ทุกๆคนมารวมตัวกัน หลานเสี่ยวถางจึงนำหวันหว่านไปวางไว้บนเตียงนุ่มๆในห้อง จากนั้นก็เดินออกมา
เย่ซีโจวกล่าวว่า : “แดเนียล เรื่องราวครั้งนี้ เรามาใช้โอกาสในวันนี้ พูดคุยกันดีกว่า”
ก่อนหน้านี้ที่แดเนียลอยู่ตระกูลเพอร์เซลล์ ก็เคยเห็นหวันหว่านแล้ว
ถึงแม้ว่าเจ้าตัวน้อยจะหลับตลอด แต่ก็น่ารักจนเขาอดไม่ได้ที่จะมองทุกครั้ง ถึงขั้นกับอยากที่จะเข้าไปอุ้มเลย
เพราะสมาชิกในครอบครัวตระกูลเพอร์เซลล์มีจำนวนน้อย ดังนั้นเจ้าตัวเล็กอย่างนี้จึงหาได้ยากจริงๆ คนทั้งหมดในตระกูลจึงอยากให้หวันหว่านอยู่ต่อ
“ความหมายของเราก็คือ ต่อไปนี้หวันหว่านจะต้องได้รับการเลี้ยงดูโดยตระกูลเพอร์เซลล์ของเรา” แดเนียลกล่าวว่า : ส่วนทางด้านเสี่ยวถางนี้ หลังจากที่เรามีหวันหว่านแล้ว การหมั้นก็ถือว่าหักล้างกันไป”
หลานเสี่ยวถางยังไม่ทันได้พูดอะไร สือมูเฉินก็พูดว่า : “ไม่ได้! ลูกสาวของฉัน จะต้องเติบโตสุขภาพแข็งแรงภายใต้การดูแลของพ่อแม่! และต้องไม่เป็นเครื่องต่อรองเพื่อแลกเปลี่ยนผลประโยชน์ใดๆทั้งนั้น!”
ในขณะเดียวกัน เย่เหลียนอีก็พูดขึ้นว่า : “ฉันรับรู้ถึงความเจ็บปวดจากการพลัดพรากเป็นอย่างดี และฉันจะไม่ยอมให้ลูกสาวของฉันเดินซ้ำรอยเดียวกันกับฉันอย่างแน่นอน!”
“อย่างนั้นเรื่องการหมั้นจะแก้ไขปัญหาอย่างไร? หรือพวกคุณคิดว่าคำสัญญาของตระกูลเพอร์เซลล์เราเป็นแค่การพูดไปเรื่อยเปื่อย?!” แดเนียลโมโหฉุนเฉียวขึ้นมา ชั่วพริบตาใบหน้าและลำคอก็แดงไปหมด
“ฟังฉันพูดก่อน” เย่ซีโจวกล่าว : “ในเมื่อเป็นการปรึกษาหารือกัน ก็นั่งคุยกันดีๆ สิ่งที่พวกคุณต้องการทั้งหมด ก็เป็นเพียงแค่ผลประโยชน์เท่านั้น ทำไมไม่คิดว่าการเกิดมาของหวันหว่าน ถือเป็นการเชื่อมความสัมพันธ์ของคนทั้งสองตระกูลล่ะ?”
“หมายความว่ายังไง?”
“หวันหว่านเกิดที่ตระกูลเพอร์เซลล์ แต่พ่อกับแม่คือมูเฉินกับเสี่ยวถาง บ้านของแม่ก็คือออเนอร์” เย่ซีโจวพูดว่า : “แต่ Bojanที่อยู่ด้วยกันกับหวันหว่านมานานกว่าสองเดือน จะรู้สึกผูกพันมันก็ไม่แปลก ในเมื่อเป็นอย่างนี้ ทำไมไม่ใช่ความสัมพันธ์นี้ ให้ถือเป็นหลักประกันความร่วมมือของเราจะดีกว่าไหม?”
สือมูเฉินฟังออกถึงอะไรบางอย่าง จึงพูดขึ้นว่า : “คุณปู่ ที่คุณพูดก็มีเหตุผล แต่ไม่ว่าจะเพื่อผลประโยชน์อะไรก็ตาม ฉันไม่สามารถให้หวันหว่านแยกจากฉันกับเสี่ยวถางไปเด็ดขาด”
“ฉันมีข้อเสนอ” โอหยางจวิ้นที่ไม่ได้พูดอะไรมาตลอดก็เอ่ยว่า : “ฉันใช้เวลาอยู่ด้วยกันกับหวันหว่านมานาน และตอนนี้เธอก็ค่อนข้างจะไว้ใจฉัน ฉะนั้น ทุกๆปีก็ลองหาเวลาให้หวันหว่านมาอยู่กับตระกูลเพอร์เซลล์ของเราก็ไม่เสียหายอะไร……”
หลานเสี่ยวถางค่อนข้างระวังตัว : “ระยะเวลานานแค่ไหนล่ะ? แล้วอีกอย่าง หวันหว่านก็จำเป็นที่จะต้องอยู่ด้วยกันกับฉันและสือมูเฉินด้วย”
โอหยางจวิ้นระงับความขมขื่นในใจ แล้วพูดว่า : “อย่างเช่นสักสองสามเดือน ก็ถือว่าเป็นวันหยุดพักร้อน อีกทั้งในช่วงเวลาดังกล่าวนี้ คุณก็อยู่ด้วยกันได้ตลอด ส่วนคุณสือนั้น ก็สามารถไปเยี่ยมเยือนได้ทุกเวลา หรือจะพักค้างคืนด้วยก็ได้”
ทุกคนกำลังพูดคุยกันอยู่ หลานจื่อเฉินที่ให้ความสนใจอยู่ตลอดก็พูดขึ้นว่า : “ดูเหมือนว่าหวันหว่านจะตื่นแล้วนะ”
“ต้องโทษพวกคุณนั่นแหละที่พูดเสียงดังเกินไป!” แดเนียลกล่าวตำหนิ
ชั่วขณะคนสองสามคนก็ทยอยพากันเข้าไปในห้อง
หลานจื่อเฉินที่อยู่ใกล้ประตูที่สุด เข้าไปถึงเตียงก่อน เห็นเจ้าตัวเล็กจ้องมองตาโต ด้วยท่าทางสับสนงุนงง หัวใจของเขาก็อ่อนโยนขึ้นมาทันที : “พี่ คุณดูสิ หวันหว่านมองฉันอยู่ใช่ไหม?”
หลานเสี่ยวได้ฟังแล้ว ก็อดไม่ได้ที่จะพูดหยอกล้อ : “เธอคงจะคิดแน่ๆเลยว่า เจ้าหนุ่มหล่อคนนี้มาจากไหน!”
หลานจื่อเฉินยิ้ม : “หวันหว่าน คุณดูสิว่าน้าหล่อไหม? รอให้คุณโตอีกหน่อย น้าจะพาคุณไปขี่ม้าไปยิงปืนนะ!”
“เด็กผู้หญิง จะไปขี่ม้า ไปยิงปืนได้ยังไง?” เย่เหลียนอีมองหลานสาวตัวน้อย ด้วยสายตาเปี่ยมไปด้วยความรักใคร่เอ็นดู : “ฉันจะอบรมสั่งสอนให้หวันหว่านเป็นเจ้าหญิงตัวน้อยที่น่ารักงดงามมีสง่าที่สุด!”
“ยิงปืนขี่ม้าไม่ใช่เป็นการเรียนรู้ที่จะปกป้องดูแลตัวเองหรอกเหรอ?” หลานจื่อเฉินพูดจบ ก็มองไปที่โอหยางจวิ้น แล้วแอบใส่ความให้ร้ายว่า : “มิเช่นนั้น คนเลวๆที่โลภอยากจะได้มีอยู่รอบๆตัวมากมายขนาดนั้น หวันหว่านของเราก็ควรจะมีความสามารถในการป้องกันตัวไว้จึงจะดี!”
โอหยางจวิ้นไม่เพิกเฉย เป็นครั้งแรกที่โต้เถียงอย่างไร้สาระกับหลานจื่อเฉิน : “แต่กับน้าบางคน เกรงว่าหลานฉี่รดผ้าอ้อมก็จะเปลี่ยนไม่เป็น!”
“ใครบอกว่าฉันทำไม่เป็น?!” หลานจื่อเฉินโมโห : “ฉันเห็นหวันหว่านถูกคุณเลี้ยงดูอยู่สองสามเดือน จนตัวผอมไปหมด ผอมกว่าในรูปก่อนหน้านี้ที่พี่สาวถ่ายไว้ซะอีก……”
เห็นว่าจะทะเลาะกัน หลานเสี่ยวถางจึงรีบพูดขึ้นว่า : “เอาล่ะๆ อย่าเถียงกันเลย จื่อเฉิน คุณบอกว่าอยากจะอุ้มหวันหว่านไม่ใช่เหรอ? เธอตื่นแล้วก็ถือโอกาสอุ้มสักหน่อยไหม?”
หลานจื่อเฉินสีหน้าตื่นเต้นดีใจ : “โอเค!”
เขายื่นแขนออกไป อุ้มเจ้าตัวเล็กมาไว้ในอ้อมแขนอย่างประหม่า เห็นเธอมองเขาอย่างแปลกใจ ด้วยเหตุนี้จึงก้มหน้าลงมา หอมแก้มหวันหว่านหนึ่งที
หลังจากหอมไปหนึ่งทีแล้ว ก็รู้สึกดีอย่างมาก ด้วยเหตุนี้จึงเปลี่ยนไปหอมแก้มอีกข้างต่อ
ด้านข้าง เย่ซีโจวที่มองเจ้าตัวเล็กอยู่ ทันใดนั้นก็นึกถึงเย่เหลียนอีที่เพิ่งเกิดในตอนนั้น แววตาก็เหม่อลอยไปชั่วขณะหนึ่ง
หวันหว่านตื่นแล้ว ดูเหมือนว่าทุกคนจะลืมความตึงเครียดไปชั่วขณะ ทุกๆคนต่างพูดคุยหยอกล้อกับเธอ จนกระทั่งเจ้าตัวเล็กหาว แล้วก็หลับไป
หลังจากนั้นก็ประชุมกันต่อ
นอกจากหลานเสี่ยวถางที่จำเป็นต้องไปนอน และให้นมลูกแล้ว คนอื่นๆก็ไม่ได้นอนตลอดทั้งคืน
อย่างไรก็ตาม ในที่สุดผลการเจรจาก็ออกมา
ผลสรุปก็คือว่า ต่อไปนี้ทั้งสามตระกูลจะร่วมมือกัน ลงนามเซ็นสัญญาอย่างเป็นทางการ
เดิมที ที่บริษัทเทคโนโลยีรายย่อยต้องยกส่วนของผลประโยชน์และผลกำไรให้ ตอนนี้ก็ไม่ต้องให้อีกแล้ว แต่หลานเสี่ยวถางในทุกๆปีต้องพาหวันหว่านไปพักที่ตระกูลเพอร์เซลล์เป็นเวลาสามเดือน และในช่วงเวลานั้น สือมูเฉินก็อยู่ที่นั่นได้เช่นกัน
หวันหว่านจะได้รับการเลี้ยงดูโดยสือมูเฉินกับหลานเสี่ยวถาง แต่ตระกูลเพอร์เซลล์จะเพิ่มเธอเข้าไปในลำดับวงศ์ตระกูล ถือว่าเป็นสมาชิกในวงศ์ตระกูลอีกคนหนึ่ง หลังจากที่เธอเติบโตขึ้น ก็จะปฏิบัติหน้าที่ส่วนหนึ่งของคนในตระกูล และจะได้รับการสวัสดิการโดยตรงจากวงศ์ตระกูลอีกด้วย
ถึงแม้ว่า สือมูเฉินจะสมัครใจที่จะยกผลกำไรให้เพราะไม่ต้องการให้หลานเสี่ยวถางและหวันหว่านอยู่ที่นั่นเป็นเวลาสามเดือน แต่สำหรับเรื่องนี้ ทางด้านเพอร์เซลล์ก็แข็งกร้าวอย่างมาก
ทั้งสองฝ่ายปรึกษาหารือกันมานานก็ไม่มีผลสรุป สุดท้ายเย่ซีโจวก็บอกว่า ถึงอย่างไรสือมูเฉินก็สามารถเข้าไปที่นั่นได้ อย่างมากที่สุดก็ไปเที่ยวพักผ่อนที่เพอร์เซลล์ได้ทุกปี
ด้วยเหตุนี้ ทุกสิ่งทุกอย่างจึงเป็นฉันทามติ เพอร์เซลล์ก็สามารถกระชับความร่วมมือกับออเนอร์ได้ สัญญาการแต่งงานระหว่างโอหยางจวิ้นและหลานเสี่ยวถางในตอนแรกนั้น ก็ถือเป็นโมฆะ
เช้าตรู่วันต่อมา หวันหว่านตื่นขึ้นมา หลานเสี่ยวถางป้อนนมเธอแล้ว พออุ้มออกไป โอหยางจวิ้นที่อิงอยู่บนโซฟาก็ลืมตาขึ้น
เขาเดินเข้าไป แล้วยื่นมือไปอุ้มหวันหว่าน
เจ้าตัวน้อยคล้ายกับได้กลิ่นที่คุ้นเคย ก็โผเข้าหาอ้อมกอดของโอหยางจวิ้นด้วยความดีใจ
สือมูเฉินที่อยู่ข้างๆก็ลืมตาขึ้น เมื่อเห็นภาพเหตุการณ์นี้ หัวใจก็ปวดร้าว รู้สึกเหมือนกับว่ามีมดนับพันนับหมื่นตัวกำลังปีนไต่อยู่ในหัวใจ
เพียงแต่เขาก็เข้าใจว่า อนาคตยังอีกยาวไกล เพราะโอหยางจวิ่นและหวันหว่านอยู่ด้วยกันมาเป็นเวลานาน หวันหว่านจะคุ้นเคยกับเขาก็เป็นเรื่องปกติ เขามักจะอยู่ด้วยกันกับหวันหว่าน เจ้าตัวน้อยก็ต้องรักมากกว่าพ่ออยู่แล้ว!
ในเมื่อทุกคนปรึกษาหารือกันดีแล้ว ก็ไม่จำเป็นต้องอยู่ในเมืองท่าเรือเล็กๆนี้อีกต่อไป
ด้วยเหตุนี้ หลานเสี่ยวถางและคนอื่นๆจึงขึ้นเฮลิคอปเตอร์ และกลับไปที่รัฐฟลอริดา
ในออเนอร์ หลานเสี่ยวถางเพิ่งจะกล่อมหวันหว่านหลับไป พอเดินออกมา ก็เห็นเย่ซีโจวกำลังดูภาพถ่ายของตนเองกับหวันหว่านอยู่
และข้างๆ เย่เหลียนอีก็กำลังพูดคุยอะไรบางอย่างกับเย่ซีโจว ด้วยบรรยากาศที่เงียบสงบ
สือมูเฉินเห็นเธอ จึงเดินเข้ามา : “ทำไมไม่นอนกับหวันหว่านสักพักล่ะ?”
หลานเสี่ยวถางยิ้มแล้วกล่าวว่า : “ฉันยิ่งนอนก็ยิ่งอ้วน คุณดูสิ เอวของฉันหนาขึ้นกว่าเมื่อก่อนอีกชั้นหนึ่งแล้ว”
“รูปร่างตอนนี้กำลังดีนะ” สือมูเฉินพูดพลาง เข้าใกล้ข้างๆหูของหลานเสี่ยวถาง : “หน้าอกก็ใหญ่มากขึ้นกว่าเมื่อก่อนด้วย”
แก้มของหลานเสี่ยวถางแดงขึ้นมาทันที เธอผลักสือมูเฉินเล็กน้อย นึกถึงเรื่องสำคัญ จึงกล่าวกับเย่ซีโจวว่า : “คุณปู่ ฉันมีเรื่องที่อยากจะพูดกับคุณค่ะ”
เย่ซีโจวเห็นการแสดงออกที่จริงจังของหลานเสี่ยวถาง ก็อดไม่ได้ที่จะวางมือถือลงแล้วกล่าวว่า : “ถางถาง คุณอยากพูดอะไรเหรอ?”
หลานเสี่ยวถางมองคนอื่นๆเล็กน้อย จากนั้นก็กล่าวว่า : “คุณปู่ พวกเราคุยกันเป็นการส่วนตัวได้ไหมคะ?”
ด้วยเหตุนี้ เย่ซีโจวจึงพาหลานเสี่ยวถางไปอีกห้องหนึ่ง : “ถางถาง มีเรื่องอะไรที่ต้องการให้ปู่ตัดสินใจแทนคุณ ก็พูดมาได้เลย!”
หลานเสี่ยวถางปิดประตูแล้ว ในทันใด ก็คุกเข่าลงต่อหน้าเย่ซีโจว!
สีหน้าของเย่ซีโจวเปลี่ยนไป : “ถางถาง นี่คุณกำลังทำอะไร ลุกขึ้นมาเดี๋ยวนี้!”
“คุณปู่ คุณฟังฉันพูดให้จบก่อนนะ” หลานเสี่ยวถางเงยหน้ามองผู้ชายที่ตัดสินใจเด็ดขาดคนนี้ จอนผมสองข้างของเขาย้อมไปด้วยสีขาวหงอก บนใบหน้าที่มีจิตใจเด็ดเดี่ยว ฉาบทาไปด้วยการผ่านโลกมาอย่างโชกโชน
รอบดวงตาของเธอร้อนผ่าวขึ้นมาเล็กน้อย สูดลมหายใจเข้าลึกๆ สามารถปรับอารมณ์ได้แล้ว จึงเอ่ยปากว่า : “คุณปู่ ในช่วงเวลาสองเดือนกว่านี้ที่ฉันกับหวันหว่านแยกจากกัน เป็นครั้งแรกจริงๆที่ได้ลิ้มรสความเจ็บปวดจากการแยกเลือดเนื้อ
สามารถนึกภาพออกเลยว่า ในตอนนั้นหลังจากแม่และเธอพลัดพรากจากกัน ช่วงเวลานั้น มันช่างสิ้นหวังและหมดหนทางเพียงใด
แม่ผ่านเรื่องราวมากมาย ตอนนี้ ฉันกับจื่อเฉินก็โตแล้ว พวกเราอยู่ข้างกายเธอ กระทั่ง แม่ยังมีหวันหว่านหลานสาวตัวน้อยอีกคนหนึ่ง ดูเหมือนว่า ทุกสิ่งทุกอย่างจะหวนกลับมาอยู่พร้อมหน้ากันอีกครั้ง
แต่การอยู่เคียงข้างของลูกๆกับการอยู่เคียงข้างของสามี มันต่างกันอย่างชัดเจน
ต่อให้พวกเราดีกับแม่ขึ้นไปอีก ก็ไม่สามารถชดเชยความรู้สึกเสียใจที่เกิดจากการไม่มีสามีอยู่เคียงข้างได้
แม่กับพ่อแยกจากกันมายี่สิบหกปีแล้ว คุณปู่ แม่ไม่ใช่เด็กๆเหมือนเมื่อก่อนอีกแล้ว หรือว่าคุณอยากเห็นเธอแยกจากพ่อไปแบบนี้ชั่วชีวิตจริงๆ?
คนจีนมีคำพูดที่ว่า เงินทองเป็นของนอกกาย บางที พ่อกับแม่ได้พบหน้ากัน อาจจะส่งผลกระทบต่อสิ่งเหล่านี้ แต่หลังจากร้อยปีแล้ว ใครก็ไม่สามารถกอบโกยดินเหลืองนี้ไปได้ ต่อให้มีภูเขาทองภูเขาเงินมากเท่าไร ก็ไม่สามารถเอาไปได้โดยสิ้นเชิง
แต่สิ่งที่มีความสุขที่สุดคือการมีชีวิตอยู่บนโลก นี่จึงเป็นสิ่งที่พวกเราควรจะไขว่คว้าและทะนุถนอมเอาไว้
ถึงแม่จะดูเข้มแข็ง แต่ฉันก็มองออกว่า ตอนที่เธอเห็นมูเฉินปฏิบัติดีกับฉัน ตอนที่มูเฉินอุ้มหวันหว่าน ในดวงตาก็ปรากฏน้ำตาแห่งความอิจฉาและความเสียใจ
เมื่อเธอเห็นคนอื่น กระทั่งในออเนอร์ของพวกเรา คนรับใช้ที่ไม่น่าสนใจที่สุด หลังจากเลิกงาน จะมีครอบครัวอยู่เคียงข้าง ในแววตาก็ยังคงเหม่อลอย
คุณปู่ แม่มีทั้งเงินทองและฐานะที่ทำให้คนอื่นอิจฉา แต่ทำไมสายตายังแอบไปอิจฉาคนเหล่านั้นที่ทำงานชั้นล่างสุดของสังคมอีกล่ะ? คุณเคยคิดบ้างไหม?
เธอก็เป็นคน อีกอย่างเธอเป็นลูกสาวแท้ๆของคุณด้วย! คุณจะใจแข็งปล่อยให้เธอโดดเดี่ยวไปแบบนี้ชั่วชีวิตจริงๆเหรอ?”
เย่ซีโจวคาดไม่ถึงจริงๆว่า หลานเสี่ยวถางจะเอ่ยถึงเรื่องนี้
พอหลานเสี่ยวถางพูดจบ ภายในห้อง ก็จมดิ่งไปด้วยความเงียบ
เวลาผ่านไปทีละนิดๆ ความเงียบยิ่งนานขึ้น บรรยากาศก็ยิ่งหยุดนิ่ง ความกดดันก็ยิ่งมากขึ้น
แต่หลานเสี่ยวถางยืดหลังตรง สายตามองตรงไปยังเย่ซีโจว ยืนหยัดที่จะรอคำตอบจากเขา
“ถางถาง” ในที่สุดเย่ซีโจวก็เอ่ยปาก : “คุณรู้ไหมว่า ก่อนหน้านี้ อันที่จริงจื่อเฉินก็เคยพูดแทนแม่ของคุณแล้ว?”
ถึงแม้ว่าจะไม่เคยได้ยินหลานจื่อเฉินเอ่ยปาก แต่หลานเสี่ยวถางก็สามารถจินตนาการได้
เธอพยักหน้า : “แล้วคุณตอบเขาว่ายังไงเหรอคะ?”