บทที่ 412 ทุกอย่างพร้อมสรรพ ขาดเพียงลมบูรพา
หลังจากที่เซี่ยซั่วออกไปแล้ว ก็ให้คนไปสืบข่าวว่าเซี่ยหยางอยู่ที่ใดทันที
ขณะเดียวกันก็เรียกที่ปรึกษาของตัวเองมาหารือว่า ต่อจากนี้ควรทำเช่นไร ตระกูลเดิมของซูเฟยไม่สามารถสู้ตระกูลของเต๋อเฟยและหานกุ้ยเฟยได้ เพราะท่านพ่อของนางเป็นเพียงนายกองเท่านั้น ไม่ได้เป็นตระกูลที่มีอำนาจแต่อย่างใด และหลายปีที่ผ่านมานี้ก็ช่วยเขาได้เพียงเล็กน้อยเท่านั้น
มิเช่นนั้นหลายปีมานี้เขาก็คงไม่ต้องเอาเงินไปซื้อตัวคนที่มีความสามารถมาช่วยงาน และคงไม่ถูกเซี่ยหยางกับเซี่ยเซวียนกดเอาไว้เช่นนี้
แต่ตอนนี้ที่ปรึกษาของเขาคิดว่า เขายังไม่ต้องทำอะไรจะเป็นการดีที่สุด
เพราะก่อนหน้านี้เซี่ยหยางก็มีเรื่องที่ตัวปลอมไปเป็นชู้กับหานกุ้ยเฟย ต่อมาก็มีเรื่องที่ราชครูกับจี้หมิงซูร่วมมือกันหลอกลวงฮ่องเต้ จึงถูกฮ่องเต้เซี่ยเจินมองว่าเป็นหนามยอกอกมานานแล้ว ส่วนเซี่ยเซวียนก็ตั้งตนเป็นฮ่องเต้จึงกลายเป็นกบฏไปแล้ว
ดังนั้นในบรรดาองค์ชายที่โตเป็นผู้ใหญ่ คนที่ตายก็ตายไป ที่ถูกปลดก็ถูกปลดไปหมดแล้ว แม้เขาจะไม่โดดเด่นแต่ก็ไม่ได้ทำความผิดใหญ่โตอะไร จึงเท่ากับว่ามีโอกาสชนะมากที่สุด
ฮ่องเต้เซี่ยเจินก็ไม่มีทางเลือกอื่นอีก ดังนั้นคงทำได้เพียงฝากบ้านเมืองเอาไว้กับเขาแล้ว
ประกอบกับภูมิหลังของครอบครัวซูเฟย จึงไม่ต้องกังวลว่าญาติจะเข้ามาแทรกแซงการเมือง
หากไม่มีเซี่ยฉือ บัลลังก์มังกรนี้เซี่ยซั่วก็มีหวังมากที่สุด
ทว่ากลับมีเขาอยู่นี่สิ มีเซี่ยฉืออยู่ตรงนั้น แม้อายุจะยังน้อยแต่เมื่อพิจารณาจากประวัติศาสตร์อันยาวนานแล้ว ฮ่องเต้ที่อายุยังน้อยแต่ได้ครองบัลลังก์ก็มีอยู่ไม่น้อยจริง ๆ
“พวกท่านพูดมามากมายเพียงนี้ เหตุใดถึงไม่มีใครสักคนที่สามารถคาดเดาได้ว่าเซี่ยหยางกำลังทำอะไรอยู่กันแน่?”
เมื่อเซี่ยซั่วไม่สามารถรู้ถึงความเคลื่อนไหวของเซี่ยหยางได้ เขาจึงรู้สึกว่าเซี่ยหยางกำลังมีแผนสำรองรอเขาอยู่ ในช่วงเวลาวิกฤติเช่นนี้เขากลับทำได้แค่รออยู่เฉย ๆ ความรู้สึกเช่นนี้ผู้ใดจะทนไหวกัน
ทว่าบรรดาที่ปรึกษาก็ไม่สามารถคาดการณ์อะไรได้ เพราะการกระทำของเซี่ยหยางนั้นทำให้คนคาดเดาไม่ถูกจริง ๆ
ในเวลาเช่นนี้ หากเป็นคนปกติก็จะต้องรีบมาดูแลฮ่องเต้เซี่ยเจินกันทั้งนั้น ใครจะมีกะจิตกะใจมานั่งวางแผนทำเรื่องอื่นกัน
…
ตำหนักบูรพา
ตอนที่จี้จือฮวนหาเผยยวนเจอแล้ว เขากำลังยืนอยู่หน้าซากปรักหักพัง แม้ว่าเวลาจะล่วงเลยไปหลายปี แต่ตำหนักที่งดงามทว่าถูกเผาจนไหม้เกรียม ก็ยังคงมีสภาพเฉกเช่นในตอนนั้น
จี้จือฮวนนำเสื้อคลุมที่คล้องแขนมาด้วยคลุมให้กับเขา เผยยวนจึงหันหน้ามาเล็กน้อย พลางกุมมือที่บอบบางของนางเอาไว้ “ข้าไม่หนาว เจ้าสวมให้หนาหน่อยเถอะ”
จี้จือฮวนช่วยสวมเสื้อคลุมให้เขาและผูกเชือกจนเรียบร้อย ก่อนจะเงยหน้าขึ้นแล้วกล่าวว่า “ข้าได้ยินพวกเขาบอกว่าเจ้าอยู่ที่นี่มาหลายชั่วยามแล้วก็เลยมาตามหาเจ้า”
เผยยวนเอ่ยตอบ “ข้าคิดว่าหลายปีมานี้ตำหนักบูรพาคงจะได้รับการปรับปรุงใหม่แล้ว”
แต่คิดไม่ถึงเลยว่าเซี่ยเจินกลับไม่ยอมให้ผู้ใดมาแตะต้องที่นี่ อาจเป็นเพราะเขากลัว หรือไม่ก็คงเป็นเพราะจิตใจไม่สงบ
จี้จือฮวนมองดูยันต์ที่วาดบนพื้น ยังมีเหรียญทองแดงที่แขวนอยู่บนต้นไม้ ใบหน้าก็เผยความเย้ยหยันออกมา “การที่ที่นี่ยังไม่ถูกปรับปรุงใหม่ก็เป็นเพราะบางคนทำเรื่องที่ละอายแก่ใจเอาไว้ก็เท่านั้น ทว่าตั้งแต่เมื่อคืนที่เจ้าคุยกับไท่ซ่างหวงเสร็จและกลับมา ก็มีท่าทางกลัดกลุ้มเช่นนี้ มีเรื่องอะไรในใจหรือไม่?”
“ไท่ซ่างหวงวางแผนจะแต่งตั้งข้าเป็นเนี่ยเจิ้งอ๋อง ให้อาฉือเรียกข้าว่าพ่อต่อไป”
เผยยวนจับมือของนางแล้วเดินไปข้างหน้าอย่างช้า ๆ “ฮวนฮวน หากข้าเป็นเนี่ยเจิ้งอ๋อง ข้าก็ต้องอยู่ในราชสำนักอยู่เคียงข้างอาฉือจนกว่าเขาจะเติบใหญ่ แม้ข้าจะทิ้งเขาไม่ลง แต่ข้าก็อยากกลับไปซีเป่ยมากกว่า อยากยึดแปดเมืองของหลงซีกลับคืนมา และคืนความบริสุทธิ์ให้กับท่านพ่อท่านแม่ของข้า”
เมื่อจี้จือฮวนคิดว่าหากอาฉือขึ้นครองบัลลังก์ตอนนี้ หากไม่ทิ้งเขาไว้ในวังหลวงเพียงลำพัง เช่นนั้นคนทั้งครอบครัวก็ต้องปฏิบัติตามกฎระเบียบ ปฏิบัติกับเขาเฉกเช่นฮ่องเต้กับขุนนาง
สัญชาตญาณของนางก็ปฏิเสธเรื่องนี้ทันที
อาฉือเป็นลูกชายของนาง หรือจะบอกว่าเป็นน้องชายของนางก็ได้ ไม่ว่าจะอยู่ในฐานะใด พวกเขาก็มีความผูกพันที่ตัดกันไม่ขาดมานานแล้ว นางจะยอมให้เขาเผชิญหน้ากับวังหลวงที่เข้มงวดและหนาวเหน็บแห่งนี้เพียงลำพังได้อย่างไร
“ไม่มีวิธีอื่นแล้วอย่างนั้นหรือ อย่างน้อยก็ให้เขาอยู่ข้างกายของพวกเราจนกว่าเขาจะเติบใหญ่ ข้าทิ้งเขาไม่ลง” จี้จือฮวนเอ่ยออกมาตามตรง
หากไท่ซ่างหวงไม่ใช่ผู้อาวุโสในครอบครัว เป็นเพียงชายชราที่ไม่เคยพบหน้า จี้จือฮวนจะต้องสู้กับเขาให้ถึงที่สุดอย่างแน่นอน
“ข้ายังไม่ได้คุยเรื่องนี้กับอาฉือ ไท่ซ่างหวงเองก็ยังไม่ได้พูดเรื่องนี้กับเขา แต่แปดเมืองของหลงซีข้าต้องยึดคืนมาให้ได้ ไม่เพียงทำเพื่อท่านพ่อท่านแม่ แต่เพื่ออาฉือด้วย”
เขาต้องปกป้องลูกชายที่รักของเขา
สิ่งที่จี้จือฮวนกำลังคิดเหมือนกันกับเขา เผยยวนที่นางอยากเห็น ย่อมเป็นแม่ทัพที่องอาจห้าวหาญเหมือนกับที่นิยายบรรยายเอาไว้ ไม่ใช่ถูกกักขังเอาไว้ในราชสำนัก
แต่หากอาฉือมีความทะเยอทะยาน ต้องการทวงสิ่งที่เป็นของตัวเองกลับคืนมา นางเองก็พร้อมจะสนับสนุนโดยไม่มีเงื่อนไข
นางกับเผยยวนควรที่จะเคารพการตัดสินใจของอาฉือ
“นายท่านขอรับ” หลิวเฟิงเดินเข้ามาจากด้านนอก เมื่อคารวะเสร็จก็เอ่ยขึ้น “ตอนนี้ไท่ซ่างหวงอยู่ที่สำนักราชเลขานุการ ท่านผู้ตรวจการก็มากันครบแล้วขอรับ”
จี้จือฮวนกับเผยยวนสบตากันเล็กน้อย “เซี่ยหยางประทับลายนิ้วมือแล้วหรือ?”
เฟิงหลิวเผยสีหน้าดูแคลนออกมา “ถูกขังมานานเพียงนั้น วันนี้ได้เจอคนก็พุ่งเข้ามาราวกับคนบ้าอย่างไรอย่างนั้น แม้แต่ข้าเองก็ยังถูกเขากัดไปหนึ่งทีด้วยขอรับ แต่ก็สามารถทำให้เขาประทับลายนิ้วมือได้แล้วขอรับ
ฉวีลิ่วที่ปลอมเป็นองค์ชายรองตอนนี้ยังไม่มีคนรู้ และเขาก็พบหลักฐานการกระทำผิดเกี่ยวกับคดีของอดีตองค์รัชทายาทในตอนนั้นในห้องหนังสือขององค์ชายรองไม่น้อย ยังมีจดหมายโต้ตอบของเขากับหานเหล่ยด้วย และฉวีลิ่วก็ได้ส่งคนมาถามแล้ว หากถึงเวลาเขาสามารถเข้าวังเพื่อสารภาพความผิดได้ตลอดเวลาขอรับ”
จี้จือฮวนมองตำหนักบูรพาที่ถูกเผาไหม้จนวอด จินตนาการว่าอาฉือได้รับความรักและการเอาใจใส่จากพ่อแม่ที่นี่เช่นไรบ้าง เสิ่นหรงที่อ่อนโยนคงจะทำเสื้อผ้าให้เขาด้วยตัวเอง เฝ้ามองดูเขาตั้งแต่หัดพูดจนเริ่มหัดเดิน ในวัยที่เดิมควรจะไร้ซึ่งความกังวล ทว่าบัดนี้ใบหน้าของเขากลับฉาบไว้ด้วยความโศกเศร้า
นางกับเผยยวนไม่สามารถลบล้างความเจ็บปวดที่เขาเห็นพ่อแม่ตายด้วยตาตัวเองได้
ตอนนี้ก็ควรจะให้คนที่ทำผิดเหล่านั้นได้ลิ้มรสของการที่จะต้องชดใช้แล้ว
“ทุกอย่างพร้อมสรรพ ลมบูรพาของเขาก็ควรจะพัดมาได้แล้ว”
งิ้วโรงใหญ่ร้องมานานเพียงนี้ เมื่อถึงตอนจบก็ควรจัดการเรื่องทั้งหมดให้เรียบร้อย นางจะทำให้นับตั้งแต่นี้ไป จะไม่มีอุปสรรคใด ๆ สามารถมาขัดขวางอาฉือของนางได้อีกแล้ว
…
เซี่ยซั่วกินข้าวที่ตำหนัก จากนั้นก็ให้คนนำคัมภีร์ที่คัดด้วยลายมือม้วนหนึ่งมา ก่อนจะปรับอารมณ์เพื่อไปดูแลคนป่วย พลางครุ่นคิดไปว่า ไม่ว่าเซี่ยหยางจะทำสิ่งใด ไม่ช้าก็เร็วต้องเผยพิรุธออกมาแน่
เขาจึงขึ้นรถม้าไป ตอนที่มาถึงประตูฝูหลินเหมินก็พบว่ามีเจ้าหน้าที่หลายคนกำลังเดินเข้าไปข้างในอย่างรีบร้อน และประตูวังก็ได้ปิดลงแล้ว
เซี่ยซั่วชะงักไปเล็กน้อย “ยังไม่ถึงเวลาลงกลอน เหตุใดถึงปิดประตูวังเร็วเพียงนี้กัน?”
ผู้ดูแลประตูวังเอ่ยตอบ “ทูลองค์ชายห้า นี่เป็นคำสั่งที่เพิ่งลงมา หากพระองค์เข้าไปตอนนี้ เกรงว่าคืนนี้คงไม่สามารถออกมาได้แล้วพ่ะย่ะค่ะ”
เซี่ยซั่วรู้สึกระแวงขึ้นมาตามสัญชาตญาณ แต่หากเขาไม่เข้าไปตอนนี้ เกิดเซี่ยหยางปรากฏตัวขึ้นข้างกายฮ่องเต้เซี่ยเจิน มิเท่ากับความพยายามที่ทุ่มเทไปทั้งหมดของเขาต้องสูญเปล่าหรอกหรือ?
เซี่ยซั่วตัดสินใจได้แทบจะในทันที เขาจะต้องเข้าไป เซี่ยหยางไม่มีทางบีบให้เสด็จพ่อสละราชบัลลังก์ตอนนี้ได้ แขนขาของเขายังใช้การไม่ได้ คิดจะขึ้นเป็นฮ่องเต้อย่างนั้นหรือ มิเท่ากับทำเรื่องน่าขันหรอกหรือ เคยเห็นฮ่องเต้องค์ใดเป็นแค่เศษสวะที่เส้นเอ็นขาดทั้งแขนทั้งขาบ้างเล่า
เซี่ยซั่วคิดถึงตรงนี้ก็เดินเข้าวังไปอย่างไม่หวั่นเกรงใด ๆ เมื่อเดินผ่านประตูวังชั้นที่สอง จึงได้พบว่าเวลานี้เซี่ยหยางก็อยู่ข้าง ๆ ด้วย
แต่คนที่อยู่ข้าง ๆ เซี่ยหยางกลับเป็นผู้ตรวจการ
เซี่ยซั่วจึงรีบเอ่ยเรียกทันที “พี่รอง เสด็จพ่อทรงประชวร เหตุใดป่านนี้ข้าถึงเพิ่งจะได้เห็นหน้าท่านกัน ท่านไปอยู่ที่ใดมาเล่า?”
เซี่ยหยางมองเซี่ยซั่วอย่างไม่แยแส ถูกคนหามอยู่บนเกี้ยวเดินไปข้างหน้า บนตักยังมีกล่องขนาดใหญ่ใบหนึ่งวางเอาไว้อีกด้วย เซี่ยซั่วไม่ยอมแพ้รีบตามทันที “พี่รอง ข้ากำลังพูดกับท่านอยู่นะ”
เซี่ยหยางจึงตอบกลับไป “ข้าจะไปสำนักราชเลขานุการ เสด็จปู่กำลังรอข้าอยู่”
“เสด็จปู่เรียกท่านไปสำนักราชเลขานุการอย่างนั้นหรือ?” เซี่ยซั่วเกิดความกลัวขึ้นในใจ
หรือไท่ซ่างหวงจะพอใจในตัวเซี่ยหยาง!?