ตอนที่ 375 ห้าล้านไม่มากเกินไปหน่อยหรือ

ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า

ตอนที่ 375 ห้าล้านไม่มากเกินไปหน่อยหรือ?

เมื่อเทียบกับจำนวนสามหมื่นตัวแล้ว เสียม้าไปหลักพันตัวไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรเลย ยิ่งไปกว่านั้นยังเป็นเหตุจากภัยธรรมชาติด้วย ไม่อาจกลัวโทษใครเพราะความแปรปรวนในท้องทะเลได้

สิ่งที่ทำให้ซางเฉาจงตื่นเต้นจริงๆ คือเรื่องอื่น เขาอดไม่ได้ที่จะคว้าแขนหนิวโหย่วเต้าพลางเอ่ยถาม “เต้าเหยี่ย ท่านบอกว่าในบรรดานั้นมีม้าแม่พันธุ์จำนวนพันตัวอย่างนั้นหรือ?”

หนิวโหย่วเต้าพยักหน้ารับ “ไม่มีทางพูดปดต่อหน้าท่านอ๋องพ่ะย่ะค่ะ”

“ยอดเยี่ยม!” ซางเฉาจงไม่มีใจจะคุยเรื่องอื่นแล้ว หันกลับไปสั่งให้คนรีบลำเลียงม้าศึกลงจากเรือทันที เขาอดใจรอชมแทบไม่ไหวแล้ว

คนอื่นๆ ก็ตั้งตารอยลโฉมม้าศึกเหล่านี้เช่นเดียวกัน

เผิงโย่วไจ้อดไม่ได้ที่จะเหลือบมองหนิวโหย่วเต้าอีกหลายครั้ง ทางนี้ต้องการม้าศึกหนึ่งหมื่นตัว แต่คนผู้นี้กลับจัดหามาได้สามหมื่นตัว แม้แต่ม้าแม่พันธุ์ที่พื้นที่เลี้ยงสัตว์ในแคว้นฉีไม่กล้าปล่อยขายก็ยังเอามาได้ ความสามารถนี้ช่างยอดเยี่ยมจนไม่อาจบรรยายได้จริงๆ

ไม่ว่าจะสำหรับสองจังหวัดหรือสำหรับสำนักหยกสวรรค์ นี่คือเรื่องดีอย่างเห็นได้ชัด แต่เผิงโย่วไจ้กลับรู้สึกว่าสำนักหยกสวรรค์เสียหน้า ความรู้สึกเหมือนถูกตบหน้าเข้าอย่างจัง สำนักหยกสวรรค์ลำบากลำบนอยู่กว่าหนึ่งปีไม่ได้อะไรกลับมาเลยแม้แต่นิดเดียว แล้วต่อไปนี้คนในเขตสองจังหวัดไม่ว่าเบื้องบนหรือเบื้องล่างจะมองสำนักหยกสวรรค์อย่างไร?

“หนิวโหย่วเต้า สนใจมาเข้าสำนักหยกสวรรค์ของข้าหรือไม่?” จู่ๆ เผิงโย่วไจ้ก็เอ่ยถามเสียงเรียบ

“หือ?” หนิวโหย่วเต้ามึนงงเล็กน้อย ไม่เข้าใจว่าอีกฝ่ายหมายความว่าอย่างไร

เผิงโย่วไจ้เอ่ยว่า “หากกลายเป็นคนสำนักหยกสวรรค์เราแล้ว เรื่องราวเมื่อครู่นี้จะถูกมองข้ามไป ข้าจะถือว่าไม่เคยมีเรื่องใดเกิดขึ้นทั้งนั้น”

หนิวโหย่วเต้าถาม “ไม่ดีกระมัง?”

เผิงโย่วไจ้กล่าวไปว่า “เรื่องส่วนแบ่งกำไรจากการขายสุราเจ้าไม่จำเป็นต้องกังวล ส่วนที่สมควรแบ่งให้เจ้าก็จะยังคงแบ่งให้เจ้า เจ้ากับศิษย์น้องข้าเป็นพี่น้องร่วมสาบานกัน เรื่องลำดับอาวุโสจัดการไม่ยาก สำนักหยกสวรรค์จะมอบสิทธิพิเศษให้เจ้าอย่างเหมาะสมแน่นอน ไม่มีทางผูกมัดเจ้าเกินไป”

หนิวโหย่วเต้าเข้าใจแล้ว ผลประโยชน์ที่เสนอให้ฟังแล้วเย้ายวนใจเป็นอย่างมาก แต่บนโลกนี้ไหนเลยจะมีเรื่องดีที่ได้มาโดยไม่เสียอะไรไป เขาไม่มีรากฐานใดๆ ในสำนักหยกสวรรค์เลยจึงหัวเราะเฮอะๆ เอ่ยไปว่า “ถึงข้าอยากไปก็เกรงว่าสำนักหยกสวรรค์คงไม่กล้ารับข้าไว้”

เผิงโย่วไจ้กล่าวว่า “เหตุใดจะไม่กล้าเล่า ขอเพียงเจ้ากล้ามา ข้าก็กล้ารับไว้”

หนิวโหย่วเต้าเอ่ยว่า “ข้ามีเรื่องกับหอจันทร์กระจ่างเข้าแล้ว”

“……” เผิงโย่วไจ้พูดไม่ออก ไม่เอ่ยถึงเรื่องชักชวนอีกฝ่ายเข้าร่วมสำนักอีก

“ฮี่…”

เสียงร้องของม้าจำนวนหนึ่งแว่วขึ้นมา ตามมาด้วยเสียงฝีเท้าม้าเดินลงจากเรือผ่านทางไม้กระดานดังกุบกับๆ แว่วขึ้นเป็นพรวน

เรือจอดเทียบฝั่ง คอกกั้นภายในท้องเรือถูกเปิดออก ม้าตัวแล้วตัวเล่าถูกต้อนออกมา เดินลงมาตามไม้กระดานเทียบเรือ ยอดอาชาหลายสิบตัวบนเรือปรากฏตัวขึ้นแทบจะพร้อมเพรียงกัน

ท่าเรือเป็นสถานที่สำหรับเทียบเรือจริงๆ เรือใหญ่ขนาดนี้เข้ามาจอดเทียบได้สิบลำก็ล้นถึงปลายท่าแล้ว ริมชายหาดสองฝั่งท่าเรือก็มีเรือจอดเทียบอยู่ในแนวนอนไม่น้อยเช่นกัน ฝูงม้าย่ำลงมาจากไม้กระดานลงสู่น้ำ จากนั้นก็เดินลุยเขตน้ำตื้นขึ้นหาด น้ำสาดกระเซ็นไปทั่ว ทำให้เหล่าทหารที่ดักขวางเฝ้าอยู่สองฟากฝั่งเปียกปอนไปหมด

ชั่วขณะนั้น ฉากนี้ดึงดูดสายตาคนอย่างยิ่ง กลุ่มคนที่ยืนอยู่บนท่าเรือก็เริ่มถอยหลังไปเล็กน้อย ย้ายไปยืนมองอยู่สองฝั่งซ้ายขวา

“เหตุใดถึงรู้สึกว่าม้าเหล่านี้ดูค่อนข้างเซื่องซึม สีขนก็หม่นหมองไร้ประกายเล่า” หลานรั่วถิงขมวดคิ้วเอ่ยออกมา

เหมิงซานหมิงที่อยู่บนรถเข็นเอ่ยว่า “น่าจะอุดอู้อยู่บนเรือนานไป ถือกำเนิดเติบโตอยู่บนบกจนคุ้นชินจู่ๆ ต้องไปอยู่บนท้องทะเลที่ไม่คุ้นเคยเป็นเวลานานขนาดนี้ร่างกายย่อมได้รับผลกระทบ มองจากฟันและแผงอกแล้วล้วนเป็นม้าหนุ่มที่ยอดเยี่ยม ไม่เป็นไรหรอก บำรุงไปสักพักก็กลับมาเป็นปกติแล้ว”

สมแล้วที่เป็นคนที่ฝึกทหารม้า เพียงมองดูก็จับจุดได้แล้ว

หลานรั่วถิงประสานมือคำนับ สื่อว่าได้รับการสั่งสอนแล้ว

ในเวลานี้ ริมหาดค่อยๆ อบอวลไปด้วยกลิ่นตัวม้า ม้าบางส่วนที่อยู่บนหาดแผดเสียงร้องอย่างมีความสุข ในที่สุดก็ได้เหยียบพื้นดินอีกครั้ง ดูเหมือนจะดีใจอย่างมาก

เหลยจงคังและอู๋ซานเหลี่ยงเดินเข้ามาหาหนิวโหย่วเต้า อู๋ซานเหลี่ยงเอ่ยถาม “เต้าเหยี่ย เหตุใดถึงไม่เห็นลูกพี่กับต้วนหู่เลยล่ะขอรับ?”

กงซุนปู้ฟังแล้วก้มหน้าลงเงียบๆ

หนิวโหย่วเต้าค่อยๆ หันหลังกลับไป มองไปทางเรือที่ตนโดยสารมาลำนั้น บังเอิญเห็นต้วนหู้โผล่หน้าออกมาพอดี ด้านหลังเขามีศิษย์สำนักเบญจคีรีสองคนยกเปลหามที่สร้างขึ้นชั่วคราวออกมา คนผู้หนึ่งนอนอยู่บนเปลหาม มีผ้าสีดำผืนหนึ่งคลุมอยู่

เมื่อเห็นภาพนี้ แล้วก็เห็นต้วนหู่ก้มหน้าอย่างหม่นหมอง เหลยจงคังและอู๋ซานเหลี่ยงพลันใจหายวาบ ต่างสังหรณ์ใจไม่ดีขึ้นมา

สุดท้ายยังคงต้องเผชิญหน้ากับความเป็นจริงอยู่ดี ต้วนหู่เองก็ไม่สามารถหลบซ่อนตัวต่อไปได้ จำเป็นต้องเผชิญหน้าเช่นกัน

สุดท้ายเปลหามถูกยกเข้ามาทางด้านนี้ ต้วนหู่ก้มหน้า ไม่มีหน้าจะเผชิญกับเหลยจงคังและอู๋ซานเหลี่ยง

เหลยจงคังถามด้วยเสียงที่เจือความสั่นพร่า “ต้วนหู่ ลูกพี่ล่ะ?”

ต้วนหู่เม้มปากแน่น ก้มหน้าไม่ปริปาก

หนิวโหย่วเต้าเอ่ยเนิบๆ ว่า “ก่อนจะออกจากแคว้นฉี พวกเราเผชิญการตามล่าระหว่างทาง เพื่อช่วยกลบเกลื่อนให้พวกเราหนีรอด เฮยหมู่ตานและต้วนหู่ปลอมตัวเป็นข้าและหงเหนียง ล่อศัตรูที่ตามไล่ล่าออกไป ฝ่ายศัตรูแข็งแกร่งมากเกินไป เฮยหมู่ตานโชคร้ายถูกโจมตีจนเสียชีวิต ส่วนต้วนหู่เอาชีวิตรอดกลับมาได้อย่างหวุดหวิด”

ต้วนหู่น้ำตาไหล น้ำตาเม็ดโตรินลงมาจากดวงตาแดงก่ำ เอ่ยสะอื้น “ข้ามันไม่ได้เรื่อง!”

“อ๊าก!” อู๋ซานเหลี่ยงพลันเงื้อเท้าถีบต้วนหู่ล้มลงไปกองกับพื้น จากนั้นเข้าไปกระทบซ้ำพลางก่นด่าด้วยน้ำเสียงโศกเศร้า “เช่นนั้นเหตุใดเจ้ายังมีหน้ารอดชีวิตกลับมาอีก?”

ต้วนหู่ที่ล้มลงบนพื้นไม่โต้ตอบเลย เอาแต่พูดว่าเป็นเพราะตนไม่ได้เรื่องซ้ำๆ

“อู๋ซานเหลี่ยง!” หนิวโหย่วเต้าตวาดเสียงขรึม

อู๋ซานเหลี่ยงจึงหยุดมือ สองมือกำแน่น ก้มหน้าหอบหายใจ

หนิวโหย่วเต้าเอ่ยว่า “ไม่อาจกล่าวโทษต้วนหู่ได้ ศัตรูแข็งแกร่งเกินไป ลำพังวิหคยักษ์ที่ใช้ตามไล่ล่าพวกเขาก็มีถึงห้าตัวแล้ว ทั้งสองร่วมมือกันแล้วก็ยังไม่อาจต้านทานการโจมตีจากศัตรูได้ ต้วนหู่เองก็เอาชีวิตรอดกลับมาได้อย่างหวุดหวิดเช่นกัน หากมิใช่เพราะต้วนหู่พยายามช่วยเหลืออย่างสุดชีวิต เกรงว่าคงจะไม่พบแม้กระทั่งศพของเฮยหมู่ตานด้วยซ้ำ”

เมื่อสมาชิกสำนักหยกสวรรค์ได้ยินก็ตกตะลึง ลำพังแค่วิหคยักษ์ก็มีถึงห้าตัวแล้วอย่างนั้นหรือ? ต้องทราบด้วยว่าสำนักหยกสวรรค์ไม่มีวิหคยักษ์แม้แต่ตัวเดียวด้วยซ้ำ เพียงแค่คิดดูก็รู้แล้วว่าศัตรูที่ตามไล่ล่าจะมีความน่ากลัวขนาดไหน แล้วก็ทราบดีว่ายากแค่ไหนกว่าพวกหนิวโหย่วเต้าจะเอาชีวิตรอดกลับมาได้

พวกซางเฉาจงเองก็มองหนิวโหย่วเต้าด้วยความตะลึงงัน จินตนาการไม่ออกเลยว่าพวกเขาเผชิญอันตรายเช่นใดมากันแน่

เหลยจงคังเดินไปถึงข้างเปลหาม ค่อยๆ ยื่นมือไปเลิกผ้าสีดำออก เผยให้ใบหน้าของเฮยหมู่ตานที่นอนหลับตาอย่างสงบ

เขายื่นมือลูบหน้าเฮยหมู่ตานดู เย็นมาก!

“ลูกพี่!” เหลยจงคังคุกเข่าลงข้างหนึ่ง น้ำตาไหลริน

อู๋ซานเหลี่ยงมองอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นเงยหน้าหลับตาลง น้ำตาหยดลงมา

เมื่อซางซูชิงเห็นใบหน้าที่หมองคล้ำดวงนั้นของเฮยหมู่ตาน นางก็นึกถึงสตรีที่ตนเคยพูดคุยหัวเราะด้วยคนนั้น ไม่คิดเลยว่าจากกันครานี้จะกลายเป็นการลาจากตลอดกาล นางยกมือปิดปากเบือนหน้าไปด้านข้าง เสียงร้องไห้อู้อี้แว่วขึ้นมา

ซางเฉาจงและพวกหลานรั่วถิงต่างเศร้าหมองเช่นกัน ล้วนทราบกันดีว่าเฮยหมู่ตานเป็นคนสนิทที่หนิวโหย่วเต้าไว้วางใจ ไม่คิดเลยว่าจะต้องเอาชีวิตไปทิ้งไว้ที่แคว้นฉีเพื่องานใหญ่ของพวกเขา พวกเขาก็ไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไรดีเช่นกัน

สมาชิกสำนักหยกสวรรค์มองกันไปมองกันมา เผิงโย่วไจ้ก้มหน้าลง ไม่ถึงขั้นที่นึกเห็นใจอะไร แต่ก็รู้ดีว่าสตรีนางนี้เป็นคนสนิทของหนิวโหย่วเต้า จึงพอจะเข้าใจความรู้สึกของทางหนิวโหย่วเต้าได้

เฟิงเอินไท่เดินเข้าไปข้างเปลหาม จ้องมองเฮยหมู่ตานอยู่พักหนึ่ง นึกถึงช่วงเวลาที่ได้อยู่ร่วมกันในเมืองหลวงแคว้นฉี เขาถอนหายใจดัง “เฮ้อ!” เอื้อมมือไปดึงผ้าขึ้นมาคลุมหน้าให้เฮยหมู่ตาน

“ไม่ควรปล่อยศพไว้นานเกินไป พวกเจ้าพานางกลับบ้านไปก่อนเถอะ เลือกสถานที่สำหรับฝังศพของนางให้ดี!” หนิวโหย่วเต้าเอ่ยสั่งการเสียงเรียบเฉย

ม้าศึกบนเรือยังทยอยลงจากเรือมาอย่างต่อเนื่อง เรือกลุ่มหนึ่งเคลื่อนออกจากริมหาดไป สลับให้เรืออีกกลุ่มเข้ามาเทียบท่าต่อ

ซางเฉาจงออกคำสั่งด้วยตัวเอง ให้คนจัดหารถม้าที่ดีที่สุดเท่าที่จะหาได้จากสถานที่แห่งนี้มา แล้วให้พวกเหลยจงคังพาเฮยหมู่ตานกลับไปก่อน ซางซูชิงก็เดินทางกลับไปพร้อมกันด้วย

จวบจนถึงช่วงพลบค่ำ หลานรั่วถิงที่สรุปจำนวนเรียบร้อยแล้วถึงเข้ามารายงานว่า “ท่านอ๋อง ต้อนม้าลงจากเรือหมดแล้วพ่ะย่ะค่ะ มีม้าทั้งสิ้นสองหมื่นแปดพันเจ็ดร้อยสี่สิบหกตัวพ่ะย่ะค่ะ”

“ดี!” เหมิงซานหมิงตบมือลงบนพนักวางแขนของรถเข็นพลางร้องชม

พวกซางเฉาจงไม่สะดวกจะอยู่เป็นเพื่อนทางนี้แล้ว ม้าศึกขึ้นฝั่งเรียบร้อย จากนี้ไปทางเขายังมีอีกหลายเรื่องราวที่ต้องไปสะสางจัดการ

ส่วนเรื่องยิบย่อยเหล่านี้ เหล่าผู้บำเพ็ญเพียรในที่แห่งนี้ไม่มีทางเข้าไปยุ่ง เพราะไม่เข้าใจและไม่รู้ว่าควรจะจัดการอย่างไร

เผิงโย่วไจ้มองเสากระโดงเรือนับไม่ถ้วนที่อยู่ท่ามกลางแสงอัสดง เอ่ยทิ้งท้ายกับหนิวโหย่วเต้าประโยคหนึ่ง “ข้าจะรอคำอธิบายจากเจ้า!” กล่าวจบก็หันหลังเตรียมจากไป

“เจ้าสำนักเผิงโปรดหยุดก่อน!” หนิวโหย่วเต้าเรียกไว้

เผิงโย่วไจ้ชะงักเท้า

หนิวโหย่วเต้าเดินเข้าไปหา “เจ้าสำนักเผิง ยังมีเรื่องบางอย่างต้องหารือกับท่าน”

“เรื่องบางอย่าง?” เผิงโย่วไจ้หันกลับมา

หนิวโหย่วเต้ากล่าวว่า “สำนักหยกสวรรค์เคยรับปากว่าขอเพียงจัดหาม้าศึกมาได้ สำนักหยกสวรรค์จะรับผิดชอบเรื่องเงินจัดซื้อม้าศึก ไม่ทราบว่ายังยึดตามคำพูดหรือไม่?”

เผิงโย่วไจ้เอียงคอสั่งการเล็กน้อย “มอบตั๋วเงินสองล้านเหรียญทองให้เขา!”

“สองล้านเหรียญทองอย่างนั้นหรือ?” หนิวโหย่วเต้ายกมือปรามคนที่กำลังหยิบตั๋วเงินแล้วเอ่ยไปว่า “เจ้าสำนักเผิงล้อเล่นอยู่กระมัง? ม้าศึกสามหมื่นตัวไหนเลยจะซื้อได้ด้วยเงินสองล้านเหรียญทอง?”

เผิงโย่วไจ้กล่าวว่า “ก่อนหน้านี้ตกลงกันไว้แล้วว่าสองจังหวัดต้องการม้าศึกทั้งสิ้นหนึ่งหมื่นตัว”

หนิวโหย่วเต้าพยักหน้ารับ “ได้! เมื่อเจ้าสำนักเผิงกล่าวมาเช่นนี้ ข้าก็ไม่มีอะไรจะพูด เช่นนั้นข้าจะมอบม้าศึกหมื่นตัวให้กับสองจังหวัด ส่วนม้าศึกที่เหลือ ข้าเชื่อว่าในละแวกข้างเคียงคงมีคนอยากได้แน่นอน หวังว่าเจ้าสำนักเผิงจะไม่ขัดขวาง และขอให้เจ้าสำนักเผิงโปรดแจ้งต่อท่านอ๋องด้วยว่าข้าไม่มีทางเลือกแล้วเช่นกัน ม้าศึกเหล่านี้ล้วนซื้อเงินเชื่อทั้งสิ้น ยังไม่ได้จ่ายเงินไปเลยสักแดง อีกฝ่ายยังรอเก็บเงินอยู่ หนี้ทางนี้ก็ค้างชำระไม่ได้เช่น หากจะค้างชำระพวกท่านก็ไปจัดการเอาเองแล้วกัน ข้าไม่มีปัญญามากขนาดนั้น” ว่าพลางชี้ไปทางพวกลู่หลีจวินที่อยู่ไม่ไกล

เผิงโย่วไจ้กวาดตามองผู้บำเพ็ญเพียรผีกลุ่มนั้น เอ่ยถามว่า“ผู้บำเพ็ญเพียรผีเหล่านี้มาจากไหน?”

หนิวโหย่วเต้าตอบว่า “เขาลับเลในแคว้นฉี!”

เผิงโย่วไจ้ตกใจเล็กน้อย “คนของกุ่ยหมู่หรือ?”

หนิวโหย่วเต้าตอบว่า “เจ้าสำนักเผิงปราดเปรื่องนัก”

เผิงโย่วไจ้ลังเลเล็กน้อย แม้จะได้ม้าศึกมาเกินจำนวนหมื่นตัวที่ตกลงไว้ แต่ม้าศึกมากมายเหล่านี้มาถึงมือของสองจังหวัดแล้ว หากต้องนำม้าส่วนใหญ่ไปปลอยขายล่ะก็ ไม่ว่าจะในแง่ไหนก็ดูไม่เข้าท่าเลย เขาถามไปว่า “เจ้าจะเอาเท่าไร?”

หนิวโหย่วเต้ายื่นฝ่ามือออกไป “ไม่มาก ห้าล้านก็พอ!”

สีหน้าของคนมากมายในสำนักหยกสวรรค์แปรเปลี่ยนเล็กน้อย เฟิงเอินไท่วิ่งเข้ามา “น้องสาม ห้าล้านไม่มากเกินไปหน่อยหรือ? สามล้านเถอะ เจ้าเห็นว่าอย่างไร?”

เผิงโย่วไจ้ไม่ปริปากอีก เห็นชอบกับราคานี้เช่นกัน

“สามล้านหรือ? พี่ใหญ่ ท่านช่างกล้าพูดออกมาได้!” หนิวโหย่วเต้าแทบจะตวาดใส่หน้าเขาแล้ว เอ่ยด้วยความโกรธ “ตอนอยู่ที่แคว้นฉี ท่านคิดว่าตัวท่านสร้างปัญหาไว้มากน้อยเพียงใดกัน? สุดท้ายก็ผลักปัญหาทั้งหมดมาให้ข้า ข้าเห็นแก่ความเป็นพี่น้องร่วมสาบานของพวกเรา ข้าถึงได้ยอมให้! จนกระทั่งถึงช่วงอพยพในตอนท้ายสุด ข้าก็ยังนึกห่วงความปลอดภัยของพี่ใหญ่ ให้ท่านพาเหล่าศิษย์สำนักหยกสวรรค์อพยพไปก่อน ไม่ได้ปล่อยให้สำนักหยกสวรรค์ของท่านได้รับอันตรายเลยแม้แต่น้อย ส่วนทางเราเพื่อช่วยปกป้องพวกท่านไว้ มีทั้งผู้ตายและผู้บาดเจ็บ! หากรู้แต่แรกว่าจะเป็นเช่นนี้ ข้าคงปล่อยให้สำนักหยกสวรรค์ของพวกท่านเผชิญกับการตามไล่ล่าไปเสีย ข้าก็อยากเห็นนักว่าท่านจะพาคนรอดกลับมาได้สักกี่ชีวิต!”

จากนั้นเขาก็เข้าไปดึงแขนของเฟิงเอินไท่ ชี้ไปทางเรือใหญ่หลายร้อยลำที่จอดเทียบชายฝั่งอยู่ “ค่าใช้จ่ายของพวกเขาไม่ต้องจ่ายเหรอ? มีเรือล่มไปสิบกว่าลำก็ต้องจ่ายค่าชดเชยมิใช่หรือ? เพื่อที่จะขนส่งม้าศึกมา เลยต้องดัดแปลงเรือของพวกเขา จะไม่จ่ายค่าซ่อมแซมสำหรับปรับปรุงเรือที่ถูกดัดแปลงเลยหรือ? ท่านว่าของพวกนี้ต้องใช้เงินเท่าไรกัน? คนที่สามารถซื้อขายเรือใหญ่ขนาดนี้ได้ ไหนเลยจะมิใช่คนมีเงิน? คนที่อยู่เบื้องหลังเรือเหล่านี้ ทุกคนล้วนเป็นมหาเศรษฐีทั้งสิ้นเกี่ยวข้องกับกลุ่มอิทธิพลในแคว้นต่างๆ สำนักหยกสวรรค์ของพวกท่านกล้าค้างชำระเงินของพวกเขา แต่ข้าจะกล้าอย่างนั้นหรือ? สามล้านเหรียญทอง ท่านก็ช่างกล้าพูดออกมาได้ ตอนนี้จะให้ข้าไปหาเงินจากไหนมาอุดส่วนที่ขาดหายไปมากขนาดนั้น? เงินจะหล่นลงมาจากฟ้าหรือว่าเก็บได้ตามพื้นหรือ?”

…………………………………………………………….