บทที่ 339 อิจฉาครอบครัวจาง

ทะลุมิติไปเป็นสาวนาผู้ร่ำรวย

บทที่ 339 อิจฉาครอบครัวจาง

บทที่ 339 อิจฉาครอบครัวจาง

หลังจากตากปลาไว้สองวันแล้ว ปลาเหล่านี้ก็เกือบจะแห้งสนิท กู้เสี่ยวหวานกลัวว่าปลาที่ตากไว้จะโดนน้ำค้างในตอนกลางคืน นางกับฉินเย่จือจึงไปเก็บพวกมันกลับมาไว้ที่บ้าน

เมื่อนำปลาเหล่านั้นกลับมาก็พบว่าลานบ้านนั้นเล็กเกินไป เมื่อตากแห้งไปแล้วครึ่งหนึ่ง แต่เนื่องจากในลานบ้านแออัดมาก อีกครึ่งจึงยังไม่แห้งดี กู้เสี่ยวหวานไม่มีทางเลือกจึงต้องนำอีกครึ่งที่เหลือไปตากที่บ้านป้าจาง เพราะลานบ้านของป้าจางกว้างกว่า จึงสามารถตากปลาอีกครึ่งหนึ่งได้ กู้เสี่ยวหวานมองเสาไม้ไผ่ในลานบ้านที่เต็มไปด้วยปลาก็พลันมีความสุขมาก

แต่ดีใจได้ไม่นาน หัวหน้าหมู่บ้านเหลียงก็ปราฏก็ตัวขึ้น

ครั้นมาถึงบ้านของป้าจาง

ทุกเช้าเย็น กู้เสี่ยวหวานจะรีบไปที่บ้านของป้าจางเพื่อทำความสะอาด และทำให้ปลาแห้ง เนื่องจากนางไปตากปลาไว้ที่บ้านของป้าจางแล้วจึงไม่อยากรบกวนป้าจางมาช่วยพวกเขาทำความสะอาด เพราะครอบครัวป้าจางยังต้องทำงานหาเงินอีก

ตอนนี้กล่องไม้ไผ่ของครอบครัวป้าจางขายดีมาก ในเวลาต่อมากู้เสี่ยวหวานได้คิดวิธีใหม่และซื้อเส้นไหมที่มีสีสันหลากหลาย และขอให้ลุงจางพันเส้นไหมรอบ ๆ แถบไม้ไผ่ จากนั้นจึงใช้แถบไม้ไผ่สานกล่อง กล่องที่ผลิตจึงมีความละเอียดอ่อนและสวยงามมากขึ้น

กู้เสี่ยวหวานมีความสุขมากเมื่อได้เห็นผลิตภัณฑ์ชิ้นแรกเสร็จสิ้น และขอให้ลุงจางสานเพิ่มอีกหนึ่งโหลทันที นางนำกล่องไม้ไผ่เหล่านี้และไปที่เมืองรุ่ยเสียน ในครั้งนี้กู้เสี่ยวหวานไปที่ร้านขายเครื่องประทินโฉม

ร้านเครื่องประทินโฉมแห่งนี้ไม่เหมือนกันร้านขนม ด้วยของสิ่งนี้ เมื่อนำมาใส่เครื่องประทินโฉมแล้ว แม้จะบรรจุได้ไม่มาก แต่จะมีราคาสูงอย่างแน่นอน

เจ้าของร้านเครื่องประทินโฉมรู้เรื่องกล่องไม้ไผ่มานานแล้ว ทั้งเมืองนี้มีเพียงร้านขนมเท่านั้นที่ใช้กล่องไม้ไผ่นี้

เมื่อเถ้าแก่เนี้ยเห็นว่ามีคนนำกล่องหลากสีมาที่ร้านของนาง จึงเกิดความสนใจขึ้นมาในทันที

ในการทำการค้าควรจะต้องมีไหวพริบ กล่องนี้สานอย่างวิจิตรบรรจงและสวยงาม ไหมที่พันรอบกล่องช่วยเพิ่มสีสันให้กับกล่องได้อย่างดี

เดิมทีแล้วเถ้าแก่เนี้ยต้องการจะซื้อกล่องไม้ไผ่มาเพื่อเป็นของที่ระลึกให้กับทุกคน แต่หลังจากที่เห็นว่าทุกคนล้วนมีกล่องไม้ไผ่เช่นนี้แล้วจึงล้มเลิกความตั้งใจไป

กล่องไม้ไผ่สามารถใช้ได้หลายครั้ง และร้านขนมก็ขายแยกกล่องชิ้นละสิบเหรียญ หากบางคนไม่ต้องการซื้อกล่องไม้ไผ่นี้ใหม่ก็สามารถใช้กล่องไม้ไผ่สำเร็จรูปที่มีนำมาใส่ขนมได้ วิธีนี้ยังช่วยประหยัดเงินไปได้อีกด้วย

แต่ครั้งนี้ที่กู้เสี่ยวหวานนำมา มันเป็นกล่องรูปแบบใหม่ที่เถ้าแก่เนี้ยไม่เคยเห็นมาก่อน นางจึงสนใจและนำมาวางไว้ในร้านเพื่อรอให้ลูกค้าเข้ามาเห็น

หลังจากที่ซื้อเครื่องประทินโฉมกันแล้ว ครั้นเหล่าสตรีเห็นกล่องที่สวยงามเช่นนั้น และพวกนางทั้งหมดก็ซื้อมันด้วยเงินของตัวเอง

กู้เสี่ยวหวานขอให้เถ้าแก่เนี้ยแนะนำกล่องนี้แก่ลูกค้าว่า กล่องนี้ไม่เพียงแต่ใช้เก็บของได้เท่านั้น แต่ยังใช้เก็บเครื่องประดับได้อีกด้วย นอกจากนี้ ยังสวยงามมากพอที่จะวางประดับบนโต๊ะเครื่องแป้ง

สตรีเหล่านั้นต้องการกล่องรูปแบบใหม่ และหลังจากนั้นไม่นาน กล่องทั้งหมดที่กู้เสี่ยวหวานนำมาก็ขายหมดเกลี้ยง

เถ้าแก่เนี้ยมีความสุขมากและบอกว่าจะลงนามในสัญญาระยะยาวกับกู้เสี่ยวหวานทันที เนื่องจากราคาของกล่องนี้มีราคาแพงและไม่ถือว่าเป็นสินค้าสิ้นเปลือง กู้เสี่ยวหวานจึงเสนอให้จัดส่งครั้งละหนึ่งร้อยกล่องต่อเดือนในราคาสามสิบเหรียญ และเถ้าแก่เนี้ยก็ตอบตกลง

ลุงจางและป้าจางก็มีสัญญาเพิ่มขึ้นอีกหนึ่งฉบับ พวกเขามีความสุขมาก ในช่วงเวลาหนึ่ง กล่องไม้ไผ่ทำเงินได้มากกว่าหนึ่งร้อยตำลึงเงินแล้ว กู้เสี่ยวหวานก็หาลูกค้ามาให้พวกเขาอีก โดยจะขายได้กล่องละสามสิบเหรียญ เพียงแค่ต้องเสียเงินซื้อไหมสักหน่อย ครอบครัวจางก็กลับมามีความสุขอีกครั้ง

อย่างไรก็ตาม หลังจากมีความสุขมาได้ไม่นาน ก็มีคนมาทำให้ไม่มีความสุขเสียแล้ว

เมื่อกู้เสี่ยวหวานไปที่บ้านของป้าจางเพื่อที่จะเอาปลาไปตากแห้ง นางก็เห็นลุงจางและป้าจางขมวดคิ้วโดยไม่กล่าวอะไร บรรยากาศในบ้านก็ดูอึมครึม กู้เสี่ยวหวานจึงรีบรุดขึ้นหน้าอย่างรวดเร็ว และกระซิบถามฉือโถว “พี่ฉือโถว มีอะไรผิดปกติหรือไม่?”

ฉือโถวพยักหน้าตอบรับอย่างเงียบ ๆ

“เกิดอะไรขึ้นกันแน่ ท่านลุงจาง ท่านป้าจาง พวกท่านรีบบอกข้ามา!” เมื่อกู้เสี่ยวหวานเห็นว่าฉือโถวเพียงตอบรับ แต่ไม่กล่าวอะไรเพิ่มเติม นางจึงกังวลเล็กน้อย และบรรยากาศในบ้านก็ดูอึมครึมเล็กน้อย

ป้าจางถอนหายใจและกล่าวว่า “สาวน้อยเสี่ยวหวาน เรื่องนี้ไม่เกี่ยวอะไรกับเจ้า”

“จะไม่เกี่ยวได้อย่างไร ท่านป้าจาง ถ้าท่านมีเรื่องยาก ๆ แค่บอกข้า แล้วเราจะหาทางแก้ไขร่วมกัน” กู้เสี่ยวหวานกล่าวอย่างจริงจัง ทุกวันนี้ นางถือว่าป้าจางเป็นญาติของนาง ถ้าญาติมีปัญหา นางต้องยื่นมือเข้าไปช่วยอยู่แล้ว

กู้เสี่ยวหวานมีท่าทีกังวล ดูเหมือนว่าลุงจางและป้าจางจะต้องประสบปัญหาบางอย่างแน่นอน ยิ่งพวกเขาไม่กล่าวอะไร กู้เสี่ยวหวานก็ยิ่งรู้สึกกังวลมากขึ้น

“สามี หรือว่าพวกเราควรจะบอกเรื่องนี้กับสาวน้อย เจ้าดูสิว่านางเป็นกังวลหมดแล้ว!” ป้าจางถอนหายใจ เมื่อเห็นว่าลุงจางไม่กล่าวอะไร นางจึงเปิดปากพูดขณะที่กู้เสี่ยวหวานกำลังรออย่างใจจดใจจ่อ

“พวกเราทำกล่องไม้ไผ่นี้เองใช่หรือไม่? ในตอนนี้ผู้คนในหมู่บ้านต่างมีความคิดเห็นมากมาย!” ป้าจางถอนหายใจ

“เฮ้อ พวกเขาบอกว่าพวกเรายึดป่าไผ่บนภูเขาไปเพื่อสร้างรายได้ภายในครอบครัวเท่านั้น สิ่งของบนภูเขาเป็นทรัพย์สินของหมู่บ้าน ตอนนี้ที่ครอบครัวจางใช้ไม้ไผ่นี้ ดังนั้นเราจึงต้องจ่ายเงิน” ลุงจางถอนหายใจแล้วกล่าว “พวกเราลองครุ่นคิดดูแล้วว่าควรต้องจ่ายเงิน แต่สิ่งของในหมู่บ้านอู๋ซีแห่งนี้ก็ควรเป็นของพวกเราทุกคนไม่ใช่หรือ ทุกคนสามารถขึ้นไปบนภูเขาเพื่อเอาอะไรก็ได้ที่ต้องการ ข้าไม่เคยเห็นเลยว่าถ้าเอามาเยอะจะต้องจ่ายเงินด้วย!” ลุงจางรู้สึกขุ่นเคืองและงงงวย

ฉือโถวที่อยู่ด้านข้างก็กล่าวอย่างโกรธเคือง “หึ พวกเขาคงเห็นว่าเราทำเงินได้ จึงอิจฉาสินะ!”

ฉือโถวนั่งยอง ๆ อยู่บนพื้น และมองดูที่พื้นดินตรงหน้าเขา จากตรงนี้จึงมองไม่เห็นสีหน้าของเขา แต่เมื่อฟังจากน้ำเสียงก็รู้ได้ว่าฉือโถวก็โกรธมากเช่นกัน

ป้าจางที่อยู่ด้านข้างก็กล่าวขึ้นมาว่า “คนในหมู่บ้านบอกว่าพวกเราตัดไผ่มาจนจะเกลี้ยงแล้ว และบอกว่าพวกเราไม่เพียงแค่ตัดไผ่เท่านั้น แม้แต่หน่อไม้ก็ไม่เว้น เห็นได้ชัดว่าตัดหน่อไม้มาจนหมดแล้ว”

“เมื่อข้าไปตัดไผ่ พ่อแม่บอกว่าไม่สามารถตัดในที่เดียวได้ และบอกให้ข้าตัดมาที่ละนิดหน่อย ที่ไกลสุดที่ข้าไปตัดมาคือกลางภูเขา” ฉือโถวกล่าว