ตอนที่ 343 มีข่าวคราวบ้างแล้ว !

หลินเว่ยเว่ยสาวน้อยจอมพลัง

ตอนที่ 343 มีข่าวคราวบ้างแล้ว !

เมืองหลวง ณ เรือนของหยวนจงอี้

บัณฑิตหยวนเอามือไพล่หลัง ดวงตาจับจ้องไปที่ภาพแขวนบนผนัง นี่เป็นลายเส้นที่เขาเคารพที่สุดในชีวิต ขณะเดียวกันก็คิดในใจว่า ท่านอาจารย์หนอท่านอาจารย์ บัดนี้ท่านอยู่ที่ใดขอรับ ?

ตอนที่แดนใต้เกิดสงคราม ศิษย์พี่ศิษย์น้องของเขาซึ่งรับราชการอยู่ในราชสำนักก็ล้วนโดนทรราชแห่งราชวงศ์ก่อนเข่นฆ่า หรือไม่ก็โดนเนรเทศออกไปหมดแล้ว ส่วนคนที่เหมือนกับเขาก็ลาออกจากราชการ ไม่ขอข้องเกี่ยวกับราชสำนักอีก ทุกคนถูกทำร้ายไม่มากก็น้อยจึงไม่มีใครสามารถดูแลอาจารย์ได้ ข่าวคราวของท่านจึงขาดหายไปด้วย

ตอนนั้นชายชราอายุหกสิบกว่าปีต้องเผชิญความโกลาหลของสงครามจึงมีโอกาสตายได้ถึงเก้าในสิบส่วน ตัวเขาและศิษย์พี่ศิษย์น้องคนอื่นที่มีโอกาสรอดชีวิตก็ไม่เคยละทิ้งความหวังในการตามหาอาจารย์ พวกเขาแทบพลิกทั้งแผ่นดินเจียงหนานและเมืองหลวง แต่สุดท้ายก็ยังไม่ได้ข่าวคราวของท่านเลย

คนทั่วหล้าต่างพูดกันว่าท่านอาจารย์ได้สิ้นชีพภายใต้ความโกลาหลนั้นแล้ว ทว่าในใจของเขามักมีเสียงเตือนว่าท่านอาจารย์ยังอยู่ อยู่ในที่ซึ่งไม่รู้จักและรอให้เขาไปรับตัวท่านกลับมา…

“ท่านพ่อ ! ท่านพ่อขอรับ…”

บัณฑิตหยวนขมวดคิ้ว เจี๋ยเอ๋อร์ เจ้าเด็กคนนี้โตแล้วยังเอะอะโวยวายแบบนี้ เมื่อใดจะรู้จักสำรวมบ้าง ?

“เอะอะอันใด ! เหมาะสมหรือไม่ ? ” บัณฑิตหยวนถลึงตาใส่บุตรชายคนเล็กแล้วพูดด้วยน้ำเสียงดุดัน

ตอนนี้ปากของหยวนเจี๋ยแทบจะฉีกถึงใบหูอยู่แล้ว พอได้ยินเสียงของบิดาดุแบบนี้ เขาก็ไม่เก็บอาการแต่อย่างใด ทว่ายังยกภาพในมือขึ้นแล้วพูดด้วยสีหน้าตื่นเต้น “ท่านพ่อขอรับ ท่านทายสิว่าภาพวาดในมือของข้าเป็นฝีมือผู้ใด ? ”

บัณฑิตหยวนขมวดคิ้ว “แม้จะเป็นภาพวาดของปรมาจารย์อู่เต้าจื่อก็ไม่ควรเสียกิริยาเช่นนี้ ไม่ว่าจะโปรดปรานหรือรู้สึกอดสูก็ไม่ควรเสียสติ ต้องหนักแน่นดุจภูเขาไท่ซาน วางตัวเยี่ยงปัญญาชน ! ”

หยวนเจี๋ยรีบส่ายหน้าเหมือนปอล่างกู่ “หากเป็นภาพวาดของปรมาจารย์อู่เต้าจื่อ ข้าคงไม่ตื่นเต้นขนาดนี้หรอกขอรับ ! มะ…มันเป็นของอาจารย์ปู่…ฝีมือของผู้อาวุโสเซวียขอรับ ! ”

“ว่าอย่างไรนะ ? ! ” บัณฑิตหยวนรีบลุกขึ้น เขากระแทกเข้ากับโต๊ะหนังสือจนมันส่งเสียงดังลั่นและสั่นไปพักหนึ่ง พู่กัน แท่งหมึก กระดาษและจานฝนหมึกก็ร่วงลงพื้น…บัณฑิตหยวน ไม่ว่าจะโปรดปรานหรือรู้สึกอดสูก็ไม่ควรเสียสติ ต้องหนักแน่นดุจภูเขาไท่ซานของเจ้าหายไปไหนหมด ?

เขารีบเดินมาหยุดที่ภาพวาดในมือบุตรชายคนเล็กและจ้องอย่างไม่วางตา “เจ้าพูดว่านี่เป็นภาพวาดของท่านอาจารย์หรือ ? เจ้าแน่ใจหรือว่าเป็นของจริง ? จะ…เจ้าคงไม่ได้โดนหลอกมากระมัง ? ”

ท่านอาจารย์เชี่ยวชาญในการวาดภาพและชื่นชอบในภาพวาด แม้ภาพของท่านจะเป็นที่ต้องการของคนทั่วหล้า แต่มันก็มีอยู่น้อยมากและมีเพียงสหายสนิทของท่านอาจารย์ไม่กี่ท่านที่ได้ซ่อนภาพวาดเหล่านั้นไว้

หลังสงครามจบลง บัณฑิตหยวนก็เดินทางลงใต้สองสามรอบ ข่าวที่เขาได้รับคือตอนท่านอาจารย์ออกไปก็เอาของติดตัวไปไม่มาก ภาพวาดที่ท่านภาคภูมิใจ ตำราหายากทั้งหลายและบันทึกครึ่งชีวิตที่ท่านเพียรจดไว้ล้วนนำไปด้วยหมด ถ้าภาพวาดในมือบุตรชายเป็นฝีมือของท่านอาจารย์จริง ๆ ก็แสดงว่าอีกไม่นานเขาจะได้พบกับท่านอาจารย์แล้ว !

เขารับภาพวาดในมือของบุตรชายมาอย่างระมัดระวังพลางหอบจิตใจเปี่ยมศรัทธาเอาไว้ เขาค่อย ๆ คลี่ออก…

“ท่านพ่อ…” ตอนที่หยวนเจี๋ยเงยหน้าขึ้นมา บัณฑิตหยวนก็มีน้ำตาอาบใบหน้าแล้ว

มุมปากของบัณฑิตหยวนสั่นเทา บุรุษวัยห้าสิบปีกำลังร้องไห้เหมือนเด็กน้อยคนหนึ่ง “ปะ…เป็นฝีมือของท่านอาจารย์จริง…จริง ๆ…ฮือ…ท่านอาจารย์…ท่านอาจารย์ขอรับ ! ”

บัณฑิตหยวนเป็นลูกศิษย์ที่อยู่กับผู้อาวุโสเซวียนานที่สุด เนื่องด้วยไม่พอใจในความสามารถของฮ่องเต้ราชวงศ์ก่อนและความวุ่นวายในราชสำนัก เขาจึงออกจากเส้นทางขุนนางแล้วคอยรับใช้อยู่ข้างกายท่านอาจารย์ เมื่อท่านอาจารย์ท่องบทกวี เขาก็เป็นคนจดบันทึก ยามท่านอาจารย์วาดภาพ เขาก็เป็นคนช่วยเตรียมสีชาด…จึงเป็นธรรมดาที่จะจดจำฝีมือของอาจารย์ได้ตั้งแต่แวบแรก…ใช่ท่านจริง ๆ !

“เจี๋ยเอ๋อร์ เจ้าไปเอาภาพนี้มาจากที่ใด ? ” หากว่าค้นหาจนพบที่มาของภาพ ย่อมแปลว่าเขาจะได้พบท่านอาจารย์ในเร็ววันนี้ใช่หรือไม่ ? บัณฑิตหยวนดูเป็นคนใจร้อนขึ้นมาทันที

หยวนเจี๋ยครุ่นคิดสักพัก “คุณชายรองผู้โง่เขลาของตระกูลพ่อค้าหลวงคนนั้นไม่ได้ขึ้นเหนือเพื่อไปขายข้าวราคาถูกมาหรือขอรับ ! เขาเจอมันในร้านขายหนังสือของเขตเล็ก ๆ ที่ห่างไกล ! เจ้านั่นมีตาแต่หามีแววไม่ เขายังคิดว่าเป็นของปลอมอยู่เลย ! และก็มีแต่คนรวยอย่างเขาถึงจะยอมจ่ายเงินหลายพันตำลึงเพื่อภาพวาดภาพเดียวขอรับ ! ”

บัณฑิตหยวนแทบอยากจะเอื้อมมือไปตบบุตรชาย จะพูดให้ยืดยาวทำไม ? เข้าประเด็นไม่ได้เลยหรือ ? เขาถลึงตาใส่บุตรชายอีกรอบแล้วถามต่อ “เจ้าไปเอาภาพนี้มาจากมือของเขาได้อย่างไร ? ”

“ซื้อมาสิขอรับ ! คุณชายรองสกุลลู่กับกลุ่มสหายที่ไม่รู้หนังสือของเขามาชื่นชมภาพวาดและภาพบนใบพัดกันที่หอเต๋อเยว่ พอข้าได้ยินคำว่าผู้อาวุโสเซวียจึงเดินเข้าไปดู ทันใดนั้นข้าก็รู้ทันทีว่านี่เป็นผลงานของผู้อาวุโสเซวีย ! ” หยวนเจี๋ยยักคิ้ว ท่าทางภูมิใจในตัวเองมาก

บัณฑิตหยวนพยักหน้าด้วยความชื่นชม แต่ทันใดนั้นเขาก็คิดอะไรบางอย่างได้จึงขมวดคิ้วพลางถามว่า “แล้วเจ้าไปเอาเงินมากมายขนาดนั้นมาจากไหน ? คงไม่ได้ใช้นามบิดาไปแย่งมาหรอกกระมัง ? ”

“จะทำแบบนั้นได้อย่างไรขอรับ ! ข้าใช้นามของท่านก็จริง แต่ใช่ว่าจะไม่ให้เงินเลย เพียงค้างชำระไว้ก่อนเท่านั้น อย่างไรก็จะเอาเงินหลายพันตำลึงมาทำให้ชื่อเสียงของท่านเสื่อมเสียไม่ได้ ถูกหรือไม่ขอรับ ? ท่านพ่อ ท่านคิดว่าเงินนี้…” หยวนเจี๋ยทำหน้าประจบ เขาใช้เงินหลายพันตำลึงเพื่อสิ่งที่บิดาปรารถนา อย่างไรท่านก็คงไม่ระเบิดใส่ข้าหรอก !

บัณฑิตหยวนตบบ่าบุตรชายและพยักหน้าให้ “อีกประเดี๋ยวไปหาคนทำบัญชีแล้วเอาเงินไปจ่ายเลย ! หืม…” ทันใดนั้นเขาก็หยิบภาพวาดขึ้นมาแล้วหรี่ตามองเพื่อสำรวจมันอย่างละเอียด

หยวนเจี๋ยมีเสียงดัง กึก ขึ้นในใจ จากนั้นก็รีบพูดว่า “ท่านพ่อขอรับ ภาพวาดนี้มีปัญหาตรงไหนหรือ ? ” อย่าบอกว่าเขามองผิดแล้วซื้อของปลอมด้วยเงินหลายพันตำลึงกลับมา เขาเริ่มนึกถึงคำพูดแสนมั่นอกมั่นใจของคุณชายรองสกุลลู่ว่านี่เป็นของลอกเลียนแบบที่สหายใหม่คนหนึ่งทำขึ้น…จะมีคนที่สามารถลอกเลียนแบบทักษะการวาดภาพของผู้อาวุโสเซวียได้จริงหรือ ?

บัณฑิตหยวนเริ่มร้องไห้อีกครา เสียงพูดก็สั่นเครือ “นะ…นี่เป็นฝีมือท่านอาจารย์ ถะ…แถมยังเป็นในช่วงไม่กี่ปีนี้เอง ! ”

“หืม ? ภาพวาดในช่วงไม่กี่ปีมานี้ ? แสดงว่าท่านอาจารย์ปู่ยัง…” หยวนเจี๋ยตื่นเต้นจนหน้าแดง วิเศษไปเลย ! ท่านอาจารย์ปู่ยังมีชีวิตอยู่ การตามหาอาจารย์ปู่ซึ่งเป็นโรคทางใจอันปวดร้าวที่สุดของท่านพ่อก็จะได้หายสักที !

“เจี๋ยเอ๋อร์ เจ้ามาดูสิ หมึกนี้เป็นหมึกชนิดใหม่ ! แล้วก็ยังมีกระดาษแผ่นนี้…พ่อคิดว่าภาพนี้จะต้องมีอายุไม่เกินสองปี ! ” บัณฑิตหยวนดูจะร้องไห้และยิ้มในเวลาเดียวกัน สวรรค์คุ้มครอง ท่านอาจารย์ยังมีสุขภาพแข็งแรงอยู่ ! ท่านอาจารย์ขอรับ โปรดรอศิษย์ก่อน อีกไม่นานศิษย์ก็จะหาท่านพบแล้ว…

แต่แล้วทันใดนั้นเขาก็ทุบโต๊ะและเริ่มร้องไห้อีกครา รอยยิ้มบนใบหน้าของหยวนเจี๋ยจึงแข็งทื่อทันที กะ…เกิดอะไรขึ้นอีก ? หาท่านอาจารย์ปู่พบแล้วไม่ใช่เรื่องดีหรือ ? เหตุใดจึงร้องไห้จนเป็นแบบนี้เล่า ?

“ท่านอาจารย์ ! ศิษย์อกตัญญู ! ปล่อยให้ท่านตกอับจนถึงขั้นที่ต้องวาดภาพเพื่อเลี้ยงชีพ…” ท่านอาจารย์เป็นคนที่เย่อหยิ่งถึงเพียงนั้น คอยรักษาชื่อเสียงของตนตลอดเวลา ต้องตกอับมากเพียงใดถึงได้ใช้ภาพวาดมาแลกเงิน ?

เขตเล็ก ๆ ซึ่งไม่เป็นที่รู้จักของแดนเหนือกับภาพวาดราคาหลายพันตำลึง ไม่รู้ว่าต้องรอกี่เดือนหรือแม้แต่กี่ปีถึงจะมีคนที่ซื้อไหว…ตอนเกิดสงคราม ท่านอาจารย์ก็มีอายุหกสิบกว่าปีแล้ว ผู้พลัดถิ่น ราชวงศ์ล่มสลายและท่านยังต้องปกป้องภาพวาดกับสมบัติเหล่านั้นอีก…ไม่รู้ว่าช่วงหลายปีนี้ท่านอาจารย์จะต้องทนทุกข์มากเพียงใด