ตอนที่ 374 มีคนต้องการประชันจำนวนคนกับพวกเรา

ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า

ตอนที่ 374 มีคนต้องการประชันจำนวนคนกับพวกเรา

ขบวนเรือใหญ่โตแห่แหนเข้ามาอย่างคับคั่ง บนหัวเรือลำที่อยู่ด้านหน้าสุดมีคนยืนเรียงแถวหน้ากระดานอยู่ ผู้นำกลุ่มยืนอยู่ในท่าค้ำกระบี่อันเป็นเอกลักษณ์ประจำตัว คนที่สนิทสนมคุ้นเคยกันดีเห็นเพียงแวบเดียวก็ทราบว่าเป็นใคร

ซางเฉาจงหันหลับไป ตะโกนสั่งการ “ตีกลองต้อนรับ!”

กลองใหญ่หลายลูกที่ตั้งเรียงอยู่ถูกตีทันที เสียงกลองดังตึงๆ ก้องอยู่บนท่าเรือ

ขบวนแตรเขาสัตว์ที่เรียงแถวหน้ากระดานอยู่ส่งเสียงขึ้นมาพร้อมกัน เสียงแตรเขาสัตว์ดังหวูดๆ สะท้อนไปมา

ขบวนธงโบกสะบัด บนท่าเรือจัดพิธีต้อนรับการมาถึงของขบวนเรืออย่างยิ่งใหญ่

เมื่อทุกคนเห็นสตรีในชุดงามหรูหราคนหนึ่งเบียดเข้ามายืนอยู่ข้างกายหนิวโหย่วเต้า สายตาทุกคู่ต่างจับจ้องไป

ซางซูชิงที่ขอบตาแดงเรื่ออยู่ก็เฝ้าสังเกตสตรีคนนั้นอยู่เงียบๆ

หนิวโหย่วเต้าที่ยืนอยู่บนหัวเรือเหลียวมองเล็กน้อย เห็นว่าก่วนฟางอี๋ที่ก่อนหน้านี้วิ่งผลุนผลันออกไปจากห้องโดยสารกำลังเบียดตัวเข้ามา เขาสังเกตเห็นว่านางประทินโฉมอย่างประณีตบรรจง เปลี่ยนไปสวมอาภรณ์งามหรูหรา กลับไปแต่งองค์ทรงเครื่องตามแบบฉบับของหงเหนียงแห่งสวนไม้เลื้อยในเมืองหลวงแคว้นฉีอีกครั้ง

“ที่หลบไปตั้งนานก็เพื่อแต่งตัว?” หนิวโหย่วเต้าเอ่ยถาม

“ทำไม? ไม่ได้หรือไง! ข้าก็ต้องรักษาภาพลักษณ์เหมือนกัน จะให้ทำตัวซ่อมซ่อจนคนในถิ่นฐานกันดารของพวกเจ้าดูหมิ่นดูแคลนตั้งแต่ครั้งแรกที่มาถึงได้อย่างไร?” ก่วนฟางอี๋เบะปาก กวาดตามองบนชายหาดคราหนึ่ง พบว่ามีทหารคอยคุ้มกันอยู่เป็นบริเวณกว้าง พวกคนจรหมอนหมิ่นไม่มีทางจะเข้าใกล้ท่าเรือได้โดยไม่มีใครสังเกตเห็น อดไม่ได้ที่จะร้องหวาออกมา “จัดขบวนยิ่งใหญ่เหลือเกิน! มารอต้อนรับพวกเราอย่างนั้นหรือ?”

หนิวโหย่วเต้าตอบอืมคำเดียว

เมื่อเข้าใกล้ชายฝั่งเรือก็ชะลอตัวลง ก่วนฟางอี๋สังเกตเห็นว่ามีสตรีบนชายหาดคนหนึ่งจ้องมองตนอยู่ ด้วยรูปโฉมของซางซูชิง ถึงไม่อยากเป็นจุดสนใจก็คงยากแล้ว นางกระซิบถามประโยคหนึ่ง “สตรีที่มีปานอยู่บนหน้าคนนั้นก็คือธิดาอัปลักษณ์ของหนิงอ๋องซางเจี้ยนปั๋วที่คนร่ำลือกันกระมัง?”

หนิวโหย่วเต้าได้แต่ยิ้มเจื่อนอยู่ในใจ ชื่อเสียงเรื่องความอัปลักษณ์ของซางซูชิงโด่งดังเสียจริง เขาตอบอืมอีกครั้งพลางโบกมือต้อบรับทุกคนที่ประสานมือคำนับมาจากบนฝั่ง

ก่วนฟางอี๋อดไม่ได้ที่จะร้องจุ๊ๆ ออกมา ต้องมีจิตใจเข้มแข็งมากแค่ไหนกัน ถึงออกมาเผยโฉมในที่สาธารณะด้วยรูปโฉมเช่นนี้ได้ นางเองก็นับถือในความกล้าหาญของซางซูชิงเช่นกัน

เมื่อเห็นว่าบนฝั่งมีคนมองอยู่มากมายปานนี้ ก่วนฟางอี๋ก็ค่อยๆ เผยมาดออกมา

คนกลุ่มหนึ่งวิ่งออกมาจากชายฝั่ง ส่งสัญญาณมือให้เรือที่เข้ามาเทียบท่า ชี้จุดเทียบท่าให้

เชือกถูกโยนลงมาจากเรือ คนที่อยู่บนฝั่งรับไว้ ค่อยๆ สาวดึงเรือเข้ามาเทียบฝั่ง ผูกเชือกเอาไว้เพื่อยึดเรือให้มั่นคง

เมื่อทอดไม้กระดานเทียบท่า พวกหนิวโหย่วเต้าก็เหยียบไม้กระดานเดินลงมาจากเรือ

“เต้าเหยี่ย ลำบากท่านแล้ว!” ซางเฉาจงเดินเข้ามาเป็นคนแรก ประสานมือเอ่ยต้อนรับ แสดงสีหน้าซาบซึ้งตื้นตัน

หนิวโหย่วเต้าประสานมือคำนับกลับ “ท้ายที่สุดก็ไม่ได้ทำให้ท่านอ๋องต้องผิดหวังพ่ะย่ะค่ะ ขนส่งม้าศึกจากแคว้นฉีกลับมาถึงอย่างราบรื่น”

ซางเฉาจงพยักหน้ารัวๆ “ดีๆๆ!”

“เต้าเหยี่ย ลำบากท่านแล้ว” หลานรั่วถิงและเหมิงซานหมิงที่ถูกเข็นเข้ามาต่างก็พากันเอ่ยทักทายต้อนรับ

“เป็นเรื่องสมควรแล้ว” หนิวโหย่วเต้าตอบรับอย่างสุภาพ

“เต้าเหยี่ย!” เซี่ยฮวาเดินเข้ามา เรียกขานอย่างหยอกเย้าแล้วเม้มปากยิ้ม มีความสุขอย่างยิ่ง

เฟ่ยฉางหลิวและเจิ้งจิ่วเซียวก็เดินเข้ามาทักทายด้วยรอยยิ้มเช่นกัน

ซางซูชิงที่อยู่ด้านข้างตั้งตารอคอยจะให้ถึงตาที่นางได้สนทนากับหนิวโหย่วเต้าบ้าง

ผู้ใดจะทราบว่าพอหนิวโหย่วเต้าสนทนาตามมารยาทกับคนทั้งหลายที่อยู่เบื้องหน้าแล้ว สายตาก็หันเหไปจ้องมองกลุ่มคนจากสำนักหยกสวรรค์ทันที จ้องมองเผิงโย่วไจ้ที่ยิ้มน้อยๆ มองมาที่ตนอยู่

หนิวโหย่วเต้าผายมือส่งสัญญาณให้พวกพวกเฟ่ยฉางหลิวหลบทาง เดินเอื่อยๆ เข้าไปหากลุ่มคนจากสำนักหยกสวรรค์ ซางซูชิงที่กำลังจะอ้าปากทักทายแต่ถูกมองข้ามไปกัดริมฝีปากเล็กน้อย

หนิวโหย่วเต้าและเผิงโย่วไจ้ยืนประจันหน้ากัน สายตาสองคู่ประสานกัน

“น้องหนิว ลำบากเจ้าแล้ว” เผิงโย่วไจ้ยิ้มน้อยๆ พลางประสานมือพลางเอ่ยว่าจา

หนิวโหย่วเต้าเอ่ยอย่างนิ่งเฉยว่า “ลำบากน่ะไม่เท่าไร กลัวก็แต่จะมีคนคอยสร้างเรื่องให้กังวล!”

เผิงโย่วไจ้ร้องโอ้ แววตาวูบไหวเล็กน้อย แสร้งถามทั้งที่รู้ “ไยจึงพูดเช่นนี้เล่า?”

หนิวโหย่วเต้ากล่าวว่า “ข้าได้ยินว่าสำนักหยกสวรรค์กำลังจะเล่นงานข้า ซ้ำยังจับตัวคนของข้าไปด้วย ขอถามว่าหน่อยว่าเป็นเพราะเหตุใด?”

พอเขาเอ่ยออกมาเช่นนี้ บรรายากาศน่ายินดีในตอนนี้พลันดิ่งลงทันที ไม่นึกเลยว่าหนิวโหย่วเต้าจะสร้างความลำบากให้เผิงโย่วไจ้ในที่สาธารณะ ทำเช่นนี้เท่ากับไม่ไว้หน้าเผิงโย่วไจ้เลยแม้แต่น้อย

สีหน้าของเหล่าศิษย์ระดับสูงของสำนักหยกสวรรค์ที่ออกันอยู่ด้านหลังเผิงโย่วไจ้ต่างมืดมนลง

ก่วนฟางอี๋ที่ยืนอยู่ด้านข้างหนิวโหย่วเต้าโบกพัดอย่างไม่อนาทรร้อนใจ ลุงเฉิน สวี่เหล่าลิ่วรวมถึงสมาชิกสวนไม้เลื้อยหลายสิบคนที่เข้ามาต้อนรับก็เข้าไปยืนอยู่ด้านหลังก่วนฟางอี๋ทันที

มีคนของสำนักหยกสวรรค์โบกมือส่งสัญญาณ ศิษย์สำนักหยกสวรรค์นับร้อยที่อยู่รอบๆ ต่างทะยานเข้ามาทันทีเข้ามาเผชิญหน้ากัน กดดันทางด้านนี้

ซางเฉาจงต้องการเข้าไปคลี่คลายสถานการณ์ ทว่าเหมิงซานหมิงยื่นมือออกไปขวางไว้ ส่ายหน้าให้เล็กน้อย

“กงซุน มีคนต้องการประชันจำนวนคนกับพวกเรา!” หนิวโหย่วเต้าหันไปเอ่ยเล็กน้อย

กงซุนปู้โบกมือส่งสัญญาณคราหนึ่ง มีเสียงผิวปากยาวๆ แว่วมาจากบนเรือด้านหลัง ลู่หลีจวินปรากฏตัวขึ้น

เงาร่างมากมายทะยานออกมาจากเรือใหญ่หลายร้อยลำบนท้องทะเล จำนวนคนที่เข้ามารวมตัวกันมีอย่างน้อยหลักพันขึ้นไป

ม่านตาของศิษย์สำนักหยกสวรรค์หดตัววูบ มองเห็นผ่านเนตรทิพย์ว่ามีปราณหยินดำทะมึนอยู่บนร่างคนเหล่านี้ ตระหนักได้ในทันทีว่าทุกคนคือผู้บำเพ็ญเพียรผี ชั่วขณะนั้นไม่รู้เลยว่าหนิวโหย่วเต้าไปหาผู้บำเพ็ญเพียรผีมาจากไหนมากมายขนาดนี้!

หนิวโหย่วเต้าหันไปเอ่ยอีกครั้ง “เจ้าสำนักเฟ่ย เจ้าสำนักเจิ้ง เจ้าสำนักเซี่ย พวกท่านสามสำนักมีความเห็นอย่างไร ทุกคนจะร่วมฝ่าฟันไปด้วยกัน หรือจะแยกย้ายกันไป”

เจ้าสำนักทั้งสามสบตากันเล็กน้อย ล้วนทราบดีว่าอีกฝ่ายกำลังต้องการให้พวกเขาสามสำนักแสดงจุดยืน ต่างทยอยโบกมือถ่ายทอดคำสั่งลงไป

ชั่วพริบตานั้น เหล่าศิษย์นับพันจากสามสำนักทะยานเข้ามา ตรงเข้าปิดล้อมสมาชิกสำนักหยกสวรรค์หลายร้อยคนนั้นไว้

ซางเฉาจงและหลานรั่วถิงสื่อสารกันผ่านสายตา ล้วนตระหนักได้ว่าหากเทียบกันดูแล้ว อำนาจของทั้งสองฝ่ายไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปเลย ก่อนหน้านี้สามสำนักยังคงอดทนไม่มีปากมีเสียงกับสำนักหยกสวรรค์อยู่เลย แต่ยามนี้ทันทีที่หนิวโหย่วเต้ากลับมา ท่าทีก็เปลี่ยนไปทันที ด้วยการกดดันจากหนิวโหย่วเต้า ทำให้สามสำนักจำเป็นต้องเผชิญหน้ากับสำนักหยกสวรรค์

เหมิงซานหมิงที่นั่งอยู่บนรถเข็นก้มหน้าจัดแจงแขนเสื้อไปช้าๆ วางตัวเป็นผู้ชมไม่เข้าไปเกี่ยวข้องกับเรื่องราว

ทั่วทั้งท่าเรือตกอยู่ในบรรยากาศตึงเครียดน่าอึดอัด

แม้จะเผชิญหน้ากับการปิดล้อม แต่เผิงโย่วไจ้ยังคงสุขุมไม่สะทกสะท้าน กวาดตามองกลุ่มคนด้วยสายตาเย็นชา เอ่ยอย่างดูแคลน “ก็แค่พวกนกกาฝูงหนึ่ง!”

ก่วนฟางอี๋อุทานออกมา “นี่ใครกันล่ะเนี่ย ข้าเพิ่งมาเยือนเป็นครั้งแรกก็เปิดปากด่ากันเลยหรือ?”

สายตาของเผิงโย่วไจ้กวาดมองใบหน้าของนาง ยิ้มน้อยๆ พลางกล่าวไปว่า “หงเหนียงแห่งเมืองหลวงแคว้นฉี ได้ยินชื่อเสียงมานานแล้ว! ข้าคือเผิงโย่วไจ้แห่งสำนักหยกสวรรค์”

“ที่แท้ก็เป็นเผิงโย่วไจ้แห่งสำนักหยกสวรรค์ ได้ยินชื่อเสียงมานานแล้ว ข้าคิดว่าข้าก็ไม่ได้ล่วงเกินเจ้าไปตรงไหนเลย เหตุใดพอพบหน้ากันก็ด่าข้าเสียแล้วล่ะ?” ไม่ทราบเช่นกันว่าก่วนฟางอี๋ล้วงยันต์สีดำใบหนึ่งออกมาถือตั้งแต่เมื่อไร คีบไว้ระหว่างนิ้วคล้ายจะใช้ต่างพัด โบกพัดใบหน้าตนไปมา

แม้นางจะดูเยือกเย็น แต่กลับสบถด่าอยู่ในใจ เพิ่งมาถึงก็มีเรื่องทันที หนิวโหย่วเต้าเจ้าคนสารเลว!

เผิงโย่วไจ้จ้องมองยันต์ใบนั้นด้วยสายตาเคร่งเครียด

ยันต์กระบี่สวรรค์! เหล่าศิษย์ของสำนักหยกสวรรค์มีสีหน้าตึงเครียดขึ้นมา ล้วนเข้าสู่สภาวะเฝ้าระวังเต็มรูปแบบ

หนิวโหย่วเต้าก็ตระหนักได้เช่นกันว่าปฏิกิริยาของอีกฝ่ายผิดปกติไป เขาเหลือบมองยันต์ในมือก่วนฟางอี๋

ต่อมาสายตาของเผิงโย่วไจ้ก็กลับมาอยู่ที่ใบหน้าของหนิวโหย่วเต้าอีกครั้ง เอ่ยอย่างชัดถ้อยชัดคำว่า “ถ้าไม่อยากตายก็อย่าก่อเรื่องจะดีกว่า ยังไม่ถึงคราวที่เจ้าจะมาวางอำนาจที่นี่ได้!”

หนิวโหย่วเต้ากล่าวว่า “ใครกันแน่ที่หาเรื่อง ทุกคนต่างรู้อยู่แก่ใจดี! ข้าไม่ได้อยากมีเรื่อง แต่ลูกน้องพวกพ้องของข้าถูกคนจับตัวไปอย่างไร้เหตุผล ทุกเรื่องราวล้วนแต่ต้องมีเหตุผล หากข้าจะขอคำอธิบายก็คงไม่เกินไปกระมัง? เจ้าสำนักเผิง ท่านจะให้ข้าทนมองลูกน้องตนสิ้นชีพไปโดยไม่ปริปากพูดได้หรือ? หากทำเช่นนี้จริงๆ ล่ะก็ ลูกน้องข้าคงจะเอาใจออกห่างกันไปหมดแล้ว ดังนั้นคนของข้าหาใช่คนที่ผู้ใดนึกจะจับก็จับไปได้!”

เฟิงเอินไท่รีบมุดออกมาอย่างรวดเร็ว เอ่ยประนีประนอม “น้องสาม ตายเตยอันใดกัน เจ้าเข้าใจผิดแล้ว ไม่มีเรื่องใดทั้งนั้น”

“ถอยไป!” เผิงโย่ไจ้ตวาดใส่

ความพยายามไร้ความหมาย เฟิงเอินไท่มีสีหน้ากระอักกระอ่วน ทำได้เพียงค่อยๆ ถอยกลับไป

เผิงโย่วไจ้กล่าวว่า “หนิวโหย่วเต้า ข้าให้คำอธิบายเจ้าได้ แต่เรื่องในวันนี้ เจ้าก็ต้องมอบคำอธิบายมาเหมือนกัน มิเช่นนั้นก็คงจะคุยหลักเหตุผลอันใดกันต่อไปไม่ได้ ที่นี่คืออาณาเขตของสำนักหยกสวรรค์ ไม่มีทางปล่อยให้คนนอกมาวางตัวกำเริบเสิบสานได้!”

วาจานี้ของเขามิใช่การขู่ขวัญเท่านั้น วันนี้อยู่ในอาณาเขตของตนแท้ๆ แต่สมาชิกระดับสูงของสำนักหยกสวรรค์กลับถูกคนปิดล้อมไว้ หากไม่ได้รับคำอธิบายแล้วพวกเขาจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหนเล่า?

หากอีกฝ่ายไม่ยอมมอบคำอธิบายให้ บางทีอาจจะยอมปล่อยเรื่องที่อยู่ตรงหน้าไปได้ แต่หลังจากกลับไปต้องระดมกำลังของสำนักหยกสวรรค์มาคิดบัญชีกับคนเหล่านี้อย่างแน่นอน

หนิวโหย่วเต้ากล่าวว่า “ทุกเรื่องราวบนโลกล้วนต้องมีเหตุผล มีแบ่งแยกลำดับก่อนหลัง ขอเพียงเจ้าสำนักเผิงสามารถมอบคำอธิบายให้ข้าได้ หลังจากนั้นข้าก็จะมอบคำอธิบายที่เจ้าสำนักเผิงพึงพอใจให้เช่นกัน”

เผิงโย่วไจ้เอ่ยเนิบๆ ว่า “ล้วนเป็นคนกันเองทั้งนั้น ศิษย์น้องเฟิงพูดถูกแล้ว ไม่มีเรื่องตายไม่ตายอันใดทั้งสิ้น เจ้าเข้าใจผิดแล้ว ที่ควบคุมตัวคนของเจ้าเอาไว้ก่อนก็เพราะเจ้าชักช้าไม่กลับมาเสียที ทั้งยังไม่มีการส่งข่าวใดๆ มาเลย ข้ากังวลว่าจะเกิดเหตุเปลี่ยนแปลงในจังหวัดชิงซาน กังวลว่าคนบางคนจะเกิดความคิดไม่ซื่อขึ้นแล้วคนของเจ้าจะตกอยู่ในสถานการณ์อันตราย หากข้าไม่เข้าควบคุมตัวไว้ก่อนเกรงว่าคงถูกคนอื่นลักพาตัวไป พูดให้ถูกแล้วข้ากำลังปกป้องพวกเขาอยู่ด้วยซ้ำ ดูแลพวกเขาดีมาก รับรองด้วยอาหารการกินเป็นอย่างดี ไม่ได้แตะต้องพวกเขาแม้แต่ปลายนิ้ว ในเมื่อเจ้ากลับมาแล้วย่อมต้องส่งพวกเขาคืนให้ รับประกันได้ว่าพวกเขาไม่บุบสลายไปแม้แต่น้อย!”

นี่ก็คือคำอธิบายของเขา แต่พอแว่วเข้าหูทางสำนักทั้งสามแล้ว กลับทำให้รู้สึกสะอิดสะเอียนอย่างบอกไม่ถูก กล่าวเช่นนี้เท่ากับบอกว่ากลัวพวกเขาสามสำนักจะคิดไม่ซื่อชัดๆ

หนิวโหย่วเต้าพยักหน้ารับ “ในเมื่อเจ้าสำนักเผิงกล่าวเช่นนี้ออกมาต่อหน้าทุกคนได้ ข้าก็เชื่อเจ้าสำนักเผิงไม่ผิดคำพูดแน่ ข้าก็รับประกันได้เช่นกันว่าขอเพียงคนของข้ากลับมาอย่างปลอดภัย ข้าจะมอบคำอธิบายที่เจ้าสำนักเผิงพอใจให้แน่นอน”

“มามุงอยู่ที่นี่กันทำไม? แยกย้ายไปให้หมด” เผิงโย่วไจ้ตวาดขึ้นมา สองมือยกไพล่หลัง ก้าวเดินไปด้านหน้า เดินผ่านหนิวโหย่วเต้าไป เดินตรงเข้าหาคนที่ปิดล้อมอยู่

หนิวโหย่วเต้าไม่พูดอะไร จึงไม่มีใครกล้าทำอะไรเขา ล้วนหลบทางให้เขาอย่างไม่อาจเลี่ยงได้

หนิวโหย่วเต้าโบกมือให้สัญญาณเล็กน้อย สื่อให้คนทางฝั่งตนถอยออกไป

“หนิวโหย่วเต้า” เผิงโย่วไจ้ที่ยืนยกมือไพล่หลังอยู่ริมหาดเอ่ยเรียก

หนิวโหย่วเต้าเดินเข้าไปหา เอ่ยว่า “เจ้าสำนักเผิงมีเรื่องใดจะชี้แนะหรือ?”

เผิงโย่วไจ้พยักเพยิดหน้าไปทางเรือใหญ่ที่มารวมตัวกันอยู่แน่นขนัด “มีม้าศึกเท่าไร?”

หนิวโหย่วเต้าตอบว่า “สามหมื่นตัว…”

“สามหมื่นตัว!” ซางเฉาจงอุทานแทรกขึ้นมา รีบเดินเข้ามาหา “เต้าเหยี่ย ท่านบอกว่าท่านหาม้าศึกมาได้สามหมื่นตัวหรือ?”

อย่าว่าแต่เขาเลย เผิงโย่วไจ้ก็เหลียวมองทันทีเช่นกัน เอ่ยด้วยความตกใจไม่น้อย “สามหมื่นตัว?”

เหมิงซานหมิงและหลานรั่วถิงก็ตกตะลึงเช่นกัน ก่อนหน้านี้ก็ยังแปลกใจอยู่ว่าเหตุใดถึงมีเรือมากมายขนาดนี้ ที่แท้คนผู้นี้บรรทุกม้าศึกกลับมาทีเดียวสามหมื่นตัว คนผู้นี้จะบ้าระห่ำเกินไปแล้ว!

ทุกคนที่ได้ยินต่างตกตะลึงไปถ้วนหน้า รู้สึกยากจะจินตนาการได้

หนิวโหย่วเต้าเอ่ยว่า “ในเมื่อต้องเดินทางไกลเป็นหมื่นลี้ หากขนมาได้เยอะหน่อยก็ย่อมต้องขนมา ต่อไปจะได้ไม่ต้องวุ่นวายไปนั่งขนมาอีก น่าเสียดายที่ระหว่างทางเผชิญพายุ ลมแรงคลื่นสูงเรือพลิกคว่ำไปกว่าสิบลำ สูญเสียม้าไปพันกว่าตัว ประกอบกับม้าบางส่วนทนรับความโคลงเคลงยามที่อยู่ในทะเลไม่ไหว ป่วยตายไปอีกหลายสิบตัว แต่ยังดีที่ม้าแม่พันธุ์จำนวนหนึ่งพันตัวล้วนอยู่ครบสมบูรณ์ ได้รับการดูแลเป็นอย่างดี ตอนนี้บนเรือเหลือม้าอยู่สองหมื่นแปดพันกว่าตัว”

……………………………………………………….