ทั้งครอบครัวกินเกี๊ยวและกับข้าวกันอย่างมีความสุข อบอุ่นกันถ้วนหน้า

คืนส่งท้ายปีเก่า หลังจากที่กินข้าวร่วมกันจนอิ่มหนำสำราญแล้ว เหล่าไท่ไท่กับโจวต้าไห่ก็ต้องกลับแล้ว โจวกุ้ยหลานรั้งพวกเขาแล้วแต่พวกเขาก็ยังจะกลับ บอกว่าวันส่งท้ายปีเก่าต้องกลับบ้านไปจุดไฟ โจวกุ้ยหลานจนปัญญา ได้แต่บอกให้พวกเขาเดินทางระวังด้วย

จนเหล่าไท่ไท่กับโจวต้าไห่กลับไปแล้ว โจวกุ้ยหลานและสวีฉางหลินพวกเขาก็เข้าไปจุดตะเกียงน้ำมันก๊าดในบ้าน นั่งผิงไฟอยู่ข้างเตาผิง และให้สวีฉางหลินสอนหนังสือเขา

แรกๆ ก็ดีอยู่ แต่ไม่ถึงหนึ่งชั่วยาม เจ้าก้อนน้อยก็ง่วงนอนแล้ว

สวีฉางหลินอุ้มเจ้าก้อนน้อยกลับห้องของเขาไป จากนั้นก็กลับมานั่งเฝ้ายามเป็นเพื่อนโจวกุ้ยหลาน

ทั้งสองว่างๆ เบื่อๆ โจวกุ้ยหลานเลยให้สวีฉางโจวช่วยสอนหนังสือนางต่อ แบบนี้ถึงจะดูมีชีวิตชีวาขึ้นบ้าง

เรียนไปได้สักพัก โจวกุ้ยหลานก็ง่วงจนทนไม่ไหว นางโยนกิ่งไม้ไปไว้ข้างๆ ตัดสินใจว่าจะไม่เขียนต่อแล้ว

“แบบนี้ไม่ได้นะ เฝ้ายามแบบนี้ง่วงตายเลย” โจวกุ้ยหลานยืนขึ้นขยับแขนขยับขาของตน พูดพลาง ก็หาวไปพลาง

“เจ้าไปนอนเถอะ ข้าเฝ้ายามต่อเอง” สวีฉางหลินพูดพลาง หยิบแก้วขึ้นมา ยกกาน้ำชารินน้ำร้อนให้ทั้งสองคน

โจวกุ้ยหลานส่ายหน้า”ถ้าข้าไปนอน เจ้าก็ลำบากอยู่คนเดียวสิ?วันนี้พวกเรามีหนังสือตั้งเยอะแยะ ไม่งั้นเจ้าอ่านให้ข้าฟังหน่อยได้ไหม? ”

จะว่าไปก็รู้สึกว่าเป็นความคิดของโจวกุ้ยหลานนั้นก็ไม่เลว ไม่รอให้สวีฉางหลินตอบ นางเดินเข้าไปที่กองสิ่งของนั่น เปิดผ้าคลุมออก หยิบหนังสือที่อยู่บนสุดออกมา ค่อยเดินกลับมาที่เดิม และยื่นให้กับสวีฉางหลิน

สวีฉางหลินรับมา พลิกหนังสือเปิด มองดูตัวหนังสือขมวดคิ้วและพูดว่า”มองไม่ค่อยเห็น”

“ไม่เป็นไร ข้าไปเอาน้ำมันตะเกียงก่อน!” โจวกุ้ยหลานพูดพลาง ก็วิ่งเข้าไปที่ห้องครัว หยิบเอาน้ำมันก๊าดใส่ชามใบหนึ่งจากนั้นก็ใส่ไส้ตะเกียงลงไป นำออกมาวางไว้ข้างๆ หนังสือเล่มนั้น

นางมองอีกครั้งแต่ก็ยังรู้สึกว่าตัวหนังสือดูมืดๆ จนรู้สึกปวดตา สุดท้ายด้วยความเป็นห่วงสายตาของสวีฉางหลิน นางเลยเก็บหนังสือเล่มนั้นกลับมา

ทั้งสองนั่งอยู่ตรงนั้น โจวกุ้ยหลานก็เริ่มง่วงนอนอีกแล้ว

สองสามเดือนมานี้ ทุกวันพอท้องฟ้ามืดลงนางก็จะเข้านอนแล้ว เป็นอย่างนี้จนเคยชินแล้ว

“ไม่ได้สิ งั้นข้าเล่านิทานให้เจ้าฟังดีไหม?” โจวกุ้ยหลานทำตาโตมองสวีฉางหลิน

สวีฉางหลินเห็นท่าทีของนางแล้วก็พยักหน้าตอบ

“นานมาแล้วมีอาจารย์และศิษย์สี่คนเดินทางไปชมพูทวีปไปอัญเชิญพระไตรปิฎก อาจารย์ท่านนั้นคือพระถัง ศิษย์คนโตคือราชาวานรไซอิ๋ว ศิษย์คนรองแม่ทัพเทียนเผิง ตือป๊วยก่าย และศิษย์คนเล็กคือขุนพลเปิดม่านซัวเจ๋ง…”

“ทำไมพวกเขาต้องไปอัญเชิญพระไตรปิฎกด้วยหล่ะ?” สวีฉางหลินถาม

“เพื่อช่วยเหลือสรรพสัตว์ทั้งหลาย ให้ผู้คนทำความดี”โจวกุ้ยหลานพูดพลาง ก็เล่าต่อ แต่สวีฉางหลินก็ขัดจังหวะอีกครั้ง” หลังจากพวกเขาอัญเชิญพระไตรปิฎกแล้วชีวิตผู้คนก็ดีขึ้นหรือ? ”

“เอออ…ก็มีที่ยึดเหนี่ยวทางจิตใจ…” โจวกุ้ยหลานครุ่นคิดและตอบกลับ

สวีฉางหลินขมวดคิ้วอีกรอบ” แล้วไม่มีการฆ่าคนหรือวางเพลิงหรือ?”

“เอออ… อันนี้…” โจวกุ้ยหลานเองก็ตอบไม่ได้

เรื่องนี้มันดูลึกซึ้งเกินไป นางไม่อยากจะถกเถียงด้วย และตอนนี้สมองของนางก็สับสนอยู่แล้ว คิดไม่ออกแล้ว

“อะไรกันนี่มันก็แค่นิทานเรื่องหนึ่ง เจ้าอย่าคิดมากไปหน่อยเลย ข้าจะเล่าให้เจ้าฟังต่อนะ…” โจวกุ้ยหลานตอบ

สวีฉางหลินยิ่งขมวดคิ้วแน่นขึ้น และตอบกลับไปว่า”ข้าไม่ชอบนิทานเรื่องนี้”

“งั้นข้าเปลี่ยนเรื่องก็ได้ อาลีบาบากับโจรสี่สิบคนแล้วกัน”โจวกุ้ยหลานพูดพลาง ก็เล่าเรื่องของอาลีบาบาที่ตัวเองยังจำได้ให้สวีฉางโจวฟัง

เล่าไปได้ครึ่งเรื่อง สวีฉางโจวก็ขัดจังหวะโจวกุ้ยหลานอีกครั้ง” อาลีบาบาอาศัยแต่เทพยดางั้นหรือ?เขาไม่เคยพยายามด้วยตัวเองเลย”

“เอออออ…. “โจวกุ้ยหลานครุ่นคิดสักครู่ ดูเหมือนว่ามันจะเป็นเช่นนั้นแหละ

“งั้นแค่ฟังฟังก็พอแล้ว ทำไมพวกเราต้องซีเรียสด้วยหล่ะ?” โจวกุ้ยหลานพูด

สวีฉางหลินเม้มริมฝีปาก เขี่ยถ่านที่อยู่ในเตาเผาและไม่พูดอะไรต่อ

“ถ้างั้น เจ้าเปลี่ยนเรื่องเล่าได้แล้วกัน” โจวกุ้ยหลานเสนอความคิดเห็น

ความจริงแล้วนิทานเรื่องนี้ก็ไม่สมเหตุสมผลเท่าไรเป็นแค่ความบันเทิงเท่านั้น

สวีฉางหลินส่ายหน้า”ข้าไม่มีเรื่องอื่นแล้ว”

“งั้นเจ้าก็นั่งฟังข้าเล่าอย่างเงียบๆ ไม่ต้องออกความคิดเห็น!”โจวกุ้ยหลานพูดอย่างถอนใจ

ทั้งสองนั่งอยู่แบบนี้ มันก็ยิ่งง่วงไปกันใหญ่สิ?ต้องพูดคุยกันบ้างจะดีกว่านะ

สวีฉางหลินหุบปากลง

นิทานพวกนั้นเขาไม่เคยสนใจอะไรเลย แต่เพราะภรรยาเขาโกรธแล้ว เขาจะไม่ฟังก็ไม่ได้

โจวกุ้ยหลานไม่ได้สนใจอะไร เล่าเรื่องของตัวเองต่อ พูดกันคนละหนึ่งชั่วยาม ไม่ง่วงหรอก แต่เหมื่อยปากมากกว่า สักพักเลยเงียบลงไม่พูดอะไรต่อ

สวีฉางหลินเห็นว่านางไม่พูดจา เลยยื่นแก้วน้ำให้นาง

โจวกุ้ยหลานรับมา ดื่มไปหนึ่งอึก และพูดว่า”งั้นพวกเรามาคุยเรื่องงานในปีหน้ากันเถอะ ตรุษจีนปีนี้เจ้าก้อนน้อยก็อายุสี่ขวบแล้ว ถึงเวลานั้นให้เขาไปเรียนหนังสือแล้วกันนะ”

“อืม”

ครั้งนี้สวีฉางหลินตอบกลับ

“ข้าคิดว่า เจ้าเองก็ต้องทำงาน สอนหนังสือเขาไปตลอดคงไม่ได้ ส่งเขาไปเรียนที่โรงเรียนส่วนตัวข้าเองก็ทนไม่ได้ ไม่งั้นก็ให้เหลิวซิ่วฉายมาสอนหนังสือเขาที่บ้านพวกเรา เจ้าว่ายังไงหล่ะ?”

“เขาต้องการครูดีดีสักคน” สวีฉางหลินเสนอความคิดเห็นส่วนตัว

ลูกของพี่สาว ต้องได้รับการเรียนอย่างดี

“เหลิวซิ่วฉายสอนให้เขารู้ตัวอักษรหน่ะพอได้อยู่ รอเขาโตอีกสักหน่อย ถ้าเจ้าเห็นว่า เหลิวซิ่วฉายสอนไม่ได้แล้ว พวกเราค่อยส่งเขาไปโรงเรียนส่วนตัวแล้วกัน”

ตั้งแต่ที่เริ่มจำเหลิวอ้ายได้ นางก็ไตร่ตรองเรื่องนี้อยู่ในใจ

ครอบครัวของเหลิวซิ่วฉายมีฐานะยากจน สอนหนังสือน่าจะดีกว่าทำไร่ทำนา แถมยังสอนหนังสือลูกชายตนได้อีกด้วย

สวีฉางหลินพยักหน้า แสดงความเห็นด้วย

โจวกุ้ยหลานไตร่ตรองมาแล้ว ถึงได้คุยกับสวีฉางหลินถึงแผนหลังปีใหม่ของตน

พูดไปพูดมาก นางก็เริ่มง่วง สุดท้ายก็ฝืนต่อไม่ไหว ผล็อยหลับไป

สวีฉางหลินอุ้มนางไปนอนบนเตียงเตา และตัวเองก็กลับไปนั่งที่ห้องโถงเฝ้ายามต่อ

วันแรกของปีใหม่จะต้องไปเยี่ยมเยียนญาติผู้ใหญ่ แต่สวีฉางหลินไม่มีญาติผู้ใหญ่ ครอบครัวของพวกเขาเลยอยู่บ้านทำกับข้าวกินกัน

วันที่สองของปีใหม่ จะต้องไปไหว้บรรพบุรุษที่ล่วงลับไปแล้ว หิมะตกหนักแบบนี้ ครอบครัวตัวเขาเองก็คงหาสุสานพ่อของโจวกุ้ยหลานไม่เจอ ดังนั้นครอบครัวเขาเลยอยู่บ้านทำอาหารหลากหลายกินกันดีกว่า

วันที่สามของปีใหม่ก็จะกลับบ้านแม่และเริ่มเยี่ยมเยียนญาติๆ

เช้าตรู่วันนี้ โจวกุ้นหลันเอาผ้าสองสามชิ้นอยู่ในกองสิ่งของในบ้าน กับไก่สองตัวและไข่ไก่จำนวนหนึ่งหอบเกินลงเขาไป

สวีฉางหลินให้เจ้าก้อนน้อยนั่งบนบ่าของเขา เดินเหยียบหิมะเล่น เดินกลับบ้านท่ามกลางลมหนาว

เคาะประตูบ้านของเหล่าไท่ไท่ เหล่าไท่ไท่ดีใจมาก ต้อนรับครอบครัวของพวกเขาเข้าบ้านมา และให้พวกเขาไปนั่งข้างเตาเผาในห้องโถง และเอาเมล็ดแตงโมมาให้พวกเขากินเล่นกัน

จนกระทั่งใกล้เที่ยง โจวคายจือก็พาครอบครัวของเขามาเหมือนกัน

เหล่าไท่ไท่ก็ต้อนรับพวกเขาเข้าบ้านมาและให้มานั่งข้างเตาเผาเช่นกัน โจวคายจือ ถูมือของเขา ดูแล้วเป็นคนซื่อสัตย์ ส่วนลูกชายสองคนกับบุตรสาวสามคนของโจวคายจือก็นั่งเงียบๆ ผอมๆ อยู่ตรงนั้น