บทที่ 220 เจ้ามีประโยชน์อะไร!

นางน้อยจอมพลังของนายพลบ้านนา

“พวกเจ้าเดินทางกลับมายังไม่ได้กินข้าวใช่ไหม? ข้าจะไปเตรียมอาหารกลางวันก่อน” เหล่าไท่ไท่หยิบผ้ากันเปื้อนขึ้นมาเช็ดมือ และถามอย่างยิ้มๆ

“ท่านแม่นั่งก่อน เดี๋ยวน้องสาวรองมาค่อยทำกับข้าวก็ได้” โจวคายจือรีบบอกอย่างตื่นเต้น

พี่เขยใหญ่ซุนโก่วต้านยืนเช็ดมืออยู่ข้างๆ และพูดเอาใจเหล่าไท่ไท่”ท่านแม่ พวกข้ายังไม่หิว รออีกสักหน่อยเถอะ”

เหล่าไท่ไท่มองบรรดาหลานชายและหลานสาว” พวกเจ้าหิวหรือ?ยายเอาก๋วยเตี๋ยวให้พวกเจ้ากินก่อนดีไหม?”

หลานสาวคนเล็กสุดเงยหน้ามองแม่ของตน ส่วนเด็กคนอื่นๆ ต่างส่ายหน้ากันหมด หมายความว่ายังไม่หิว

พอพูดจบ ก็มีเสียงท้องร้องจ๊อกๆ ดังขึ้น

สีหน้าของเหล่าไท่ไท่เงียบลง”ยายทำบะหมี่ม้วนมือกับไข่ไก่คนละฟองให้พวกเจ้าแล้วกัน”

พูดพลางก็หันหลังเดินไป โจวกุ้ยหลานยืนขึ้น”ท่านแม่ ให้ข้าต้มดีกว่า”

โจวคายจือที่อยู่ข้างๆ รีบลุกขึ้นยืน “ท่านแม่ ไม่ต้องหรอก พวกข้าไม่หิว รอน่องสาวรองมาก่อนเถอะ… ”

“เจ้ากับสามีเจ้าไม่หิว แต่หลานข้าหิวแล้ว! พวกเจ้าไม่กิน ข้าก็ไม่ต้มให้พวกเจ้าหรอก! “เหล่าไท่ไท่พูดพลางหันหลังเดินไปทางห้องครัว

โจวคายจือโดนแม่ของตัวเองต่อว่าขนาดนี้ จะนั่งก็ไม่กล้านั่ง จะยืนก็ไม่อยากยืน ได้แต่หยุดนิ่งไปสักพัก

โจวกุ้ยหลานกำชับเจ้าก้อนน้อยให้ไปนั่งผิงไฟกับสวีฉางหลิน แล้วก็เดินเข้าไปเรียกโจวคายจือ”พี่ใหญ่ พวกเราไปช่วยท่านแม่ทำกับข้าวกันเถอะ”

ตอนนี้โจวคายจือเองก็ทำอะไรไม่ถูก โจวกุ้ยหลานเรียกนางแบบนี้ นางเลยรีบตอบกลับและเดินตามโจวกุ้ยหลานเข้าครัวไป

เหล่าไท่ไท่จุดเตาไฟเสร็จแล้ว พอโจวกุ้ยหลานเดินเข้าไปในครัวแล้วก็ปิดประตูลง รีบดึงโจวคายจือและพูดกับเหล่าไท่ไท่อย่างยิิ้มๆ ว่า”ท่านแม่ ท่านก็ลำเอียงเกินไป ใส่ใจแต่ครอบครัวของพี่สาวใหญ่ ไม่เห็นถามครอบครัวพวกข้าบ้างว่าหิวไหม”

“เจ้าไม่ได้กินข้าวจนอิ่มค่อยออกจากบ้านหรือ? หรือว่า เจ้าจะโง่เหมือนพี่สาวคนโตของเจ้าที่หิวแล้วแต่ไม่พูดหรือ?”เหล่าไท่ไท่พูดพลาง ก็มองโจวคายจือด้วยสายตาอันดุดัน

บุตรสาวคนโตคนนี้ช่างน่าโมโหยิ่งนัก ตัวนางหิวไม่ว่า แต่ยังให้ลูกตัวเองหิวอีกด้วย

โจวคายจือรู้สึกตื่นเต้นจนเอามือไปจับที่ชายเสื้อของตน ยืนอยู่กลางห้องครัว และไม่กล้ามองหน้าเหล่าไท่ไท่

เมื่อเห็นท่าทีของนางเช่นนั้น เหล่าไท่ไท่ก็ยิ่งโกรธมากขึ้น

โจวกุ้ยหลานรีบขัดสายตาของเหล่าไท่ไท่และพูดว่า”ท่านแม่ ดูที่ท่านพูดสิ พี่สาวก็ไม่อยากเสียอาหารท่านไม่ใช่หรือ?เอาหล่ะเอาหล่ะ ตรุษจีนแล้ว ท่านจะมาด่าคนแบบนี้ได้ยังไง?”

ไม่ว่าจะไม่พอใจแค่ไหน แต่วันนี้เป็นวันตรุษจีน เหล่าไท่ไท่เลยจำเป็นต้องกลืนคำพูดลงคอไป

โจวกุ้ยหลานดึงโจวคายจือ” พี่ใหญ่พี่กลับมาทั้งทีก็ไม่ได้เป็นแขกเลย ข้าทำไม่ทัน เจ้าช่วยข้านวดแป้งหน่อยได้ไหม? ”

“อ่ออ่อได้สิ!” โจวคายจือตอบ และรีบไปตักน้ำใส่อ่าง โจวกุ้ยหลานเดินไปล้างมือ และเทแป้งที่เหล่าไท่ไท่เอาออกมาลงบนเขียง

พอเห็นแป้งหมี่เทออกมามากขนาดนี้ โจวคายจือก็รีบบอกให้พอทันที

โจวกุ้ยหลานหัวเราะและบอกว่า” คนกินตั้งเยอะแยะ จะไปพอได้ไง?พวกข้าเองก็หิวล่ะ”

“จะไปพอได้ยังไง? พวกเจ้ายังไม่ได้กินอะไรมาตั้งแต่เช้า ยังจะมาบอกว่าพอแล้วพอแล้วอีกหรือ!” เหล่าไท่ไท่พูดใส่อารมณ์กับโจวคายจือ

โจวคายจือตอบกลับไปว่า”ท่านแม่.. ท่าน… ท่านรู้ได้ยังไงว่าพวกข้ายังไม่ได้กินข้าวกัน? ”

“เห็นเจ้าแบบนี้ข้านี้โกรธจนอยากจะตีเจ้าให้ตาย!” เหล่าไท่ไท่พูดพลางจะทำท่าเหมือนจะลุกขึ้นยืน

โจวกุ้ยหลานจะทำยังไงดีหล่ะ พ่อลูกคู่นี้แตกต่างกันมากเกินไป ถ้าพวกนางทั้งสองคนโตมาหน้าตาไม่เหมือนกัน โจวกุ้ยหลานต้องคิดว่าพี่สาวคนโตคนนี้ไม่ใช่ลูกของเหล่าไท่ไท่แน่นอน

“ท่านแม่ วันนี้เป็นวันตรุษจีน หลานชายหลานสาวของท่านนั่งหัวโด่กันอยู่ข้างนอกนะ” โจวกุ้ยหลานกล่าวเตือน

เหล่าไท่ไท่คุมอารมณ์ของตนลง พูดน้ำเสียงเย็นชาและนั่งลง ถามนางกลับไปว่า”ยานเจ้า่ที่บ้านของเจ้าไม่มีอะไรให้เจ้ากินหรือไง? ”

โจวคายจือเริ่มกลัวเลยไม่กล้าตอบอะไรเหล่าไท่ไท่ ทำได้แค่เพียงตอบกลับไปว่า”นางบอกว่าวันนี้ให้พวกข้ากลับบ้าน ไปกินข้าวกับแม่…”

“งั้นหรือ? ยายเจ้านั้นไม่ได้พูดไปด่าไปหรอกหรือ?” เหล่าไท่ไท่ไม่ได้หลอกง่ายขนาดนั้น

โจวคายจือก้มหน้าลง รู้สึกเหมือนโดยเหยียดหยาม ถึงอย่างไรก็เป็นแม่ของตน แต่ก็ทนไม่ไหวแล้ว ในสมองรู้สึกคับข้องใจจนพูดออกมาว่า” แม่ผัวบอกพวกข้าว่าตอนนี้มีเงินแล้ว ใช้ชีวิตอย่างสบายใจ ให้พวกข้ากลับมากินอาหารดีดี”

“ยายเจ้านี้ ข้าบอกแล้วว่านางไม่เป็นคนดีหรอก!” เหล่าไท่ไท่พูดอย่างโมโห และไปจุดไฟต่อ

โจวกุ้ยหลานเองก็ไม่รู้จะพูดอะไร ข้าวเช้าก็ไม่ได้กิน รีบออกเดินทางมาสิบกว่าไมล์มากินข้าวที่บ้านแม่ ครอบครัวนั้นก็นิสัยเสียอะไรแบบนี้เนี่ย

“พี่เรื่องนี้ท่านต้องพูดนะ ถ้าเด็กหิวจนปวดท้องจะทำยังไง?” โจวกุ้ยหลานอดไม่ได้ที่จะพูด

“ข้าพูดแล้วมีประโยชน์อะไร? ก้อนหน้านี้ข้าเอาเงินพาลูกไปรักษาไง เงินก็ไม่ได้ให้นาง นางเองก็ไม่เคยไว้หน้าอะไรข้าเลย ลูกข้าแต่ละคนไม่เคยได้กินอิ่มเลย ลูกยังไม่หายดีก็โดนเรียกให้ไปืำงานแล้ว”

พูดไปพูดมา โจวคายจือก็ร้องไห้ออกมา

กิจวัตรในแต่ละวันของนาง ฟ้ายังไม่ทันสว่างก็ต้องลุกขึ้นมาทำงานแล้ว ทำงานในบ้านเสร็จแล้วแม่ผัวนางก็ไม่ยอมให้พัก ข้าวก็ไม่ยอมให้กิน ลูกลูกเขาก็ไม่มีข้าวกิน นี้ทนหิวมาจะเดือนหนึ่งแล้ว ในใจนางรู้สึกเจ็บปวดมากอย่างบอกไม่ถูก

“เจ้าลองพูดสิว่าเจ้ามีประโยชน์อะไร! เจ้าไม่มีปาก พูดไม่เป็นหรือ?ลูกเจ้าไม่สบายนางก็ไม่ให้ไปรักษา เจ้าพูดอะไรไม่ได้เลยหรือไง?หรือว่าคนในหมู่บ้านนั้นมันโง่กันไปหมด ไม่คิดจะช่วยเจ้าพูดบ้างเลยหรือ?”

เหล่าไท่ไท่โมโหมาก

โจวคายจือขยับปาก แต่สุดท้ายก็ไม่พูดอะไร

ซุนโก่วต้านบอกว่าถึงอย่างไรนางก็เป็นแม่เขา จะไม่กตัญญูไม่ได้ นางเลยต้องอดทนมาโดยตลอด

โจวกุ้ยหลานกลอกตา นางเองก็ไม่คิดว่าในสิ่งที่แม่นางพูดนั้นผิดตรงไหน ยิ่งนึกถึงเรื่องที่ก่อนหน้านี้แม่นางบอกให้ไปช่วยงานพี่สาวคนโต ในใจก็ยิ่งคิดว่าคนที่น่าสงสารก็ต้องมีที่จะเกลียดชัง

“เป็นใบ้หรือไง! เจ้าหิวยังทนได้ แต่เจ้าให้ลูกลูกของเจ้าทนหิ้วท้องหิวกับเจ้าไปด้วยหรือ?บ้านข้ามีเงินแล้วมันเกี่ยวอะไรกับบ้านใหญ่โตของเจ้า?เจ้าเป็นคนของตระกูลซุน อย่าคิดจะทำลายความคิดของตระกูลโจวของพวกข้า!”

เหล่าไท่ไท่โกรธมากจนแทบจะระเบิดอยู่แล้ว พูดเสียงดังมาก ถึงจะปิดประตูห้องครัวแล้ว แต่มันก็เล็ดลอดออกไปถึงห้องโถงได้ จนซุนโก่วต้านได้ยินเข้า อายจนหน้าแดงขึ้นมาทันที

เด็กน้อยห้าคนนั่งก้มหน้าเรียงแถวผิงไฟกันอยู่ ก็ไม่กล้าพูดอะไร

โจวต้าไห่มองด้วยความปวดใจ เอาเมล็ดแตงโมและถั่วลิสงใส่มือของพวกเขา ให้พวกเขาได้กินกัน

โจวกุ้ยหลานอยู่ในห้องครัวเหลือบมองโจวคายจือ พูดอย่างเบาๆ ว่า”ท่านแม่ ท่านเสียงดังเกินไปแล้ว คนที่อยู่ห้องโถงได้ยินกันหมดแล้ว”

“ได้ยินแล้วจะทำไม? ข้าอยากให้พวกเขาได้ยินเองแหละ! อย่าทำลายความคิดของตระกูลโจวของข้า ข้ารักหลานสาวของข้า ไม่งั้นเจ้าให้พวกเขาลองเอาเงินจากมือข้าไปดูเป็นไง?” เหล่าไท่ไท่ไม่ได้ลดเสียงลงเลยแม้แต่น้อย