ตอนที่ 344 บัณฑิตคนนั้นคงไม่ได้แซ่เจียงหรอกกระมัง ?
เมื่อคิดได้แบบนั้นแล้วบัณฑิตหยวนก็รู้สึกปวดใจขึ้นมาทันที…ไม่ได้การ ! เขาต้องรีบเดินทางขึ้นเหนือ ! เพื่อไปที่เขต…เขตอันใดนะ ? เขาหันไปมองบุตรชายเป็นเชิงถาม
หยวนเจี๋ยตกใจและรีบพูดออกมาว่า “เหมือนจะเป็นอำเภอเป่าชิง…เขตเริ่นอันขอรับ ! ”
เมืองจงโจว อำเภอเป่าชิง เขตเริ่นอัน…เหตุใดชื่อนี้ถึงได้คุ้นหูมากเหลือเกิน ? บัณฑิตหยวนนึกถึงเรื่องนี้เพียงครู่เดียวก็ไม่ได้เก็บมาใส่ใจอีก คิดแค่ว่าต้องขอลางานในระยะยาวเพื่อไปตามหาท่านอาจารย์ !
…
“ว่าอย่างไรนะ ? ใต้เท้าหยวน เจ้าพูดว่าอย่างไร ? เมื่อครู่เจิ้นได้ยินไม่ค่อยถนัด ! ” ฮ่องเต้หยวนชิงเงี่ยพระกรรณเพื่อสดับตรับฟัง ทว่าในดวงเนตรกลับแฝงไปด้วยความอันตรายและตรัสถามออกมาอย่างไม่สบอารมณ์
บรรดาขุนนางในท้องพระโรงก็อดที่จะหดศีรษะไม่ได้…นี่คือพระอาการก่อนที่ฝ่าบาทจะพิโรธ ใต้เท้าหยวนเอ๋ยใต้เท้าหยวน ท่านภาวนาให้ตนเองเสียเถิด
ทว่าในหัวใจของบัณฑิตหยวนกลับเต็มไปด้วยความสุขจากการได้รับข่าวคราวเกี่ยวกับท่านอาจารย์ มุมปากของเขายกยิ้มและทูลด้วยเสียงดังลั่น “กระหม่อมขอลาหยุดเป็นเวลาสองเดือน ขอพระองค์โปรดประทานอนุญาตด้วยพ่ะย่ะค่ะ ! ”
“อนุญาตกับมารดาเจ้าสิ ! ” ฮ่องเต้หยวนชิงบันดาลโทสะจนสบถคำหยาบออกมา “ว่ามา เหตุใดเจ้าถึงต้องลาหยุดเป็นเวลานานกว่าสองเดือนในช่วงเวลาสำคัญเช่นนี้ ? ”
“นะ…นี่เป็นเรื่องส่วนตัวของกระหม่อม…” บัณฑิตหยวนนึกถึงความหวาดระแวงที่อดีตฮ่องเต้มีต่อท่านอาจารย์จึงไม่อยากทูลความจริงออกมา !
ฮ่องเต้หยวนชิงยิ่งบันดาลโทสะ ทรงคว้าพู่กันบนโต๊ะทรงงานแล้วเขวี้ยงใส่หน้าผากของบัณฑิตหยวน “ภัยแล้งในภาคเหนือยังไม่ได้รับการบรรเทา ราษฎรเดือดร้อนไม่รู้จบ กบฏราชวงศ์ก่อนเคลื่อนไหวอย่างลับ ๆ ราวกับหนูในท่อน้ำ สงครามแดนใต้ลุกเป็นไฟ หิมะทางตะวันตกเฉียงเหนือกลายเป็นภัย…ขุนนางในราชสำนักทุกคนแทบจะแยกร่างอยู่แล้ว คนหนึ่งแบกรับภาระมากกว่าสองเรื่อง แต่เจ้ากลับบอกเจิ้นว่าเพียงเพื่อเรื่องส่วนตัวเล็กน้อย เจ้า ! ขอ ! ลา ! ”
หน้าผากของบัณฑิตหยวนปรากฏรอยแดง แม้จะแสดงท่าทางอับอายออกมาแต่ก็ยังยืนกรานคำเดิม “ทูลฝ่าบาท กระหม่อมมีเรื่องที่สำคัญมาก…”
“เรื่องอันใด ? ยังมีเรื่องใดสำคัญกว่าชีวิตของราษฎรอีก ? เรื่องอันใดจะสำคัญไปกว่าความปลอดภัยของบ้านเมือง ? ใต้เท้าหยวนหนอใต้เท้าหยวน เจ้าทำให้เจิ้นผิดหวังเหลือเกิน ! เจ้าทำเพื่อเรื่องส่วนตัวเช่นนี้ รู้สึกละอายต่อความไว้เนื้อเชื่อใจของเจิ้นและคำสั่งสอนของอาจารย์เจ้าบ้างหรือไม่ ! ” ฮ่องเต้หยวนชิงรู้ว่าอีกฝ่ายเคารพผู้อาวุโสเซวียมากที่สุดจึงตรัสคำที่แทงใจดำออกมาทันที !
บัณฑิตหยวนเหมือนคนที่เพิ่งรู้แจ้ง จริงสิ อาจารย์เคยสั่งสอนว่าจงเห็นราษฎรเป็นสำคัญ เห็นบ้านเมืองเป็นรอง…ตอนนี้เป็นเวลาที่ราชสำนักต้องการเขาที่สุด ขุนนางคนอื่น ๆ ก็ยุ่งจนหัวหมุน ฝ่าบาทไม่ได้บรรทมอย่างเต็มอิ่มมานานกว่าครึ่งเดือนแล้ว ส่วนเขายังกล้าทำเพราะเรื่องส่วนตัวแล้วละทิ้งงานในราชสำนัก…เขากำลังทำให้ท่านอาจารย์ต้องอับอาย แม้จะตามหาเจอแล้วท่านอาจารย์ก็จะต้องผิดหวังในตัวเขาอย่างมากแน่นอน
ขณะมองสีหน้าละอายใจของบัณฑิตหยวนแล้ว ฝ่าบาทก็ยังซ้ำเติมด้วยคำพูดแสนเหน็บหนาว “ใต้เท้าหยวน เมื่อครู่เจ้าไม่ได้บอกว่าจะลาหยุดเพื่อเดินทางไปที่เมืองจงโจวอำเภอเป่าชิงหรอกหรือ ? ตัวเจ้าก็ย้ายไปช่วยงานของกรมคลังก่อน รอให้ทำงานนี้เสร็จแล้ว…เจิ้นจะส่งเจ้าไปเป็นผู้ตรวจการประจำการสอบฝู่ซื่อ (การสอบถงเซิงระดับ 2) ที่เมืองจงโจว ! สรุปตามนี้ ! ”
ต่อจากนั้นเสียงของหัวหน้าขันทีก็ดังขึ้น “หากยังมีเรื่องอันใดก็ให้รีบกราบทูล หากไม่มีก็เลิกประชุม…”
เมื่อบัณฑิตหยวนกลับถึงเรือน ฮูหยินหยวนเห็นรอยแดงบนหน้าผากของสามีจึงรีบให้คนไปหยิบยาบรรเทาอาการฟกช้ำมาแล้วนางก็ช่วยทาให้เขา “เหตุใดไปประชุมราชสำนักแล้วจึงเจ็บตัวกลับมาได้ ? ”
บัณฑิตหยวนบ่นพึมพำสองสามประโยค “ไม่เป็นไร แผลเล็กน้อย ! ประเดี๋ยวข้าต้องไปกรมคลัง ยานี้กลิ่นแรงเกินไป ไม่ต้องทาหรอก”
“เหตุใดท่านย้ายไปทำงานที่กรมคลังแล้วเล่า ? ท่านไปรับตำแหน่งอะไรหรือ ? ” ฮูหยินหยวนมีเสียงดัง กึก ในหัวใจ
เมื่อเช้า ก่อนจะเดินทางเข้าท้องพระโรง เขายังบอกให้นางเก็บข้าวของโดยบอกว่าจะทูลขอลาหยุดกับฮ่องเต้เพื่อรีบเดินทางขึ้นเหนือ แต่พอกลับมาก็ไม่เอ่ยถึงเรื่องนี้สักคำ…รอยแดงบนหน้าผาก กอปรกับการถูกส่งไปกรมคลังซึ่งกำลังวุ่นวายที่สุดในเวลานี้อย่างกะทันหัน…เขาคงไม่ได้ไปทำให้ฮ่องเต้พิโรธแล้วถูกลดตำแหน่ง…
“ไม่ได้ไปรับตำแหน่งอะไร แค่ไปช่วยงานกรมคลังระยะหนึ่ง ! ” ทางฝั่งของสำนักบัณฑิตฮั่นหลินสามารถปล่อยไว้ได้สักพัก แต่ทางฝั่งกรมคลังกำลังลุกเป็นไฟ !
“ท่านพ่อ ! เราจะออกเดินทางกันเมื่อใดขอรับ ? ” หยวนเจี๋ยผลักประตูแล้วเดินเข้ามาพร้อมห่อผ้า
ดวงตาของบัณฑิตหยวนมืดมนขึ้นเล็กน้อย เขาถอนหายใจพลางกล่าว “ยังไปไม่ได้…”
ต่อจากนั้นก็เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นในท้องพระโรงให้บุตรชายฟังคร่าว ๆ
หยวนเจี๋ยรู้สึกสงสัยมาก “ท่านพ่อขอรับ ไม่เคยได้ยินมาก่อนว่าการสอบฝู่ซื่อกับเยวี่ยนซื่อ (การสอบถงเซิงระดับ 3) ต้องมีผู้ตรวจการจากทางราชสำนักด้วย…ท้องถิ่นอื่นก็มีเหมือนกันหรือขอรับ ? ”
“บัดนี้ยังห่างจากการสอบฝู่ซื่ออีกหลายเดือน พ่อเองก็ไม่เข้าใจเช่นกัน ทว่าในอดีตการสอบระดับนี้จะมีเจ้าหน้าที่หรือขุนนางในท้องถิ่นเป็นคนดูแล ส่วนผู้ตรวจการ…พ่อก็ยังไม่เคยได้ยินมาก่อน ! ” บัณฑิตหยวนเองก็มืดแปดด้าน
“เหตุใดเรื่องที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน…จึงไปเกิดขึ้นที่เมืองจงโจวขอรับ ? คงไม่ได้ประสงค์จะชดเชยให้ท่านพ่อมีโอกาสเดินทางไปทำธุระส่วนตัวหรอกนะขอรับ” หยวนเจี๋ยหัวเราะอย่างมีความสุข
ไม่มีทางหรอก ! ถ้าเป็นแบบนั้นให้เขาลาหยุดเสียก็สิ้นเรื่อง เหตุใดต้องทำให้วุ่นวายด้วย ? มีเพียงสาเหตุเดียวเท่านั้นคือฮ่องเต้ให้ความสำคัญต่อการสอบฝู่ซื่อและเยวี่ยนซื่อที่เมืองจงโจว…
“คิดออกแล้ว ! เมืองจงโจว อำเภอเป่าชิง เขตเริ่นอัน หมู่บ้านฉือหลี่โกว…” บัณฑิตหยวนนึกได้แล้วว่าเหตุใดสถานที่เหล่านี้ถึงได้มีความคุ้นหูมากเหลือเกิน กังหันน้ำกระดูกมังกร วิธีเขียนบัญชีรูปแบบใหม่ของกรมคลัง แล้วยังมีเครื่องกรองน้ำที่กรมกลาโหมเห็นเป็นขุมทรัพย์ พวกมันไม่ได้เกิดจากความคิดของบัณฑิตคนหนึ่งในเขตเริ่นอันหรอกหรือ ? ในหทัยของฝ่าบาทนั้นสิ่งที่พิเศษไม่ใช่เมืองจงโจว ทว่าเป็นบัณฑิตคนนี้ !
“ท่านพ่อขอรับ เหตุใดท่านจึงรู้จักหมู่บ้านฉือหลี่โกวได้ ? ” หลังครุ่นคิดสักพักหนึ่ง หยวนเจี๋ยก็รู้สึกว่ายังไม่ได้พูดถึงสถานที่แห่งนี้ให้บิดาฟังเลย “ร้านหนังสือที่คุณชายรองสกุลลู่ซื้อภาพวาดของผู้อาวุโสเซวียก็เป็นร้านที่บัณฑิตถงเซิงจากหมู่บ้านฉือหลี่โกวเปิดขึ้นมา คนผู้นี้วาดภาพเก่งมาก คุณชายรองลู่ยังยกพัดให้ข้าอีกหนึ่งเล่ม ลวดลายบนนั้นช่างวิจิตรงดงาม…”
มุมปากของบัณฑิตหยวนกระตุกทันที “บัณฑิตถงเซิงที่เปิดร้านหนังสือคนนั้นคงไม่ได้แซ่เจียงหรอกกระมัง ? ”
หยวนเจี๋ยส่ายหน้า “เรื่องนั้นข้าไม่รู้หรอก ไม่ได้ถามละเอียดขนาดนั้นขอรับ ! ”
บัณฑิตหยวนเอามือไพล่หลังแล้วเดินวนไปมาสองสามรอบ “เจ้าว่า…บัณฑิตเจียงผู้จะเป็นเสาหลักของบ้านเมืองที่ฝ่าบาทตรัสถึงมีโอกาสเป็นศิษย์น้องของพ่อหรือไม่ ? ”
“มะ…ไม่หรอกขอรับ” หยวนเจี๋ยส่ายหน้า เหตุใดจะบังเอิญถึงขั้นนั้น ?
“อายุสิบสามสิบสี่ก็สอบถงเซิงติดแล้ว ถ้าไม่ใช่เพราะปัญหาด้านสุขภาพ เขาก็คงสอบซิ่วไฉได้ตั้งนานแล้วด้วย มีสติปัญญาโดดเด่นถึงเพียงนี้และยังมีอนาคตสดใสยิ่งกว่าอะไร…สำหรับบัณฑิตยากไร้คนหนึ่งแล้วจะไม่ใช่สิ่งที่น่าประหลาดจนเกินไปหรือ ? แต่หากท่านอาจารย์เป็นผู้ชี้แนะให้เขาตั้งแต่เด็ก ย่อมเป็นอีกเรื่อง ! ลูกศิษย์ที่ท่านอาจารย์สั่งสอนล้วนเป็น ‘ผู้ไม่พะวงในกฎเกณฑ์’ เรื่องสอนหลักการใช้ชีวิตให้ศิษย์น้องก็เป็นเรื่องที่สมเหตุสมผลประการหนึ่ง ! ” บัณฑิตหยวนเริ่มรู้สึกว่าบัณฑิตเจียงคนนี้คือศิษย์น้องที่ท่านอาจารย์สอนสั่ง !
หยวนเจี๋ยคิดค้าน ไม่หรอกกระมัง ข้าคงไม่มีอาจารย์อาอายุอ่อนกว่าถึงสี่ห้าปีใช่หรือไม่ ? ทันใดนั้นในสมองก็มีภาพที่ตนกำลังคารวะเด็กตัวเล็กกว่าและเรียกอีกฝ่ายด้วยความเคารพว่า ‘อาจารย์อา’…หยวนเจี๋ยรู้สึกจิตตกทันใด
หยวนเจี๋ยลูบที่กระเป๋าของตนพลางนึกถึงคุกกี้เมล็ดต้นเจินกลิ่นหอมนมกรุบกรอบแสนอร่อยทั้งสองชิ้นที่คุณชายรองสกุลลู่ให้มา ทันใดนั้นหัวใจของเขาก็กลับมาสั่นไหวอีกครา ตามที่คุณชายรองลู่บอกคือผู้ที่มอบขนมแสนอร่อยแบบนี้ให้คุณชายรองเป็นผู้มีพระคุณที่เคยช่วยชีวิตเอาไว้ ในเวลาเดียวกันก็ยังเป็นคู่หมั้นของบัณฑิตที่วาดภาพเก่งผู้นั้นอีกด้วย