บทที่ 410 เซี่ยเซวียนตั้งตัวเองเป็นฮ่องเต้
ซูเฟยค่อย ๆ ถอยหลัง จนเอวของนางไปโดนมือของฮองเฮา นางหันหน้าไปอย่างลนลานทันที แต่กลับเห็นดวงตาคมปลาบของหลี่ฮองเฮากำลังจ้องนางอยู่ จากนั้นก็พูดด้วยน้ำเสียงสบาย ๆ “ซูเฟย ปรนนิบัติฝ่าบาทมาหลายปี เหตุใดยังซุ่มซ่ามอยู่อีกเล่า”
เพียงประโยคเดียวทำให้ซูเฟยถึงกับตะลึงและนึกถึงตอนที่ตัวเองเพิ่งจะเข้าวัง ตอนนั้นเนื่องจากฐานะต่ำต้อยที่สุด เห็นอะไรก็ล้วนแปลกใหม่ ทำอะไรก็ต้องเรียนรู้จากคนอื่น ทำให้คนหัวเราะเยาะอยู่นาน มีเพียงหลี่ฮองเฮาที่ปฏิบัติต่อนางอย่างดี และก็เป็นตัวนางเองเช่นกัน ที่หลังจากเซี่ยอวี้ตายแล้วกลับมีความสุขอย่างมาก
ความอับอายและความโกรธในชั่วขณะหนึ่งพุ่งเข้าโจมตีหัวใจ ก่อนจะเบนสายตาหนีด้วยความร้อนตัว “หม่อมฉันซุ่มซ่ามเอง ฮองเฮาสั่งสอนได้ถูกต้องแล้วเพคะ”
“ฝ่าบาทชอบความละเอียดรอบคอบของเจ้าที่สุด ทาเถอะ เปิดตุ่มหนองออก จากนั้นก็บีบน้ำหนองข้างในออกมา แล้วค่อยทายาให้ทั่ว ข้าลืมบอกเจ้าไป นี่เป็นแผลที่เกิดจากพิษ หมอหลวงบอกว่าหากสัมผัสโดนผิวหนัง ไม่แน่อาจจะถูกพิษไปด้วย น้ำใจที่เจ้ามาปรนนิบัติ ฝ่าบาทต้องประทับใจอย่างแน่นอน”
ซูเฟยคิดไม่ถึงว่าพิษนี้จะสามารถติดต่อได้ด้วย จึงตกใจจนไม่กล้าขยับ “ฮองเฮาอย่าขู่หม่อมฉันสิเพคะ”
หลี่ฮองเฮาเลิกคิ้วขึ้น ในดวงตาเต็มไปด้วยความเย้ยหยัน “ซูเฟยพูดเรื่องอะไรกัน ไม่ใช่เจ้าหรอกหรือที่ร้องห่มร้องไห้จะขอเข้ามาปรนนิบัติฝ่าบาท บอกว่าเจ้ากับองค์ชายห้ากินไม่ได้นอนไม่หลับ เหตุใดแค่ทายาเจ้าก็กลัวแล้วเล่า”
ซูเฟยจึงได้ปิดปากตัวเองลง “หม่อมฉันไม่ได้หมายความเช่นนั้นเพคะ หม่อมฉันจะทายาให้ฝ่าบาทเดี๋ยวนี้เพคะ”
“เช่นนั้นข้าจะดูอยู่ตรงนี้ เจ้ามีอะไรไม่เข้าใจก็ถามได้เลย”
ขันทีน้อยหยิบเก้าอี้และเชิญฮองเฮานั่งลงด้วยความนอบน้อม ซูเฟยเลิกผ้าห่มขึ้นด้วยมือที่สั่นเทา สะกดอาการอยากจะอาเจียนเอาไว้ และหยิบแท่งไม้ขนาดเล็กและเข็มเงินมา ก่อนจะเจาะตุ่มหนองบนร่างกายของฮ่องเต้เซี่ยเจินเบา ๆ จากนั้นหนองพิษก็ไหลออกมาทันที กลิ่นเหม็นที่ไม่อาจอธิบายได้โชยออกมา ทำให้ซูเฟยเกือบจะอาเจียน นางกัดฟันและขมวดคิ้วพลางสะกิดอย่างช้า ๆ
นางเพียงแค่ต้องการทำให้เสร็จโดยเร็ว ไม่ได้สนใจดวงตาของฮ่องเต้เซี่ยเจินที่จู่ ๆ ก็เบิกกว้างขึ้นเพราะความเจ็บปวด หลี่ฮองเฮาดื่มชาไปก็ชื่นชมฉากนี้ไป ในใจรู้สึกมีความสุขอย่างสุดจะพรรณนา
แน่นอนว่านางไม่มีทางร้องเตือน ถึงขนาดอยากให้ซูเฟยทำให้ช้าลงอีกหน่อย
“เสด็จพ่อ” ตอนที่เซี่ยซั่วเข้ามาในตำหนัก ขันทีที่อยู่ทางด้านหลังก็ตามมาด้วยความรีบร้อน เห็นดังนั้นจึงรีบเอ่ยขึ้น “ฮองเฮาพ่ะย่ะค่ะ องค์ชายห้าจะเข้ามาให้ได้พ่ะย่ะค่ะ”
หลี่ฮองเฮาเอ่ยเสียงเย็น “ทำไม ตอนนี้เสด็จพ่อของเจ้าล้มป่วย เจ้าเลยไม่สนใจแม้แต่กฎระเบียบแล้วอย่างนั้นหรือ?”
ไม่ใช่เรื่องง่ายกว่าเซี่ยซั่วจะสามารถเข้ามาได้ เขาจึงไม่สนใจจะทะเลาะกับหลี่ฮองเฮา ก่อนจะเอ่ยด้วยท่าทางห่อเหี่ยวขึ้นมา “กระหม่อมเป็นห่วงเสด็จพ่อ ได้ยินว่าเสด็จแม่สามารถเข้ามาได้ จึงอยากจะรีบเข้ามาดูอาการเสด็จพ่อพ่ะย่ะค่ะ”
“เห็นแก่ที่เจ้ากตัญญู เข้าไปดูเถอะ” หลี่ฮองเฮาเอ่ยเบา ๆ
เซี่ยซั่วย่อมต้องเข้าไปดู ทว่าเพิ่งจะไปถึงหน้าเตียงบรรทม ก็เห็นมือที่สั่นเทาและใบหน้าที่บิดเบี้ยวของซูเฟย
เซี่ยซั่วมองดูปฏิกิริยาของฮ่องเต้เซี่ยเจิน ก่อนจะเอ่ยเบา ๆ ขึ้นมา “เสด็จแม่ ท่านทำอะไรกัน เหตุใดถึงมือหนักเพียงนั้นเล่าพ่ะย่ะค่ะ”
ซูเฟยเห็นหน้าลูกชายก็อดที่จะดีใจขึ้นมาไม่ได้ ก่อนตอบกลับด้วยเสียงที่แผ่วเบา “นี่ก็เบามากแล้ว เบากว่านี้ตุ่มหนองก็ไม่แตกน่ะสิ”
เซี่ยซั่วคุกเข่าลง อยากจะจับมือของฮ่องเต้เซี่ยเจิน ซูเฟยจึงตกใจขึ้นมาทันที “ห้ามจับเด็ดขาด ติดต่อสู่คนได้รู้หรือไม่?”
เซี่ยซั่วถึงกับสูดลมหายใจเย็นเยียบเข้าปอด คำพูดมากมายที่ต้องการจะบอกว่าลูกเป็นห่วงท่านเพียงใดติดอยู่ในลำคออย่างกะทันหัน ไม่รู้ว่าควรพูดมันออกมาดีหรือไม่
สุดท้ายก็เอามือวางไว้บนหัวเข่า แล้วเอ่ยพลางร้องไห้กับฮ่องเต้เซี่ยเจิน “เสด็จพ่อ บรรพบุรุษต้องปกป้องให้ท่านปลอดภัยแน่นอนพ่ะย่ะค่ะ ลูกคัดคัมภีร์เพื่อท่าน อีกเดี๋ยวลูกจะนำไปเผาที่หน้าแท่นวางพระพุทธรูป ลูกอยากจะรับความเจ็บปวดแทนเสด็จพ่อจริง ๆ พ่ะย่ะค่ะ”
เขาพูดออกไปมากมาย ทว่าฮ่องเต้เซี่ยเจินทำได้เพียงกลอกตาไปมาเท่านั้น
เซี่ยซั่วเห็นเขาเหมือนจะเป็นอัมพาตจริง ๆ อาการโดยรวมเรียกได้ว่าช่วยไม่ได้แล้ว จึงกังวลว่าเขาเป็นเช่นนี้คงจะออกราชโองการไม่ได้อีก เช่นนั้นต้องยุ่งยากมากเป็นแน่
จึงถือโอกาสถามขึ้นมาหนึ่งประโยค “พี่รองมาหรือยังพ่ะย่ะค่ะ เสด็จพ่อเป็นถึงขนาดนี้แล้ว หรือเขายังโกรธเสด็จพ่อที่ตอนนั้นสั่งลงโทษเขาอยู่พ่ะย่ะค่ะ?”
หลี่ฮองเฮามองหน้าเขา ก็คิดถึงเรื่องวันนั้นที่ว่าเขาใส่ร้ายเซี่ยอวี้เช่นไรขึ้นมาได้ และบัดนี้ก็ถึงตาเซี่ยหยางแล้ว
“องค์ชายรองมาเยี่ยมแค่วันแรกเท่านั้น หลังจากถวายบังคมไท่ซ่างหวงเสร็จก็จากไปอย่างรีบร้อน”
เซี่ยซั่วรู้สึกประหลาดใจ เซี่ยหยางเล่นอะไรอยู่กันแน่ จากสถานการณ์ในตอนนี้ ต่อให้จะต้องคลานมา เขาก็ควรคลานมาจึงจะถูก เหตุใดถวายบังคมเสร็จก็รีบจากไปเช่นนั้นเล่า?
หรือเซี่ยหยางรู้ถึงสถานการณ์ภายในที่เขาไม่รู้?
สมองของเขาคิดถึงแต่เรื่องของเซี่ยหยาง ย่อมไม่ได้สนใจดวงตาของฮ่องเต้เซี่ยเจินที่กลอกไปมาไม่หยุด ที่ส่งสัญญาณขอความช่วยเหลือจากเขา
ฮ่องเต้เซี่ยเจินขณะนี้รู้สึกว่าตัวเองหัวเดียวกระเทียมลีบจริง ๆ คนเดียวที่เขาไว้ใจอย่างเจียงเต๋อก็ถูกพวกของไท่ซ่างหวงพาตัวไปแล้ว ไม่รู้ว่าเป็นหรือตาย หากตอนนี้มีคนเอาตราหยกของเขาไปประทับ เขาก็ไม่มีแรงจะต่อต้านได้จริง ๆ
เขากลัวว่าตัวเองจะไม่กลับมาเป็นปกติอีก แต่ทันทีที่เขาเริ่มคิดเรื่องเหลวไหล พิษก็แพร่กระจายเร็วขึ้น
ซูเฟยรู้สึกว่านางเพิ่งจะเริ่มทายา แต่ตุ่มหนองของฮ่องเต้เซี่ยเจินกลับผุดขึ้นมามากกว่าเดิม ทาเช่นนี้ต้องทาไปถึงเมื่อไรกัน นางรู้สึกหงุดหงิดขึ้นมาเล็กน้อย จึงลงมือทายาเร็วขึ้นอีก แต่คิดไม่ถึงว่าเมื่อกดลงไปหนองจะพุ่งออกมา มีสองสามหยดกระเด็นใส่หลังมือของนาง และมีบางส่วนกระเด็นไปโดนแก้มของเซี่ยซั่วด้วย
ซูเฟยกรีดร้องออกมา ก่อนจะเรียกหมอหลวงอย่างลนลาน “กรี๊ด รีบมาตรวจดูอาการให้ข้ากับองค์ชายห้าเดี๋ยวนี้ พวกเราถูกหนองที่มีพิษกระเด็นใส่!!!”
เซี่ยซั่วกำลังจะบอกให้นางสงบลง ทว่าสุดท้ายซูเฟยกลับกลัวจนพูดขึ้นมาว่า “มีพิษ ห้ามให้พวกเราถูกพิษอย่างเด็ดขาด”
เซี่ยซั่วรู้สึกคันบนใบหน้า และกลัวว่าจะกลายเป็นเหมือนผีอย่างเสด็จพ่อของตน คำพูดที่แสดงถึงความกตัญญูกตเวทีก็ไม่สามารถพูดต่อได้อีกแล้ว และรีบลากหมอหลวงไปด้านหลังฉากบังลมเพื่อทายาให้เขาทันที
ส่วนฮ่องเต้เซี่ยเจินนั้นถูกซูเฟยสะบัดยาผงใส่จนทั่วร่างกายตั้งนานแล้ว ขวดกระเบื้องถูกวางลงบนท้องของเขา บัดนี้ยาได้ผสานกับแผลที่มีหนองจนกลายเป็นก้อน ทว่าหลี่ฮองเฮายังคงดื่มชาอย่างใจเย็น เมื่อสบกับดวงตาที่โกรธเกรี้ยวของฮ่องเต้เซี่ยเจินก็ยังยกจอกให้เขาอีก
ดูเอาเถอะ เจ้าในตอนนี้ต่างถูกคนในครอบครัวและคนใกล้ชิดพากันตีตัวออกหาก ข้างกายของเจ้ายังเหลือผู้ใดอีกเล่า?
ซูเฟยยังคงพึมพำอยู่หลังฉากบังลม เป็นห่วงใบหน้าขององค์ชายห้าและมือของตน ทำให้ภายในตำหนักที่เงียบสงบแห่งนี้ เต็มไปด้วยเสียงที่โกรธเกรี้ยวของนาง
ซู่ซินเข้ามา กวาดตามองฮ่องเต้เซี่ยเจินเล็กน้อย ก่อนจะกระซิบกับหลี่ฮองเฮา “มีข่าวเซี่ยเซวียนแล้วเพคะ”
หลี่ฮองเฮามองหน้านางเล็กน้อย ซู่ซินโน้มตัวไปข้างหน้าและพูดอะไรบางอย่าง แม้หลี่ฮองเฮาจะมีสีหน้าประหลาดใจ แต่ก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา
นางลุกขึ้นเดินไปตรงหน้าฮ่องเต้เซี่ยเจิน ก่อนจะก้มตัวลงเอ่ยกับเขา “ฝ่าบาท ยังเจ็บอยู่หรือไม่เพคะ?”
ฮ่องเต้เซี่ยเจินหอบหนัก ๆ กลิ่นเหม็นโชยออกมาอีกครั้ง หลี่ฮองเฮาพูดโดยที่สีหน้าไม่เปลี่ยนแม้แต่น้อย “เมื่อครู่มีข่าวส่งมา หม่อมฉันจึงตั้งใจมาทูลให้ทรงทราบโดยเฉพาะ หลังจากฟังจบแล้วฝ่าบาทค่อยทายาก็ยังไม่สายนะเพคะ
หมอหลวงบอกว่าพิษของฝ่าบาทห้ามพระองค์โมโหเด็ดขาดเพคะ
ความจริงแล้วก็ไม่มีอะไรมาก ก็แค่เซี่ยเซวียนที่กลายเป็นสามัญชนได้รับการสนับสนุนจากกากเดนที่เหลืออยู่ของสี่ขุนศึกใหญ่ จึงตั้งตัวเป็นฮ่องเต้ที่เมืองอวิ๋นจง หานเหล่ยเองก็ไปเข้าร่วมกับเซี่ยเซวียนด้วย บัดนี้ก็ยังคงเป็นอัครมหาเสนาบดีหานอยู่เพคะ”
เซี่ยเจินไม่อยากจะเชื่อ ลำคอจึงส่งเสียงแหบแห้งออกมา แต่กลับพูดไม่ออก
หลี่ฮองเฮาก้มตัวลงพลางยิ้มบาง ๆ “ช่างเป็นข่าวดีจริง ๆ นี่ก็ใกล้จะปีใหม่แล้ว ในที่สุดปีนี้ฝ่าบาทก็จะได้พักผ่อนจริง ๆ เสียทีนะเพคะ”