บทที่ 337 นั่นไม่ใช่อวี๋จือหรือ

ทะลุมิติไปเป็นแม่ของวายร้ายทั้งสาม

บทที่ 337 นั่นไม่ใช่อวี๋จือหรือ

บทที่ 337 นั่นไม่ใช่อวี๋จือหรือ

เหยาซูและพี่สะใภ้รองมาถึงร้านอาหารในตอนสาย ๆ เนื่องจากยังไม่ใช่เวลารับประทานอาหาร ภายในร้านจึงมีแขกเพียงไม่กี่โต๊ะ

มีผู้คนนั่งกินข้าวพลางพูดคุยกับมิตรสหายอยู่สองถึงสามโต๊ะกระจายอยู่ทั่วห้องโถง

เถ้าแก่หลิวเห็นเหยาซูเข้ามา ก็ส่งเสียงทักทายมาจากหลังโต๊ะ “นายหญิง วันนี้มาแต่เช้าเลยนะขอรับ”

เหยาซูยิ้มพลางพยักหน้าและเอ่ยขึ้นว่า “เถ้าแก่ ท่านผู้นี้ครั้งก่อนท่านก็น่าจะเคยพบแล้ว นี่คือพี่สะใภ้รองของบ้านข้าเอง จะมาช่วยดูแลร้านอาหารในวันข้างหน้า หลังจากที่กิจการร้านอาหารของเราดีขึ้นแล้วเกรงว่าจะต้องหาคนงานเพิ่ม”

เถ้าแก่หลิวผู้เฉลียวฉลาดมองคนได้ทะลุปรุโปร่ง เพียงมองวูบเดียวก็รู้ว่าสะใภ้รองจากบ้านนายหญิงเป็นคนที่มีความสามารถ

เถ้าแก่ยิ้มกล่าวอย่างสดใส “ฮูหยินท่านนี้ ต่อไปข้าน้อยจะเรียกว่าฮูหยินเหยาขอรับ”

สะใภ้รองพยักหน้าอย่างสุภาพ “เถ้าแก่หลิวจะเรียกข้าอย่างไรก็ย่อมได้ นี่เป็นครั้งแรกที่ข้ามาดูกิจการร้านอาหาร มีอีกหลายอย่างที่ข้าเองก็ยังไม่เข้าใจ หวังว่าท่านเถ้าแก่จะแนะนำข้า”

เถ้าแก่หลิวเห็นหญิงสาวแสดงกิริยาถ่อมตนทั้งภายในและภายนอก ก็บังเกิดความประทับใจต่อหญิงสาวขึ้นในใจ รอยยิ้มของเขาครานี้จึงจริงใจมากขึ้น “ฮูหยินท่านพูดเกินไปแล้ว ท่านสูงศักดิ์กว่าพวกเราเป็นอย่างมาก ข้าน้อยมิอาจกล้าแนะนำฮูหยินหรอกขอรับ”

ทั้งสามคนพูดคุยกันสักพัก หลังจากนั้นเถ้าแก่หลิวก็ได้เรียกคนงานในร้านออกมาทีละคน เมื่อทุกคนได้พบกับเซียงเวย พี่สะใภ้รองก็ได้แขวนชื่อของตนไว้ในร้านอาหารแล้ว

เมื่อแนะนำตัวเสร็จ เหยาซูก็ได้พาพี่สะใภ้รองขึ้นไปชั้นบน

เหยาซูมีที่พิเศษสำหรับพักผ่อนในร้านอาหาร มันเป็นห้องส่วนตัวเล็ก ๆ ที่ปลายทางเดิน

เดิมทีมันเป็นห้องเก็บของ เหยาซูได้จัดเก็บไปหนึ่งรอบ อีกทั้งยังเพิ่มโต๊ะ เก้าอี้ และเก้าอี้ปรับเอนเข้าไป พอมองเข้าไปแล้วก็ให้ความรู้สึกสุขสบายกาย

พี่สะใภ้รองเดินเข้าไปดู หญิงสาวยิ้มแล้วพยักหน้า “อาซู เจ้านี่ช่างเป็นเด็กเสียจริง ๆ ”

หญิงสาวสังเกตทางซ้ายขวาของห้องเล็ก ๆ อย่างละเอียด ห้องนี้ถือว่าไม่ใหญ่นักแต่กลับมีความละเอียดอ่อนและสวยงาม

เห็นได้ชัดว่าเหยาซูล้วนตั้งใจทำทุกเรื่องที่เกี่ยวกับร้านอาหาร ถึงแม้ว่าจะเป็นแค่สถานที่ที่เอาไว้พูดคุยพักผ่อน นางก็ใส่ใจในรายละเอียด

เหยาซูรู้สึกประหลาดใจ และเมื่อหญิงสาวเข้าใจว่าพี่สะใภ้หมายความว่าอะไร ก็อดที่จะยิ้มออกมาไม่ได้ “พี่สะใภ้รอง มันไม่ได้สำคัญอะไร มันก็แค่ห้องหนึ่งห้อง”

พี่สะใภ้รองนั่งอยู่หน้าโต๊ะที่ไม่ได้ใหญ่มาก บนม้านั่งมีเบาะรองนั่งอยู่ ทำให้คนที่นั่งสัมผัสได้ถึงความนุ่มสบาย

หญิงสาวถอนหายใจออกหนึ่งครั้ง ค่อย ๆ ยิ้มก่อนจะเอ่ยขึ้น “อาซู เจ้าถ่อมตนเกินไปแล้ว ลองคิดดูว่าสตรีในสมัยราชวงศ์ต้าเหยียนอย่างพวกเราสิ ถึงแม้ว่าราชสำนักจะสนับสนุนในการเปิดกิจการ แต่พวกเขาจะโผล่หน้าออกมาให้เป็นที่พบเห็นและทำกิจการอย่างจริงจังซักเท่าไร นอกจากนี้เจ้ายังใส่ใจกับลูก ๆ มาตลอด ทั้งปริศนาเก้าห่วงของเอ้อเป่ากับม้าไม้ของซานเป่าที่ข้าเห็นว่ายังมีวางอยู่บนชั้นอีกมากมาย จะไม่ให้คนนับถือชื่นชมเจ้าได้อย่างไร ”

เหยาซูตกตะลึงกับคำความคิดที่พี่สะใภ้รองมีต่อตนเช่นนี้ และในเวลาเดียวกันหญิงสาวเองก็รู้สึกชื่นชอบที่ญาติพี่น้องยอมรับตนเอง

เหยาซูใช้มือทั้งสองเท้าคางเอาไว้ในขณะที่พี่สะใภ้รองนั่งอยู่ข้าง ๆ หญิงสาวยิ้มแล้วกล่าวขึ้นว่า “พี่สะใภ้รอง ขืนท่านพูดเกินไป ข้าเองก็คงจะรู้สึกละอายใจ”

เหยาซูและเหยาเฉาสองพี่น้องมีลักษณะนิสัยเหมือนกันที่สุดในตระกูลเหยา เพียงแค่เห็นดวงตาดอกท้อของทั้งคู่ ก็ทำให้ผู้พบเห็นรู้ถึงความสัมพันธ์ของทั้งสองทันที

พี่สะใภ้รองมองดูท่าทางของหญิงสาวที่กำลังยิ้ม จู่ ๆ ก็นึกถึงเหยาเฉาขึ้นมาทันที และใบหน้าของนางก็ฉายซึ่งความอบอุ่น

หญิงสาวยิ้มแล้วลูบศีรษะของเหยาซู เช่นเดียวกับที่เหยาเฉาที่มักจะแสดงออกกับน้องสาวของตนด้วยความอ่อนโยน หญิงสาวเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่อบอุ่น “มีอะไรน่าอายหรือ อาซูทำได้ดี ทุก ๆ คนล้วนเห็นกับตา”

เหยาซูเม้มริบฝีปากแล้วยิ้มออกมา

ในขณะที่ทั้งสองคนกำลังสนทนากัน เสียงเคาะประตูของอาคุนก็ดังขึ้นหน้าประตู “นายหญิง ฮูหยินเหยา ชามาแล้วขอรับ”

เหยาซูเอ่ยขึ้น “เข้ามาได้”

อาคุนถือถาดพลางยิ้มแล้วเดินเข้ามาในห้อง ไม่ช้าก็รินชาให้กับหญิงสาวทั้งสองพร้อมกับของว่างจานเล็ก ๆ

ของว่างทุกชิ้นล้วนเป็นชิ้นเล็ก ๆ บางทีเมื่อพิจารณาดูแล้วทั้งสองคนก็เพิ่งจะกินอาหารเช้า อาจจะไม่ได้รู้สึกหิวมากนัก ดังนั้นจึงใช้เป็นของว่างชิ้นเล็ก ๆ เพื่อรับประทานฆ่าเวลา

พี่สะใภ้รองยิ้มแล้วกล่าวว่า “อาคุนดูเป็นคนมีชีวิตชีวาแต่กลับละเอียดอ่อนและเอาใจใส่นัก”

สองพี่น้องอาเฉียนและอาคุนคือคนงานในร้านอาหารที่อายุน้อยที่สุด พี่สะใภ้รองจึงมองพวกเขาเป็นเหมือนรุ่นน้อง

อย่างไรก็ตามพวกเขาทั้งสองคนก็ไม่ได้ออกไปไหนมานานแล้ว และก็ได้ฝึกฝนความสามารถในการสังเกตผู้คน เวลาทำสิ่งใดมักจะรอบคอบ ไม่อย่างนั้นพวกเขาคงไม่สามารถอยู่ในร้านอาหารต่อไปได้

อาคุนที่เห็นว่าพี่สะใภ้รองชื่นชมตนโดยที่ไม่มีความลังเลแม้แต่น้อย จึงได้เพียงแต่ยิ้มแล้วกล่าวขึ้นว่า “ไม่ได้มีอะไรมากมายหรอกขอรับ เป็นเพียงแค่ทักษะพื้นฐานของพวกเรา นายหญิงกล่าวบ่อย ๆ ว่าต้องปฏิบัติกับแขกให้พวกเขารู้สึกว่าราวกับอยู่บ้าน ถึงแม้ว่าฮูหยินและนายหญิงจะไม่ใช่คนนอก แต่ก็คือคนที่พวกเราให้ความเคารพนับถือ ดังนั้นก็ควรใส่ใจเป็นพิเศษขอรับ”

เหยาซูยิ้มให้กับพี่สะใภ้รองและกล่าวว่า “เจ้าก็กล่าวเกินไปแล้ว คนงานของร้านอาหารของพวกเราโดยเฉพาะอาคุนและอาเฉียนทั้งสองคนเป็นคนช่างพูดช่างจา เจ้าชื่นชมมาหนึ่งประโยค คนอื่นก็ชื่นชมเจ้ากลับได้สิบประโยค”

จากนั้นทั้งสามคนก็หัวเราะออกมาอย่างเพลิดเพลินใจ

หลังจากที่อาคุนบริการอาหารและของว่างเสร็จก็ไม่ได้ออกไปในทันที แต่กลับสนทนาต่อกับทั้งสองคนอยู่สองสามประโยค หัวข้อในการสนทนาก็จะเกี่ยวกับกิจการของร้านอาหารเป็นปกติ

อาคุนกล่าวว่า “อาหารเมืองหลวงของพวกเราก็นับว่าทำได้ดี แต่ว่าในเมืองหลวงเองส่วนมากก็เป็นคนที่มาจากต่างเมืองและมีไม่น้อยเลยที่มาเป็นขุนนางที่นี่”

เหยาซูวางถ้วยชาลงแล้วถามขึ้น “น่าแปลกใจ ท้ายที่สุดก็ควรจะมีคนเมืองหลวงมากที่สุดไม่ใช่หรือ”

อาคุนยิ้มและกล่าวขึ้น “ที่นายหญิงกล่าวมาก็ไม่ผิด แต่ว่ายังมีเรื่องที่ท่านยังรู้ไม่หมดขอรับ ข้าราชการส่วนใหญ่ในเมืองหลวงมีฐานะที่ร่ำรวย และมารับประทานอาหารที่ร้านของพวกเราไม่มากนัก”

หลังจากที่เด็กหนุ่มอธิบายเรื่องนี้ได้เพียงเล็กน้อย เหยาซูก็ได้เข้าใจขึ้นมาทันที

ขุนนางในเมืองหลวงล้วนมาจากตระกูลขุนนางระดับสูง จึงมีความหยิ่งทระนงตัว น้อยมากที่จะมารับประทานอาหารของร้านอาหารฝั่งตะวันตกของเมือง

หญิงสาวพยักหน้าและกล่าวว่า “ลูกค้าส่วนนี้ดึงดูดได้ยากนัก อีกทั้งไม่ใช่ลูกค้าหลักของเรา”

อาคุนตอบกลับ “นายหญิงกล่าวได้ถูกต้อง”

เหยาซูนึกถึงเรื่องที่สนทนาไปเมื่อครู่ จึงถามขึ้นว่า “เจ้าบอกว่าคนต่างถิ่นมาเป็นขุนนางใช่…”

อาคุนที่เห็นว่าหญิงสาวถามขึ้นมา จึงได้อธิบายต่ออย่างละเอียด “ก่อนหน้านี้ ประมาณสองสามวันที่แล้ว ร้านอาหารตรงข้ามเชิญพ่อครัวจากซูโจวมาขอรับ ได้ยินมาว่าฝีมือไม่เลวเลย และได้เชิญจอหงวนอันดับหนึ่งไปร้านของพวกเขา จนถึงตอนนี้พวกเขาก็ยังไม่หยุดพูดถึงเรื่องนี้เลยขอรับ”

เหยาซูใจเต้น “จอหงวนอันดับหนึ่งหรือ เจ้าพูดว่าเขาเป็นคนซูโจวใช่ไหม”

อาคุนลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะกล่าวอย่างไม่แน่ใจ “ก็น่าจะเป็นเช่นนั้น ได้ยินมาว่าสกุลอวี๋หรืออะไรทำนองนั้นขอรับ”

เหยาซูและพี่สะใภ้รองมองหน้ากันครู่หนึ่งและทั้งคู่ก็ได้ยิ้มออกมา

นั่นจะใช่อวี๋จือไหม

เหยาซูยิ้มและกล่าวกับคนงานในร้านของนาง “อาคุน เรื่องนี้เจ้าไม่ต้องร้อนรนใจไป วันพรุ่งนี้ข้าจะเชิญจอหงวนอันดับหนึ่งมากินข้าวที่ร้านของพวกเราสองสามมื้อ พวกเจ้าก็จะได้คุยโวโอ้อวดเรื่องนี้ได้เช่นกัน”

พี่สะใภ้รองยิ้มและกล่าวว่า “ช่างมันเถอะ ความคิดบ้า ๆ ที่จะไปชวนน้องอวี๋มา”

อาคุนเข้าใจความหมายของนายหญิงทั้งสอง จึงกล่าวอย่างมีความสุข “นายหญิงรู้จักจอหงวนอันดำหนึ่งหรือขอรับ ไม่ได้ ไม่ได้ เช่นนั้นต้องพามาที่ร้านของเราให้ได้ พวกท่านสองคนไม่รู้ ช่วงนี้ร้านอาหารของพวกเขาหางยาวไปถึงท้องฟ้าแล้ว”

เหยาซูหัวเราะตัวงอ พยักหน้าตอบรับเด็กในร้าน แล้วเห็นเด็กหนุ่มออกไป

หลังจากที่อาคุนไปแล้ว พี่สะใภ้รองก็เอ่ยขึ้นด้วยความสงสัย “ช่วงที่ผ่านมานี้ไม่ได้ข่าวคราวของน้องอวี๋เลย อาซู พวกเจ้ามาเมืองหลวงได้เวลาหนึ่งแล้ว ได้พบเขาบ้างหรือไม่”

…………………………………………………………………………………………………………

สารจากผู้แปล

บัณฑิตจอหงวนที่ว่านั่นจะใช่อวี๋จือหรือเปล่าน้า ถือโอกาสนี้เชิญมากินข้าวแล้วโฆษณาร้านไปด้วยในตัวเลยสิ

ไหหม่า(海馬)