ตอนที่ 226 มุมมองด้านหลัง (2)
“คืนนี้วุ่นวายยิ่ง” หลี่ฉางโซ่วเหยียดยืดกล้ามเนื้อขณะ มองดูม้วนภาพวาดในมือแล้วเดินไปที่ห้องโถงด้านหลัง
ศิษย์น้องโหย่วฉินคงได้เห็นฐานพลังปราณที่แท้จริงของหุ่นจำลองกระดาษนักพรตเต๋าของข้าแล้ว
นี่เป็นเรื่องยากเล็กน้อย
หลี่ฉางโซ่วครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งเพื่อคิดหาวิธีหลอกนาง… แค่กๆ คิดว่าจะชี้แจงให้โหย่วฉินเสวียนหย่าได้อย่างไรเพื่อให้นางเก็บความลับนั้นไว้ให้เขาโดยไม่ต้องคาดเดาจนเตลิดเปิดเปิง
ในขณะนั้น หลิงเอ๋อร์ได้ขี่เมฆบินไปถึงรอบนอกของหอโอสถแล้ว ในขณะที่สงหลิงลี่ก็ถือค้อนสายฟ้าที่มีรัศมีแสงสีม่วงและวิ่งไปที่ขอบค่ายกลใหญ่
เห็นได้ชัดว่า ในยามนี้ พวกนางถูกพลังแห่งสวรรค์ทำให้ตื่นตระหนก แต่พวกนางกำลังติดอยู่นอกค่ายกล และไม่อาจเข้าใกล้สถานที่แห่งนี้ได้
หลี่ฉางโซ่วครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งและให้คำชี้แนะบางอย่างแก่หลิงเอ๋อร์ และจากนั้น หลิงเอ๋อร์ก็พยักหน้ายอมรับในทันที
ในขณะนั้น หลิงเอ๋อร์คุ้นเคยกับสงหลิงลี่แล้ว นางบอกสงหลิงลี่ว่าพี่ชายของนางเพียงฝึกบำเพ็ญอยู่เท่านั้น จากนั้นนางก็พาสงหลิงลี่กลับไปที่กระท่อมมุงจากริมทะเลสาบ
หลี่ฉางโซ่วคิดใช้คำบางคำที่เขาสามารถพูดได้และพยายามวิเคราะห์ความคิดของโหย่วฉินเสวียนหย่าอย่างระมัดระวังรอบคอบ
เมื่อทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว หลี่ฉางโซ่วก็ลืมตาขึ้นแล้วมองไปที่โหย่วฉินเสวียนหย่าซึ่งกำลังนั่งสมาธิอยู่ในแสงจันทร์
โหย่วฉินเสวียนหย่าพลันลืมตาขึ้นราวกับสัมผัสได้ถึงสายตาจ้องมองของหลี่ฉางโซ่ว ขนตาของนางโค้งงอน ขณะที่เผยลักยิ้มบางออกมา
สิ่งที่หลี่ฉางโซ่วไม่เข้าใจคือ… ความจริงที่ว่าในขณะนั้น ดวงตาของนางสว่างไสวขึ้นมากกว่ายามที่นางมาถึงมากมายหลายเท่า
“ศิษย์น้องโหย่วฉิน…”
“ศิษย์พี่ฉางโซ่ว ท่านไม่ต้องพูดอะไรมาก ข้าเข้าใจแล้วเจ้าค่ะ!”
หลี่ฉางโซ่วหายใจไม่ออก และเกือบจะล้มลงบนเบาะนั่งสมาธิ
เข้าใจอันใดกัน?
นางรู้อะไร?
“ไม่ ศิษย์น้องโหย่วฉิน เจ้าไม่เข้าใจ…”
“ศิษย์พี่ ข้าเข้าใจแล้วเจ้าค่ะ”
“เจ้าไม่เข้าใจจริงๆ” หลี่ฉางโซ่วรีบพูด “ศิษย์น้องโหย่วฉิน อันที่จริง มีบางสิ่งที่ข้าอยากพูดมาตลอด แต่ก็ไม่อาจพูดออกมาดัง ๆ จากใจได้ ”
โหย่วฉินเสวียนหย่าเม้มริมฝีปากและกล่าวด้วยสีหน้าจริงจังว่า “ศิษย์พี่ฉางโซ่ว ท่านพูดมาเถอะ ข้าจะจดจำทุกสิ่งที่ท่านพูดเอาไว้ในใจ”
หลี่ฉางโซ่วชี้แจงอย่างจริงจังว่า “มีบางสิ่งที่จำเป็นต้องพูดตรงๆ และเราต้องซื่อสัตย์ตรงไปตรงมาต่อกัน เมื่อนั้น เราจะเข้าใจความคิดของกันและกัน จงอย่าคาดเดามากเกินไป เจ้าต้องถามให้มากขึ้น”
เมื่อได้ยินคำพูดของหลี่ฉางโซ่ว โหย่วฉินเสวียนหย่าก็ครุ่นคิดอย่างจริงจัง และพยักหน้าอย่างรวดเร็วอีกครั้ง
“เสวียนหย่าเข้าใจในสิ่งที่ศิษย์พี่พูด และในวันนี้ จะตรงไปตรงมากับศิษย์พี่เจ้าค่ะ”
หลี่ฉางโซ่วพยักหน้าช้าๆ เช่นนั้นย่อมถูกต้องมากกว่า…
เรามาพูดกันตรงๆ เพื่อทำความเข้าใจให้แจ่มแจ้งกันดีกว่า เราอย่าพบกันอีกเลย มันจะทำให้ผู้อื่นเข้าใจเราผิดได้ง่ายเกินไป
ทว่าขณะที่เขากำลังจะกล่าวออกไป โหย่วฉินเสวียนหย่าก็กล่าวขึ้นก่อน
“ศิษย์พี่ หลังจากที่ข้ากลับมา ข้าก็ครุ่นคิดอยู่นานและเฝ้าแต่ถามตัวเองและทำลายภาพลวงตาในใจของข้า บัดนี้หัวใจเต๋าของข้ามั่นคงและรู้ว่าปรารถนาสิ่งใด ในเมื่อท่านอยากให้เราซื่อสัตย์ ตรงไปตรงมาต่อกัน เช่นนั้นแล้ว ศิษย์พี่ เสวียนหย่าขอบอกว่า…”
เป็นไปได้หรือไม่ว่า…
ข้าควรให้นางพูดก่อนที่ข้าจะปฏิเสธนาง หรือควรบอกนางว่าอย่าพูดเลย? หลี่ฉางโซ่วครุ่นคิดอย่างรวดเร็ว และและในไม่ช้า เขาก็ตัดสินใจหาทางออกที่ปลอดภัยได้
ในขณะนั้น โหย่วฉินเสวียนหย่าสูดลมหายใจเข้าลึก และกล่าวออกมาเกือบพร้อมๆ กันกับหลี่ฉางโซ่ว
“ศิษย์พี่ ข้าจะพยายามทุ่มเทอย่างหนักเพื่อฝึกบำเพ็ญให้ทันท่าน!”
ทันใดนั้นเขาก็รีบกล่าวว่า “โปรดให้ข้าปฏิเสธด้วยเถิด ข้ายกย่องเต๋าอันยิ่งใหญ่อย่างสุดใจ และไม่คิดจะมีคู่บำเพ็ญเต๋า … ”
“หือ?”
ทั้งสองต่างมองหน้ากัน ในขณะที่หลี่ฉางโซ่วปากกระตุกและอดจะปิดตาด้วยมือข้างเดียวไม่ได้
ศิษย์น้องตัวอันตราย เจ้ากำลังพูดถึงเรื่องใดกัน และเหตุใดจึงส่งเสียงเช่นนั้น!?!
โหย่วฉินเสวียนหย่ากะพริบตาขณะที่ใบหน้างดงามของนางเปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำทันที นางละสายตาแล้วมองไปที่แสงจันทร์ข้างกายนางอย่างไม่รู้ตัวพลางระบายโทสะด้วยการเม้มริมฝีปากบางของนาง
“ศิษย์พี่ ท่านกำลังคิดถึงเรื่องใดอยู่…”
“นี่เป็นความเข้าใจผิด เข้าใจผิดแล้ว”
หลี่ฉางโซ่วกวาดแขนเสื้อของเขาและเปลี่ยนสีหน้าท่าทีของเขาให้กลับคืนมาเป็นปกติ เขากล่าวอย่างสงบว่า “ศิษย์น้องโหย่วฉิน อย่าคิดมากเลย ข้าเพียงคิดว่าเจ้าจะคุยเรื่องนั้น เอ่อ ข้ามั่นใจมากเกินไป”
“หาใช่เช่นนั้นไม่ ศิษย์พี่ ท่านหาได้เข้าใจผิดไม่เจ้าค่ะ”
โหย่วฉินเสวียนหย่ามองหลี่ฉางโซ่วอีกครั้งและกล่าวว่า “ความจริงแล้ว ข้าชื่นชมท่านไม่น้อย ทว่า… สิ่งที่เห็นในราตรีนี้ทำให้เสวียนหย่าเข้าใจความแตกต่างระหว่างท่านและข้า ศิษย์พี่ พลังเซียนที่ตุ๊กตากระดาษจำลองมนุษย์ของท่านเผยออกมาเมื่อครู่นี้นั้น เลิศล้ำกว่าพลังเซียนของเสวียนหย่าในขณะนี้เป็นร้อยเท่า! แม้จะไม่รู้ถึงระดับพลังปราณของท่าน แต่เสวียนหย่าก็ยืนอยู่ข้างตุ๊กตากระดาษจำลองมนุษย์ในเวลาที่ท่านทำลายไป ความรู้สึกเดียวที่ในใจคือ เสวียนหย่าอ่อนด้อยและทำอะไรไม่ถูก ในขณะนั้น จู่ๆ เสวียนหย่าก็ตระหนักได้ว่าพี่ชายผู้อาวุโสคนนั้น เป็นปรมาจารย์ที่แท้จริง”
หลี่ฉางโซ่วกล่าวว่า “ข้าเองก็กำลังคิดถึงเรื่องนั้นอยู่…”
“ศิษย์พี่ โปรดฟังข้ากล่าวให้จบก่อนได้หรือไม่เจ้าคะ?”
“ได้สิ ข้าขอโทษ ข้าไม่ควรขัดจังหวะเจ้า”
โหย่วฉินเสวียนหย่าเผยรอยยิ้มอ่อนโยนขึ้นขณะกล่าวต่อว่า “ศิษย์พี่ ข้าจะเข้าปิดด่านเป็นเวลาสิบปีเพื่อเสถียรหัวใจเต๋าของข้าให้มั่นคง ช่วงนี้ใจข้าว้าวุ่นนัก ข้าเพิ่งเข้าใจในสิ่งที่ศิษย์พี่และท่านเจ้าสำนักกล่าวถึงไม่มากก็น้อย เมื่อย้อนนึกถึงในคราแรกที่เราพบกันในดินแดนเทวะอุดรจนถึงยามนี้ เสวียนหย่าก็ตระหนักว่าได้รับการดูแลจากท่านมากเกินไป ศิษย์พี่ ท่านไม่อยากให้คนในสำนักรู้เรื่องที่ท่านกำลังปกปิดระดับพลังปราณของท่านอยู่ เช่นนั้น เสวียนหย่าขอให้สัตย์ปฏิญญาต้าเต๋าที่นี่ หากมีผู้อื่นรู้เรื่องนี้ ขอให้ข้าถูกสวรรค์ลงทัณฑ์!”
บัดนั้น ก็มีเสียงฟ้าร้องคำรามดังกึกก้องอยู่นอกเมฆา ปฏิญญานั้นได้รับการยืนยันแล้ว
โหย่วฉินเสวียนหย่าสูดลมหายใจเข้าลึก แล้วลุกขึ้นยืน
หลี่ฉางโซ่วแอบรู้สึกผิดในใจด้วยเหตุผลบางอย่างและลุกยืนขึ้นเช่นกัน “ศิษย์พี่” โหย่วฉินเสวียนหย่ากล่าวว่า “เสวียนหย่าขอถามท่านสักสองคำถามได้หรือไม่เจ้าคะ?”
“ศิษย์น้องหญิง โปรดถามมาเถิด”
โหย่วฉินเสวียนหย่าจึงถามว่า “ในวันนั้น เมื่อสำนักตู้เซียนถูกโจมตี และมีผู้ทรงคุณธรรมสามคนมาช่วยเหลือสำนักตู้เซียนจนรอดพ้นจากอันตราย นั่นคือ ตุ๊กตากระดาษจำลองมนุษย์ของศิษย์พี่ใช่หรือไม่เจ้าคะ?”
หลี่ฉางโซ่วพยักหน้าช้าๆ แล้วตอบรับว่า “ใช่แล้ว”
“ศิษย์พี่โปรดวางใจ ข้าจะเก็บเรื่องนี้เป็นความลับ… นอกจากนี้ หลังจากที่เราใช้ค่ายกลเคลื่อนย้ายเส้นชีพจรปฐพี ในวันนั้น มีเซียนเทียนผู้หนึ่งโจมตี ท่านจงใจทำให้พวกเราหมดสติแล้วต่อสู้กับศัตรูเพียงลำพังหรือเจ้าคะ?”
หลี่ฉางโซ่วพยักหน้าอีกครั้งและกล่าวว่า “ใช่แล้ว”
ทันใดนั้น โหย่วฉินเสวียนหย่าโค้งคำนับให้ทันทีและกล่าวด้วยน้ำเสียงหนักแน่นว่า “ในนามของศิษย์ในรุ่นของข้าทั้งหมดในสำนัก เสวียนหย่าขอขอบคุณศิษย์พี่ที่ช่วยชีวิตพวกเราเอาไว้เจ้าค่ะ!”
หลี่ฉางโซ่วยกมือขึ้นแล้วประคองนางพลางกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “ข้าก็เป็นศิษย์ของสำนักตู้เซียน ทว่าด้วยเหตุผลบางอย่าง ข้าจึงไม่อาจเปิดเผยระดับพลังปราณที่แท้จริงของข้า จึงไม่อาจบอกเจ้าได้ในยามนี้… ”
ข้าเข้าใจเจ้าค่ะ” โหย่วฉินเสวียนหย่ากล่าวเบาๆ พร้อมด้วยดวงตาสุกใสเปี่ยมไปด้วยความสุขขณะที่เผยรอยยิ้มมุมปากเล็กน้อย เส้นผมยาวของนางพลิ้วไหวเบา ๆ นางยืนอยู่ใต้แสงจันทร์ราวกับรูปปั้นหยกเทพธิดาผู้สูงส่งไร้ที่ติ ซึ่งบริสุทธิ์สะอาดปราศจากมลทินใดๆ จากใต้หล้านี้
โหย่วฉินเสวียนหย่าถอนหายใจเบา ๆ และกล่าวกับหลี่ฉางโซ่วว่า “หลังจากข้ามผ่านทัณฑ์สวรรค์ขึ้นสู่เซียน ข้าก็คิดว่าจะรอท่านระหว่างทางข้างหน้าได้ แต่ไม่คิดว่าเป็นศิษย์พี่ที่อยู่บนเส้นทางข้างหน้าจะนำข้าอยู่ก่อนเสมอ ข้าไม่เคยเห็นมุมมองด้านหลังของท่านเลยจริงๆ ศิษย์พี่ จากนี้ไป ท่านจะยังคงเป็นดวงประทีปนำทางของเสวียนหย่า ท่านจะเป็นแบบอย่างให้เสวียนหย่ามุ่งมั่นฝึกบำเพ็ญอย่างหนัก บัดนี้ เสวียนหย่าพูดทุกอย่างที่เก็บไว้ในใจเสร็จสิ้นแล้ว หากศิษย์พี่ไม่มีอะไรจะบอกข้า เช่นนั้น เสวียนหย่าจะขอกลับไปพักผ่อนและฝึกบำเพ็ญต่อไปเจ้าค่ะ ”
หลี่ฉางโซ่วพยักหน้าด้วยรอยยิ้มและกล่าวว่า “หากมีข้อสงสัยใดในการฝึกบำเพ็ญของเจ้า เจ้าก็มาหาข้าได้ ข้าจะพยายามตอบคำถามทั้งหมดเหล่านั้นให้เจ้าอย่างดีที่สุด”
“เจ้าค่ะ” โหย่วฉินเสวียนหย่าพยักหน้าด้วยรอยยิ้มและกล่าวว่า “แต่ข้ายังอยากเห็นด้านหลังของศิษย์พี่ด้วยความสามารถของตัวเองมากกว่า ศิษย์พี่ ข้าขอกลับก่อนเจ้าค่ะ”
บัดนั้น หลี่ฉางโซ่วและโหย่วฉินเสวียนหย่าต่างก็โค้งคำนับให้กันและกัน
หลังจากนั้นโหย่วฉินเสวียนหย่าก็หันหลังกลับแล้วก้าวเบา ๆ ออกจากหอโอสถก่อนจะขี่เมฆจากไป
หลี่ฉางโซ่วเดินเอามือไพล่หลังไปที่ประตูหอโอสถและมองดูด้านหลังของโหย่วฉินเสวียนหย่าที่จากไปชั่วขณะหนึ่ง
“นางฉลาดยิ่งนัก”
เขาไม่จำเป็นต้องหลอกนางด้วยซ้ำ นางก็ให้สัตย์ปฏิญญาต้าเต๋าด้วยตัวนางเองแล้ว
บรรดาศิษย์ของเจ้าสำนักนั้นทรงพลังจริงๆ ทว่า…
“ศิษย์น้องหญิง เจ้ากลับมาก่อนสักครู่ได้หรือไม่? เรามาพูดคุยถึงรายละเอียดบางอย่างเกี่ยวกับปฏิญญาต้าเต๋ากันก่อนเถิด?”
………………………………………………………………………