บทที่ 338 ทั้งสองหยอกเย้า

ทะลุมิติไปเป็นสาวนาผู้ร่ำรวย

บทที่ 338 ทั้งสองหยอกเย้า

บทที่ 338 ทั้งสองหยอกเย้า

กู้เสี่ยวหวานยื่นมือออกมา เห็นได้ชัดว่านางกำลังขอของขวัญจากฉินเย่จือ อย่างไรวันนี้นางมีอำนาจที่สุด นางดูไม่ค่อยคาดหวังและกล่าวติดตลก “ใช่แล้ว ของขวัญข้าล่ะ?”

การขอของขวัญของนาง ฉินเย่จือมองว่ามันน่ารักมาก

ฉินเย่จือยิ้มโดยไม่กล่าวอะไร เขาเดินไปข้างหน้าจนห่างจากกู้เสี่ยวหวานเพียงหนึ่งก้าว

กู้เสี่ยวหวานเงยหน้าขึ้นมองเขาราวกับรอของขวัญจากเขาอยู่

ฉินเย่จือยื่นมือไปที่คอของกู้เสี่ยวหวาน กู้เสี่ยวหวานที่ไม่รู้ว่าเขากำลังจะทำอะไรจึงก้าวถอยหลังอย่างไม่ทันได้คิด แต่ฉินเย่จือที่เห็นจึงรีบคว้าแขนนางเอาไว้เพื่อป้องกันไม่ให้นางหนีไป และใช้มือขวาหยิบเชือกที่คอออกมา

ในขณะนั้นปลายนิ้วของเขาได้บังเอิญสัมผัสที่ผิวของกู้เสี่ยวหวานอย่างแผ่วเบา นางสัมผัสได้ถึงอุณหภูมิร่างกายอันอบอุ่นจากปลายนิ้วนั้น

กู้เสี่ยวหวานเบิกตากว้างเมื่อเห็นว่าฉินเย่จือนำของขวัญออกมาจากร่างกายของตนเอง และของขวัญก็ยังห้อยอยู่ที่คอของนางอีกด้วย!

เมื่อฉินเย่จือดึงเชือกออกมา แหวนหยกสีเขียวก็ปรากฏขึ้นต่อสายตาของกู้เสี่ยวหวาน

ปรากฏว่าเป็นสิ่งนี้นี่เอง!

ในใจเต็มไปด้วยความสงสัย เหตุใดเจ้าสิ่งนี้ถึงมาอยู่บนคอของนางได้? นางมองฉินเย่จืออย่างไม่แน่ใจ มองดวงตาเปล่งประกายคู่นั้น

กู้เสี่ยวหวานมองไปที่ฉินเย่จืออย่างสงสัย “นี่หรือ?”

ฉินเย่จือพยักหน้ารับ

กู้เสี่ยวหวานยิ้มพลางลูบแหวนหยก แหวนหยกนี้คงจะอยู่บนคอของนางมานานแล้ว เพราะอุณหภูมิของมันอุ่นและไร้ซึ่งความหนาวเย็น

ทันใดนั้น นางก็คิดจะล้อเลียนฉินเย่จือเล่น จึงกล่าวด้วยรอยยิ้ม “เจ้าไม่มีเงิน จึงซื้อของไม่ได้ เลยเอาสิ่งนี้มาหลอกข้าใช่หรือไม่”

อาโม่กลายเป็นหินในทันที ถ้าเขาไม่คว้ากิ่งไม้ไว้ เขาก็คงจะตกจากต้นไม้ไปแล้ว

เจ้าเด็กคนนี้ นั่นไม่ใช่แหวนหยกธรรมดานะ!

ถ้ากล่าวถึงความสำคัญของแหวนหยกนี้ไป เกรงว่าจะทำให้เจ้าตกใจตาย!

ฉินเย่จือรู้ว่ากู้เสี่ยวหวานกำลังล้อเลียนเขาอยู่ นางเลิกคิ้ว และคลี่ยิ้มออกมา

เขาดีดหน้าผากของกู้เสี่ยวหวานอย่างแผ่วเบา และแสร้งกล่าวอย่างหมดหนทาง “เจ้าก็รู้นี่ ข้าไม่มีเงินที่จะซื้อของขวัญให้เจ้า จึงต้องนำสิ่งนี้มาให้แทน”

กู้เสี่ยวหวานรู้สึกเจ็บที่หน้าผากจึงใช้มือซ้ายขึ้นมาลูบ และจ้องไปที่ฉินเย่จือด้วยความโกรธ ชายผู้นี้อาศัยความสูงของเขาเพื่อมาดีดหน้าผากของนางราวกับดีดอะไรสักอย่าง เมื่อเห็นกู้เสี่ยวหวานจ้องมาที่เขาเช่นนั้น ฉินเย่จือก็รู้สึกพึงพอใจอย่างยิ่ง

วันนี้กู้เสี่ยวหวานเพลิดเพลินกับความรู้สึกของการเป็นจักรพรรดินี

ไม่ต้องกังวลอะไร ไม่ต้องทำอะไร และยังได้รับของขวัญอีก

จู่ ๆ กู้เสี่ยวหวานก็หลับตาลงและประสานมือเข้าด้วยกัน ฉินเย่จือที่อยู่ด้านข้างจึงรีบถามว่านางกำลังทำอะไร

หลังจากที่กู้เสี่ยวหวานอธิษฐานเสร็จ นางจึงกล่าวอย่างมีความสุขว่า “ข้าขอพร! ข้าขอให้ทุกคนอยู่ฉลองวันเกิดกับข้าไปในทุก ๆ ปี และเราจะอยู่ด้วยกันตลอดไป!”

ฉินเย่จือเลิกคิ้วและกล่าวอย่างจริงจังว่า “ต้องมีวันนั้นแน่!”

เมื่อเห็นท่าทางที่จริงจังของฉินเย่จือ กู้เสี่ยวหวานก็พยักหน้า วันนั้นจะต้องมาถึงอย่างแน่นอน

วันเกิดผ่านไปอย่างมีชีวิตชีวา หลังจากวันนี้และหลังปีใหม่ กู้เสี่ยวหวานก็จะมีอายุครบสิบขวบแล้ว

ไม่เคยคิดว่าวันเกิดครั้งแรกในอีกโลกหนึ่งจะน่าจดจำขนาดนี้

ฉินเย่จือจดจำความปรารถนาของกู้เสี่ยวหวานไว้ในใจ

นี่เป็นวันเกิดครั้งแรกของกู้เสี่ยวหวานในอีกโลกหนึ่ง และเป็นครั้งแรกที่ฉินเย่จืออยู่ฉลองวันเกิดกับกู้เสี่ยวหวานอีกด้วย

เมื่อวันเกิดผ่านไป อากาศก็เริ่มเย็นลง

เมื่อเห็นว่าอากาศเริ่มเย็นลงเรื่อย ๆ และในขณะที่ยังมีดวงอาทิตย์อยู่ จึงต้องรีบหมักเนื้อและปลาไว้สักหน่อย เมื่อปีที่แล้วไม่มีเวลาจึงไม่ได้ทำเอาไว้ ปีนี้ต้องหมักอีกหน่อย และบางทีอาจจะขายได้ราคาดีก็ได้

ปลาบนภูเขา เนื่องจากมันเติบโตภายใต้น้ำตกจึงมีเนื้อแน่นและรสชาติกลมกล่อม ถ้านำปลาเหล่านั้นมาหมัก รสชาติคงต้องดีมากแน่

เมื่อกู้เสี่ยวหวานตัดสินใจได้และบอกกับฉินเย่จือ เขาก็เกิดความสนใจขึ้นมาในทันที

นับตั้งแต่รู้จักกันมา ฉินเย่จือพบว่าเมื่อไรที่กู้เสี่ยวหวานคิดอะไรได้ขึ้นมา สิ่งนั้นจะเป็นสิ่งที่แปลกใหม่ รสชาติดี และยังสามารถทำเงินได้อีกด้วย ฉินเย่จือไม่คิดอะไรมาก เขาพร้อมเดิมตามและปฏิบัติตามคำสั่งของนางทันที

ที่ฉินเย่จือฟังคำสั่งของกู้เสี่ยวหวาน เพราะในเวลานั้นเขาเคยกล่าวไว้ในตอนที่มาที่ครอบครัวนี้ในครั้งแรกแล้วไม่ใช่หรือว่า เขาจะตอบแทนกู้เสี่ยวหวานที่ช่วยชีวิตเขาโดยเป็นวัวเป็นม้าให้กับนาง

ทั้งสองทำตามที่พูด หยิบแหและตะกร้าขึ้นไปบนภูเขา

เพราะฉินเย่จือแข็งแกร่งจึงสามารถจับปลาได้มากมาย กู้เสี่ยวหวานมองไปที่ริมสระน้ำ และเห็นแสงอาทิตย์สาดส่องเข้ามาพอดี แดดดีมากและสถานที่แห่งนี้ยังเหมาะกับการตากปลา หลังจากที่คิดเกี่ยวกับมัน นางจึงปรึกษากับฉินเย่จือ “ท่านพี่ ถ้าเราเอาปลาพวกนี้แขวนไว้ที่นี่สักวันสองวัน และเมื่อมันใกล้จะแห้งแล้วค่อยนำกลับบ้าน ท่านคิดว่าอย่างไรบ้าง”

กู้เสี่ยวหวานได้ดูภูมิประเทศแล้ว และหลายวันมานี้อากาศก็ไม่เลว ฝนคงจะไม่ตก ถ้าจะล้างปลาที่นี่ก็สามารถทำได้เพราะที่นี่มีแหล่งน้ำ ถ้าจะนำปลาทั้งหมดไปล้างที่แม่น้ำในหมู่บ้าน ผู้คนก็คงจะมาวุ่นวายเป็นแน่

ฉินเย่จือพยักหน้า นี่เป็นวิธีที่ดีที่สุด

กู้เสี่ยวหวานอธิบายให้ฉินเย่จือฟัง และขอให้ฉินเย่จือตัดไผ่มาจำนวนหนึ่ง จากนั้นปักมันไว้ในที่โล่งแจ้ง ทำเป็นขั้นตามที่กู้เสี่ยวหวานบอก หลังจากล้างปลาเสร็จแล้วก็นำมาแขวนไว้

เมื่อขึ้นเขาในครั้งถัดไป กู้เสี่ยวหวานก็นำมีด ถังไม้ และเกลือหยาบมาจำนวนหนึ่ง

กู้เสี่ยวหวานผ่าท้องปลาออกและนำเครื่องในปลาทิ้งไป โดยเหลือกระเพาะปลาไว้ และนำน้ำมันใส่ไว้ในกะละมัง หลังจากทำความสะอาดท้องและขูดเกล็ดเรียบร้อย จากนั้นจึงผ่าครึ่ง ใช้เชือกร้อยผ่านปากปลา เช่นนี้จึงจะทำให้ปลาแห้งทั้งภายในและภายนอก

กู้เสี่ยวหวานล้างปลา ส่วนฉินเย่จือก็จับปลา ทั้งสองทำงานร่วมกันอย่างแข็งขัน ความเร็วจึงมากขึ้น และภายในหนึ่งวันก็หมักปลาได้ห้าถังแล้ว

ปลานี้ต้องหมักด้วยเกลือหยาบไว้เป็นเวลาสองถึงสามวัน รอให้ความเค็มซึมเข้าไปในเนื้อปลา หลังจากนั้นจึงนำปลาออกมาแขวนไว้ให้แห้ง

ทั้งสองยุ่งอยู่กับการทำงานบนภูเขาเป็นเวลาหลายวัน หลังจากกู้เสี่ยวหวานคำนวณดูแล้ว ปรากฏว่าพวกเขาหมักปลาได้มากกว่าสามร้อยตัวแล้ว ปลาเหล่านี้ทั้งตัวใหญ่และเนื้อแน่น ถ้าปลาทั้งหมดแห้งแล้ว เกรงว่าคงจะมีน้ำหนักหลายพันจินขึ้นไป

กู้เสี่ยวหวานกังวลว่าปลาจะหมดสระ ดังนั้นนางจึงหยุดทำ

ปลาแห้ง