ตอนที่ 379 อยากขอแต่งงาน

แม่ปากร้ายยุค​ 80

ตอนที่ 379 อยากขอแต่งงาน

หลินม่ายตอบว่า “เลี้ยงกระต่ายยังไงล่ะ กระต่ายกินแค่หญ้าและผักสดอย่างพวกหัวไชเท้า เลี้ยงกระต่ายใช้ค่าใช้จ่ายน้อยที่สุดแล้ว แถมกระต่ายขยายพันธุ์เร็วมาก ปกติหนึ่งเดือนก็โตพอที่จะขายได้แล้ว และยังไม่ต้องกังวลเรื่องการขายด้วย ฉันจะรับซื้อกระต่ายจากเธอเอง”

ฟู่เฉียงเกาศีรษะแกรกๆ “กระต่าย…ผมเลี้ยงไม่เป็น…”

“เธอเรียนจบประถมแล้วใช่ไหม?” จู่ๆ หลินม่ายก็ถามขึ้น

ฟู่เฉียงงุนงง ไม่เข้าใจว่าจู่ๆ เธอกระโดดจากคำถามเรื่องการเลี้ยงกระต่ายมาที่เรื่องเขาเรียนจบชั้นประถมได้อย่างไร

“ยังครับ ได้เรียนประถมแค่สี่ปี พ่อผมก็ล้มหมอนนอนเสื่อ ผมเลยต้องเลิกเรียน” ฟู่เฉียงพูดด้วยน้ำเสียงที่แผ่วเบาอย่างอับอายเล็กน้อย

หลินม่ายขมวดคิ้วอย่างกังวล “งั้นก็อาจจะยากแล้ว คุณยังเรียนไม่จบหลักสูตรประถม ถ้าฉันให้หนังสือบอกวิธีการเพาะเลี้ยงกระต่ายกับเธอ เธอก็คงไม่เข้าใจ”

ฟู่เฉียงเงยหน้าขึ้นพูด ถึงผมจะเรียนถึงแค่ประถมสี่ แต่รู้หนังสือไม่น้อยและผมก็อ่านหนังสือพิมพ์ได้”

หลังจากเงียบไปครู่หนึ่งก็พูดอีกว่า “ถึงผมจะอ่านหนังสือเกี่ยวกับวิธีการเพาะเลี้ยงไม่เข้าใจ แต่น้องสาวคนโตของผมอ่านออก เพราะหล่อนเรียนจบประถม”

หลินม่ายพยักหน้า “งั้นก็ดี ปีหน้าฉันจะซื้อหนังสือเกี่ยวกับการผสมพันธุ์กระต่ายและวิธีการเลี้ยงกระต่ายมาให้”

ฟู่เฉียงกล่าวขอบคุณอย่างซาบซึ้งใจ

หลินม่ายถามว่าแม่ของป่วยทางจิตได้อย่างไร

บ้านเขายากจนจากการเจ็บป่วย

เพียงแค่พาพ่อแม่ฟู่เฉียงไปรักษาให้หายดี ครอบครัวของเขาก็คงดีขึ้นมาก

ถ้าแม่ฟู่เฉียงถูกกระตุ้นให้เกิดอาการทางจิต ก็อาจจะรักษาให้หายได้

แต่ถ้าเกิดว่าเป็นโดยกำเนิด…

หลินม่ายมองไปที่ฟู่เฉียงด้วยความสงสาร

ถ้าแม่เขาป่วยทางจิตมาตั้งแต่เกิด ก็มีแนวโน้มมากที่มันจะส่งต่อไปยังพี่น้องของเขา

ฟู่เฉียงเงยหน้ามองฟ้าทำมุมสี่สิบห้าองศา หวนนึกถึงความทรงจำครู่หนึ่ง “ผมจำได้ว่าตอนที่ผมเด็กๆ แม่ไม่ได้มีอาการทางจิต จนผมโตอายุสักเจ็ดแปดปี จู่ๆ ท่านก็เป็นบ้า”

“แต่ถึงท่านจะเป็นบ้า ท่านก็แค่ชอบพูดชอบตะโกน หรือไม่ก็พูดคนเดียว ไม่ได้ทำร้ายใคร” เขารีบเสริมอีกประโยค กลัวว่าหลินม่ายจะไม่ชอบแม่ของตน

หลินม่ายได้ฟังก็รู้ว่าเป็นอาการทางจิตแต่กำเนิด ไม่ใช่อาการที่เกิดทีหลัง

เพราะอาการทางจิตที่เกิดทีหลังปกติจะแสดงออกมาเมื่อได้รับการกระตุ้น

แต่อาการทางจิตของแม่ฟู่เฉียงไม่ได้ถูกกระตุ้นมาก่อน จู่ๆ ก็มีอาการขึ้นมาโดยที่ไม่รู้สาเหตุ นั่นหมายความว่าเป็นอาการที่มีมาแต่กำเนิด

มีอาการป่วยทางจิตที่แสดงอาการเมื่ออายุถึงประมาณหนึ่ง

ชีวิตก่อนเธอรู้จักเถ้าแก่เนี้ยคนหนึ่ง ครอบครัวเธอมีอาการป่วยทางจิตจากกรรมพันธุ์ ซึ่งถ่ายทอดสู่ผู้หญิงเท่านั้น ไม่ถ่ายทอดสู่ผู้ชาย

บ้านเธอมีพี่น้องผู้หญิงสี่คนและน้องชายหนึ่งคน พี่สาวสามคนของเธอแสดงอาการทางจิตตามกรรมพันธุ์ช่วงวัยรุ่น เปลือยกายวิ่งออกจากบ้าน

เถ้าแก่เนี้ยผ่านช่วงวัยรุ่นไปอย่างกังวลใจ จนกระทั่งอายุยี่สิบห้าก็ยังไม่มีอาการทางจิตแสดงออกมา

จึงคิดว่าตัวเองหลบเลี่ยงหายนะไปได้แล้ว ไม่คาดคิดว่าจะมาแสดงอาการทางจิตตอนอายุประมาณสามสิบ

ทั้งบ้านมีเพียงน้องชายที่ปกติ

เพราะอาการป่วยทางจิตนี้เป็นกรรมพันธุ์ น้องชายของหล่อนจึงไม่แต่งงาน กลัวว่าอาการป่วยทางจิตนี้จะถูกส่งต่อไปอีกรุ่น

หลินม่ายกังวลมากว่าพี่น้องฟู่เฉียงจะต้องพบเจอเหตุการณ์นี้ในอนาคต

ถ้าเป็นเช่นนั้น ครอบครัวนี้จะทำอย่างไรล่ะ?

หลินม่ายพูดว่า “วันที่ฉันกลับเข้าเมือง เธอพาแม่เธอไปด้วย จะได้ดูว่าอาการป่วยทางจิตของแม่เธอมันควบคุมได้ไหม ฉันจะจ่ายค่ารักษาให้ก่อน เธอค่อยเอาเงินมาคืนที่หลัง”

มุมปากฟู่เฉียงยกยิ้มเศร้า “แม่ผมไม่ทำร้ายคน อาการป่วยนี้…ยังไม่ต้องรักษาก็ได้ครับ”

หลินม่ายรู้ว่าเขากลัวที่จะใช้เงิน แม้เธอจะจ่ายให้ก่อน แต่ก็ยังต้องคืน

เธอพูดอย่างจริงจังว่า “แม้ว่าแม่เธอจะไม่ทำร้ายคน แต่เรื่องนี้จะมั่นใจได้ยังไง? ถ้าวันไหนท่านควบคุมตัวเองไม่ได้และไปทำร้ายคนอื่นล่ะ? พวกเราไม่ควรเสี่ยงนะอีกอย่าง ถ้าควบคุมอาการป่วยทางจิตของแม่เธอได้ ท่านก็จะกลับมาเป็นปกติ อย่างน้อยก็ช่วยเธอทำงานเล็กน้อยในบ้านได้ แบ่งเบาภาระของเธอได้บ้าง”

ฟู่เฉียงคิดแล้วคิดอีก จากนั้นจึงพยักหน้าตอบตกลง

หลินม่ายเห็นน้องสาวคนโตของฟู่เฉียงถือชามเปล่าออกมา นึกได้ว่าพ่อของฟู่เฉียงกินข้าวผักในชามนั้น เอ่ยเบาๆ ว่า “ให้พ่อคุณกินอะไรดีๆ หน่อยนะ อย่างน้อยก็อย่าใช้ผักป่าทำอาหารให้เขากินเลย”

ฟู่เฉียงหน้าแดง “เมื่อผักที่บ้านโตผมก็จะเอามันไปขายทันที ต้องเก็บเงินเป็นค่าเล่าเรียนให้น้องๆ ต้องซ่อมบ้าน ทุกคนกินผักป่ากันหมด”

หลินม่ายได้ยันดังนั้นแล้วเงียบไปพักหนึ่ง จากนั้นจึงพูดว่า “เธอให้น้องๆ เก็บผักป่ามาให้ตัวแทนฉันนะ แล้วเธอก็กินผักที่พวกเธอปลูกเอง ให้พ่อเธอกินอาหารที่ดีที่สุดเท่าที่ทำได้ อย่างน้อยทุกวันก็ควรได้กินไข่ มีคุณค่าทางโภชนาการ อาการป่วยจะได้ดีขึ้นเร็วๆ”

ในความเป็นจริงไม่ใช่ว่าฟู่เฉียงไม่อยากให้พ่อกินไข่ทุกวัน แต่ให้ตายอย่างไรพ่อเขาก็ไม่ยอมกิน

บอกว่าตนเองป่วยก็ลำบากลูกๆ แล้ว ยังจะกินดีอีกก็กินไม่ลง

ดังนั้นฟู่เฉียงจึงไม่ได้เตรียมอาหารดีๆ ให้เขาเพียงคนเดียว ทุกคนกินอะไร พ่อก็กินอันนั้น

เดิมทีเขาอยากอธิบายเรื่องนี้ให้หลินม่ายฟัง แต่คิดแล้วก็ล้มเลิกไป มันเป็นเรื่องจริงที่เขาดูแลพ่อไม่ดี

หลินม่ายพูดจบแล้วก็ลุกขึ้นกล่าวลา

เธอออกมาได้ครู่หนึ่งแล้ว ถ้ายังไม่กลับไป คุณปู่คุณย่าฟางจะกังวล

ฟู่เฉียงไปส่งเธอกลับบ้าน

เด็กน้อยสองสามคนและแม่ฟู่เฉียงเฝ้ามองเธอจากไป สายตาไม่เต็มใจนัก

หลินม่ายเดินไปพลางพูดกับฟู่เฉียงเสียงเขาว่า “ถ้ามีคนมารังแกคุณที่บ้านอีก เธอไม่ต้องเผชิญหน้ากับพวกเขาเองหรอก ไปพบหัวหน้าหมู่บ้านเลย”

ฟู่เฉียงยิ้มอย่างขมขื่น “หัวหน้าหมู่บ้านไม่ทำให้คนอื่นขุ่นเคืองเพื่อพวกเราหรอกครับ”

หลินม่ายก็คิดเช่นนั้น

แม่เหว่ยเหว่ยร้ายขนาดนั้น ใครจะทำให้คนอื่นขุ่นเคืองใจเพื่อช่วยครอบครัวของฟู่เฉียง นั่นจะยิ่งไม่เป็นการโหมไฟเหรอ?

“งั้นก็ไปสหพันธ์สตรี สหพันธ์สตรีจะปกป้องผู้หญิงและเด็ก”

ฟู่เฉียงหัวเราะ “พี่ม่ายจื่อไม่ต้องกังวลเรื่องเราหรอกครับ คนไม่ดีเหมือนแม่เหว่ยเหว่ยมีน้อย ส่วนใหญ่คนในหมู่บ้านนี้ดีมาก พวกเขาไม่ใช่แค่ไม่รังแกพวกเรา บางครั้งพวกเราพี่น้องทำไร่ไม่ได้ ก็มีคุณลุงคุณป้าคอยช่วยเหลือตลอด”

หลินม่ายพยักหน้า “งั้นก็ดี”

เธอเห็นฟู่เฉียงยังตามมาส่งจึงบอกว่า “เธอกลับไปเถอะ”

ฟู่เฉียงตอบ “ตอนนี้มืดแล้ว ให้ผมไปส่งพี่กลับบ้านเถอะ”

หลินม่ายหัวเราะ “ฉันไม่ได้ไม่ชินทางแถวนี้นะ เธอรีบกลับไปดูแลที่บ้านเถอะ”

เมื่อหลินม่ายยืนยันเช่นนั้น ฟู่เฉียงจึงทำได้เพียงยืนมองเธอเดินจากไป

ไม่ถึงสิบนาที หลินม่ายก็เดินมาถึงทางเข้าเมืองซื่อเหม่ย

เงาร่างที่คุ้นเคยรีบเดินเข้ามาทางนี้

คนคนนั้นเห็นเธอเช่นกันจึงหยุดเดินทันที

หลินม่ายเห็นเงารางๆ ใต้แสงจันทร์ชัดว่าคนคนนั้นคือเถี่ยหนิว

เธอแสร้งทำเป็นไม่เห็น เดินผ่านเขาไป

เถี่ยหนิวเห็นเธอก็รู้สึกอับอาย ไม่รู้ว่าควรจะเอ่ยทักทายดีหรือไม่

เพราะแม่ของเขาก่อเรื่องไว้ เขาจึงไม่มีหน้าไปพบหลินม่าย

เมื่อเห็นว่าหลินม่ายไม่มองเขาและเดินจากไป เขาจึงถอนหายใจด้วยความโล่งอก

หลินม่ายยังเดินไปไม่ถึงบ้านคุณปู่ฟางก็เห็นคุณปู่คุณย่าฟางและโต้วโต้วมารับเธอ เธอจึงรีบวิ่งเหยาะๆ เข้าไป

คุณปู่ฟางถาม “ออกไปตั้งนานเพิ่งจะกลับมา หลงทางเหรอ?”

“ฉันไม่ใช่พวกหลงทางนะคะ” หลินม่ายแก้ตัว บอกสาเหตุที่กลับช้าให้เขาฟัง

อีกทั้งยังบอกอีกว่าจะพาฟู่เฉียงและพ่อแม่ของอีกฝ่ายไปรักษาในเมืองด้วย

คุณปู่ฟางสนับสนุนอย่างมาก

เมื่อกลับถึงบ้าน ทั้งครอบครัวฟังวิทยุไปพลาง พูดคุยกันไปพลาง กินถั่วต้มและผลไม้ท้องถิ่นที่ชาวบ้านเอามาให้ ไม่รู้เลยว่าสุขใจขนาดไหน

หวังหรงเองก็มีค่ำคืนที่มีความสุข

หล่อนไม่ได้กินข้าวเย็นที่บ้าน เพราะมีนัดที่ร้านอาหารระดับสูงของรัฐ

กวนหย่งหัวรอหล่อนอยู่

ทันทีที่หวังหรงนั่งลง กวนหย่งหัวก็สั่งอาหารและไวน์แดงมาเต็มโต๊ะ

หวังหรงกินอาหารและดื่มไวน์อย่างมีความสุข คุยกับกวนหย่งหัวอย่างเบิกบานใจ

คุยไปคุยมาก็พบว่ากวนหย่งหัวไม่ได้ขยับอะไรมากนัก

หล่อนจึงถามด้วยความกังวลใจ “พี่กวนคะ ทำไมไม่กินล่ะคะ?”

กวนหย่งหัวเพิ่งจะกินอาหารเย็นกับฟางจั๋วหรานมา จึงไม่ค่อยอยากกินอะไรเป็นธรรมดา

แต่เขาไม่สามารถบอกความจริงกับหวังหรงได้ เขาจึงต้องหาข้อแก้ตัวไปว่า ครั้งนี้เขามีอาการเจ็ทแลกเล็กน้อย จึงไม่ค่อยอยากอาหารนัก

หวังหรงคิดว่าอีกฝ่ายพูดความจริง

หลังจากกินข้าวเสร็จแล้ว กวนหย่งหัวก็ขยิบตาให้หล่อน “ไปที่นั่นกันเถอะ”

หวังหรงเข้าใจความหมายของคำพูดนี้ พยักหน้ารับอย่างเอียงอาย

หลังจัดการวิกฤตได้แล้ว ความคิดที่อยากจะจัดการหลินม่ายกลับมาอีกครั้ง

หล่อนอยากถือโอกาสที่มีความสัมพันธ์กับกวนหย่งหัว ให้เขาจัดการกับโรงงานเสื้อผ้าของหลินม่าย

ทั้งสองคนมาถึงห้องพักของโรงแรมที่กวนหย่งหัวอยู่

ทันทีที่เดินเข้าห้องไป ฉากรักร้อนแรงก็เกิดขึ้น จนกระทั่งทั้งสองหมดแรงนอนหายใจหอบอยู่บนเตียง

หวังหรงซบแผ่นอกกวนหย่งหัว หอบหายใจแล้วพูดว่า “พี่กวนคะ คุณต้องรีบสร้างโรงงานเสื้อผ้านะคะ ฉันกลัวพี่จะช้า ถ้าร้านยูนีคมั่นคงแล้ว การเปิดตัวร้านเสื้อผ้าซีแมนของพี่จะไม่ง่ายเลยนะคะ”

กวนหย่งหัวจูบลงบนใบหน้าเธอ “ครั้งล่าสุดที่ผมมาก็ได้ดูโรงงานไปแล้ว พรุ่งนี้จะไปพบผู้นำที่เกี่ยวข้องในท้องถิ่นและเซ็นสัญญาให้เรียบร้อย คุณไม่ต้องกังวลกับเรื่องพวกนี้หรอก แค่เป็นเจ้าหญิงน้อยที่มีความสุขของผมก็พอ”

หวังหรงตอบรับเสียงหวาน จากนั้นจึงลุกขึ้น

กวนหย่งหัวถามด้วยความอ่อนโยน “คุณอยากดื่มน้ำเหรอ? บอกผมมาก็พอแล้ว”

หวังหรงตอบอย่างเขินอาย “ฉันไม่ได้อยากดื่มน้ำค่ะ ฉันจะไปดื่มยาคุมกำเนิด”

กวนหย่งหัวรีบรั้งเธอไว้ “ไม่ต้องดื่ม!”

เสียงของเขาเคร่งขรึมมาก ทำให้หวังหรงตกใจขึ้นมา ตอบอย่างใจเสีย “ถ้าฉันไม่กินยาคุมกำเนิดแล้วท้องขึ้นมาจะทำยังไงคะ สำหรับคนที่นี่ การท้องก่อนแต่งเป็นเรื่องที่น่าอับอายมาก อีกทั้งยังอาจจะถูกจับหรือตัดสินว่าเป็นอันธพาล ไปจนถึงถูกยิงประหารชีวิตเลยนะคะ”

กวนหย่งหัวกอดหล่อนไว้ในอ้อมแขนแน่น “เรื่องพวกนี้คุณไม่ต้องกังวลนะ ผมจะแต่งงานกับคุณเร็วๆ นี้แหละ”

“จริงเหรอคะ?” หวังหรงทั้งแปลกใจและตื่นเต้น ใบหน้าขึ้นสี ทำให้หล่อนดูนุ่มนวลมากขึ้น

เธอเฝ้ารอวันนี้มาตลอด แต่ไม่คิดว่าจะเร็วขนาดนี้

หล่อนคิดว่าเร็วที่สุดก็คงจะปลายปีที่กวนหย่งหัวจะขอหล่อนแต่งงาน

กวนหย่งหัวจูบบนใบหน้าของหล่อนหลายครั้ง “เรื่องใหญ่แบบนี้ผมจะหลอกคุณได้ยังไงล่ะ”

หวังหรงแสร้งทำเป็นใสซื่อในอ้อมกอดของเขาแล้วถามว่า “เร็วๆ นี้คือเมื่อไหร่คะ”

กวนหย่งหัวอ่อนโยนขึ้นอีก “คุณคิดว่าตอนไหนก็ตอนนั้นแหละ พรุ่งนี้ยังได้เลย”

หวังหรงซบศีรษะกับอ้อมแขนของเขา ครุ่นคิดอยู่พักหนึ่ง “เรื่องนี้…ฉันยังต้องขอปรึกษาพ่อแม่และคุณย่าของฉันก่อนน่ะค่ะ”

“ได้สิ” กวนหย่งหัวลูบผมหล่อนเบาๆ “พรุ่งนี้ผมจะเตรียมของขวัญและสินสอดไปให้ที่บ้านคุณเพื่อขอแต่งงาน แล้วก็ถือโอกาสนี้คุยเรื่องวันแต่งงานกับผู้อาวุโสของบ้าน”

หวังหรงตอบรับเสียงหวาน

………………………………………………………………………………………………………………………….

สารจากผู้แปล

ขอให้ครอบครัวฟู่เฉียงดีขึ้นนะคะ เข้าใจเลยว่าความไม่มีมันลำบากแค่ไหน

ขอแต่งงานหรือขอซื้อตัวเข้าโรงเชือดทำอะไหล่มนุษย์กันแน่?

ไหหม่า(海馬)