากขนาดนั้นเลยหรือ! ต่อให้เราเป็นครอบครัวใหญ่ ต่อให้ทำงานทั้งชีวิตก็หาเงินได้ไม่เยอะขนาดนั้นหรอก

แล้วเธอก็ไม่โง่ถึงขนาดใช้เงินหมื่นซื้อบ้านหรอกนะ

หลังจากนั้นไม่นาน คุณย่าซูก็เอ่ยขึ้น “งั้นก็ช่างเถอะ! เราไปเช่าร้านเปิดเป็นร้านอาหารแล้วกัน”

ตอนกลางคืนก็เอาโต๊ะมาวางต่อกันเป็นเตียงก็ได้ แถมยังประหยัดเงินได้ด้วย

คุณปู่ซูเหลือบมองภรรยาที่กำลังตื่นเต้น ก่อนจะโต้กลับไป

“ฉันว่าการเช่าก็เป็นเรื่องยาก”

ถ้าไม่เข้าเมืองหลวงก็ไม่รู้หรอกว่าตนเองยากจนขนาดไหน

“หกพันก็ไม่ได้หรือ?” หญิงชราถาม

หกพันหยวนยังเช่าไม่ได้อีกหรือ?

“บ้านเราเป็นครอบครัวใหญ่นะ จะเช่าร้านอย่างเดียวไม่ได้ ต้องเช่าแบบที่มีลานบ้านด้วย” ชายชราตอบ

สิ่งที่ตาเฒ่าพูดก็เป็นเรื่องจริง คนแก่สองคนแบบเราใช้โต๊ะแทนเตียงก็ยังได้ แต่เด็ก ๆ เยอะขนาดนั้นจะทำอย่างไรล่ะ?

“ถ้าจะเช่าแบบมีลานบ้านก็ทำได้แค่เช่านะ ซื้อไม่ได้”

“ฉันได้ยินมาว่าลานบ้านที่มีหน้าร้านราคาค่อนข้างแพง และค่าเช่ารายปีต้องจ่ายมัดจำนะ”

“ถ้ามันแค่แพงก็ช่างมันเถอะ แต่มันหายากด้วยน่ะสิ อีกอย่างเราก็ไม่รู้จักใครที่นี่ การที่จะหาร้านแบบนี้ได้มันเป็นเรื่องยากนะ”

คุณปู่ซูพูดด้วยความหดหู่ใจ พวกเราคิดง่ายเกินไปจริง ๆ เดิมทีคิดว่าแค่หิ้วทองมาสองแท่ง พอมาถึงเมืองหลวง ไม่ว่าจะพูดอย่างไร วันนั้นเราก็ยังสามารถใช้ชีวิตต่อไปได้ แต่ตอนนี้รู้แล้วว่ามันไม่ง่ายแบบนั้น!

คุณย่าซูไม่พูดต่อ

จู่ ๆ หญิงชราก็รู้สึกเสียใจขึ้นมาว่า แท้จริงแล้วเราควรมาเมืองหลวงหรือเปล่า

ทำไมชีวิตที่นี่ถึงลำบากแบบนี้นะ?

ถ้าซื้อบ้านไม่ได้ก็ช่างเถอะ แต่นี่ยังเช่าร้านไม่ได้ด้วยซ้ำ พวกเราจะทำได้แค่ไปตั้งแผงขายข้างถนนหรือ?

เธอได้ไม่กลัวการทำงานหามรุ่งหามค่ำหรอก แต่การตั้งแผงค้าขายมันเหนื่อยจริง ๆ นะ

“ไม่ต้องรีบร้อนไปหรอก เราเพิ่งมาถึงเองนะ ใช้เวลาสักพักก็คงคุ้นชินไปเอง”

คุณปู่ซูเห็นภรรยาซึมกะทือ เลยเอ่ยปลอบใจ

“ให้ฉันเสียใจสักหน่อยเถอะ!”

คุณย่าซูรู้สึกหดหู่ใจมากจริง ๆ เธอมาเมืองหลวงด้วยความกระตือรือร้นเต็มเปี่ยม แต่ยังไม่ทันทำอะไรก็พบว่าบ้านเราจนจริง ๆ แต่เธอเป็นคนที่ปรับตัวได้อย่างรวดเร็ว ไม่นานก็กลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง

และอีกสิบนาทีต่อมา เธอก็คลี่ยิ้มได้อย่างเต็มปาก

“งั้นพวกเราเช่าเรือนเล็ก ๆ แทนก็แล้วกัน เดี๋ยวฉันเข็นรถออกไปขายอาหารทุกเช้าเอง ผ่านไปสักพักไม่แน่ว่าถ้าขายดีเราอาจจะซื้อบ้านได้ก็ได้นะ”

คุณปู่ซูไม่คิดว่าภรรยาจะคิดออกไวขนาดนี้

“ยายเฒ่า แบบนี้มันทำให้แกลำบาก!” เขาพูดอย่างทุกข์ใจ

ยายเฒ่าอยู่กับเขามาตั้งหลายสิบปี ไม่เคยโชคดีเลย พอแก่ตัวลงก็ต้องทำงานหนักออกไปหาเงินอีก

“จะไปลำบากอะไร มันจะไปลำบากกว่าทำงานเชียวหรือ?” เธอพูดอย่างเฉยเมย

การตั้งแผงขายอาหารเช้าเป็นงานที่หนัก ใช้เวลาหลายชั่วโมงทุก ๆ วัน ทว่าก็ดีกว่าทำนากลางแดดจริง ๆ นั่นแหละ

เช้าวันรุ่งขึ้น คุณปู่ซูบอกลูกเขยว่าจะเช่าเรือนหลังเล็กไว้อยู่

ไม่ว่าตู้ถงเหอจะพูดอย่างไรก็ไม่เห็นด้วย

เขาพูดหลายรอบแล้วว่าบ้านใหญ่ขนาดนี้จะยังรับรองคนทั้งครอบครัวไม่ได้เชียวหรือ?

คุณปู่ซูยิ้ม “คุณคิดอะไรพวกเรารู้น่า แต่บ้านเราคนเยอะ การที่เรามาอาศัยอยู่บ้านคุณแบบนี้ มันทำให้เรารู้สึกละอายใจ”

“มันก็ไม่ได้ครอบครัวใหญ่หรอก เดี๋ยวเด็ก ๆ ก็ไปมหาวิทยาลัยแล้ว ปกติพวกเขาไม่ได้กลับมาหรอก ถ้าสอบเข้าโรงเรียนอันดับเจ็ดได้ ก็ต้องไปอยู่ที่นั่นอยู่ดี” ตู้ถงเหอพูด

สองสามีภรรยาซูไม่คิดว่าเด็ก ๆ ต้องพักอยู่ที่โรงเรียนด้วย

ทั้งสองต่างอยู่ในอาการสับสนมึนงง

ถ้าเด็ก ๆ ต้องไปอยู่ที่นั่น แล้วพวกเรามาเมืองหลวงทำไม?

ทั้งสองมองหน้ากันครู่หนึ่ง แต่ไม่รู้ว่าจะพูดอะไรออกมาดี

เหลียงซิ่วก็สับสนไปด้วย ไม่คิดเลยว่าเด็ก ๆ จะต้องใช้ชีวิตอยู่ที่โรงเรียน

“พ่อคะ แม่คะ งั้นพวกเรากลับบ้านกันดีไหมคะ?” เธอถามอย่างไม่แน่ใจ

พวกเรามาที่นี่เพื่อดูแลพวกเด็ก ๆ แต่ตอนนี้เด็ก ๆ ต้องไปอยู่ที่โรงเรียนแทน มันก็ไม่มีเหตุผลอะไรที่เราจะต้องอยู่ต่อ

“พี่สะใภ้สาม พี่ไม่ลาออกจากงานแล้วหรือคะ กลับไปตอนนี้จะมีประโยชน์อะไร?” หม่านซิ่วถาม

เหลียงซิ่วรู้สึกเสียใจ ถ้ารู้ก่อนคงจะขอลาหยุดแทน อย่างน้อยตอนนี้เธอก็ยังมีลู่ทางบ้าง แต่เธอยกตำแหน่งนี้ให้ญาติผู้อำนวยการหลี่ไปแล้ว ทั้งยังรับเงินสองร้อยหยวนมาแล้วด้วย

เสียผลประโยชน์ก้อนใหญ่เพื่อก้อนเล็กเสียแล้ว!

แต่จะให้เสียใจตอนนี้ก็สายเกินไปแล้ว!

“เหลียงซิ่วเอ้ย ถึงเสี่ยวเถียนกับเด็กคนอื่น ๆ จะพักอยู่ที่โรงเรียน แต่วันหยุดสุดสัปดาห์พวกเขาก็ยังต้องกลับบ้านอยู่ดี” อวี่รุ่ยหยวนพูดพร้อมกับจับมือเหลียงซิ่ว

คุณย่าซูหัวเราะแผ่วเบา “ใช่ ๆ พวกเราลืมเรื่องสำคัญแบบนี้ไปได้ยังไง ยังไงพวกเขาก็ต้องกลับมาวันหยุดอยู่แล้ว งั้นเราก็อยู่ที่เมืองหลวงแล้วกัน แล้วก็หาเช่าบ้านด้วย”

หญิงชราเก่งเรื่องนี้ดี เธอสามารถตัดสินใจได้อย่างรวดเร็วและคิดออกมาอย่างไหลรื่น

อวี่รุ่ยหยวนรีบเอ่ยทันที “อยู่เมืองหลวงได้นะ แต่ไม่ต้องเช่าบ้านหรอก อยู่ด้วยกันก็ได้ ไม่ต้องเกรงใจ ยังไงพวกเราก็เหมือนคนบ้านเดียวกันอยู่แล้ว”

คุณย่าซูคิดจะพูดอะไรสักอย่าง แต่ตู้ถงเหอกลับเอ่ยขัดขึ้นมาก่อน

“ตอนเราอยู่หงซิน ครอบครัวคุณก็ดูแลเรามาตั้งหลายปี เราอยากจะตอบแทนบ้าง ขอใช้โอกาสนี้ตอบแทนพวกคุณไม่ได้หรือ?”

คุณปู่คุณย่าซูนิ่งเงียบ

“คุณปู่ตู้ คุณปู่คุณย่าของหนูอยากจะทำอะไรสักอย่างที่เมืองหลวงค่ะ เลยไม่อยากอยู่เฉย ๆ ให้เสียเวลาน่ะค่ะ” เสี่ยวเถียนยิ้มออดอ้อน

คุณปู่คุณย่าซูหัวเราะทันที

คุณย่าซูหัวเราะอย่างร่าเริง “ยังคงเป็นหลานรักที่เข้าใจย่าเป็นอย่างดี! ก็จริงนั่นแหละ ย่าคิดว่าอีกสองวันจะเปิดแผงขายอาหารเช้า”

ประโยคนี้ทำให้เสี่ยวเถียนมึนงง สิ่งนี้มันต่างจากที่เธอคิดเอาไว้มาก

ทำไมย่าถึงจะไปเปิดแผงขายล่ะ?

“คุณย่า ทำไมถึงต้องตั้งแผงคะ? ทำไมไม่เปิดร้านเอาล่ะ?”

แต่หลังจากถามออกมา เธอก็เข้าใจอย่างแจ่มแจ้ง