ตอนที่ 421 มีเพียงคนเดียวที่ถอนตัวไปได้อย่างปลอดภัย (2)

เหนียงจื่อของคุณชายขี้โรค

ตอนที่ 421 มีเพียงคนเดียวที่ถอนตัวไปได้อย่างปลอดภัย (2)

“ตอนที่หลูเจิ้งหยางล่อกุ่ยซาออกไปจากจวนกั๋วกงก็ได้ออกจากเมืองไปทันที มีทหารที่เฝ้ารักษาเมืองเห็นพ่ะย่ะค่ะ ใต้เท้าน่าเกรงว่าจะทำฝ่าบาทเสียเรื่องจึงไม่ได้ส่งคนตามไป”

“ออกจากเมือง?” ฮ่องเต้เคร่งเครียด “เช่นนั้นกุ่ยซาเล่า”

“กุ่ยซาเพิ่งจะกลับเมือง ตอนนี้น่าจะอยู่จวนกั๋วกงที่กลายเป็นซากปรักหักพัง ดูท่าจะตามหลูเจิ้งหยางไปไม่ทันพ่ะย่ะค่ะ”

ฮ่องเต้พระพักตร์หม่นหมอง น้ำเสียงยังคงกดลงต่ำ “กล่าวเช่นนี้ เราถูกคนวางแผนให้ร้ายเช่นนั้นหรือ!” ในเวลาเช่นนี้ ผู้ที่สามารถลงมือวางเพลิงได้ก็มีแค่คนเดียว นั่นก็คือหลูเจิ้งหยาง

สิ่งที่พบเจอมากที่สุดในชั่วชีวิตนี้ของฮ่องเต้ก็คือแผนร้าย ยามนี้ตระกูลมั่วมิได้ส่งคนมา ส่วนหลูเจิ้งหยางไม่เพียงแต่จะไม่มารายงานผลการปฏิบัติภารกิจขอรางวัล กลับฉวยโอกาสออกจากเมือง…เขาถูกคนซ้อนแผนร้ายเข้าให้แล้ว นั่นไม่ใช่เรื่องที่ปรากฏขึ้นตรงหน้านี้หรอกหรือ

ผู้นำตระกูลมั่วยังปรารถนาในบรรดาศักดิ์กั๋วกง เขามิกล้า และไม่มีทางทำ ในเมื่อไม่ใช่หัวหน้าตระกูลมั่วเป็นคนทำ ก็มีเพียงแค่หลูเจิ้งหยาง

หลูเจิ้งหยางหนอ หลูเจิ้งหยาง มองเจ้าผิดไปจริงๆ

ถึงกับกล้าให้ข้าแบกรับความผิดในเรื่องที่ไม่ได้ก่อเช่นนี้!

เจ้าไม่กลัวว่าความลับถูกเปิดเผย ตอนที่ข้าอับจนหนทางจะเอ่ยชื่อเจ้าออกไปหรือ

หรือไม่ก็ เจ้าพนันแล้วว่าข้าไม่กล้าประกาศให้ทุกคนรู้ เจ้าคิดจะให้ข้ากับหนิงเซ่าชิงเป็นศัตรูกันอย่างเปิดเผย…

ชั่วขณะหนึ่ง ฮ่องเต้คิดไม่ออกว่าเหตุใดหลูเจิ้งหยางถึงได้ทำเช่นนี้ ส่วนเขาที่เดือดดาลถึงขีดสุด ก็ทำได้เพียงแค่บันดาลโทสะใส่ผู้อื่น “เพลิงไหม้รุนแรงขนาดนี้ ใต้เท้าน่าทำอันใดอยู่กัน”

หัวหน้าขันทีสามารถมีชีวิตอยู่ภายใต้เงื้อมมือของฮ่องเต้มานานขนาดนี้ ย่อมมีความกล้าอยู่บ้าง รู้ว่าตอนไหนควรจะเงียบ และรู้ว่าตอนไหนควรจะโน้มน้าว

“หนูไฉ[1] นึกว่าฝ่าบาทมีประสงค์ให้ใต้เท้าน่านิ่งเฉยเพื่อรอดูสถานการณ์ ดังนั้นใต้เท้าน่าถึงได้นึกว่าเพลิงไหม้นั้นเป็นฝ่าบาทที่ตั้งใจให้คนลงมือ ถึงได้ไม่ยื่นมือเข้าไปยับยั้งพ่ะย่ะค่ะ”

ใต้เท้าน่าเคยเป็นผู้บัญชาการองครักษ์ในวัง ตอนนี้ก็เป็นผู้ช่วยของฮ่องเต้ แม้ว่าจะกระทำความผิด ฮ่องเต้ก็ไม่มีทางลงโทษหนักจริงๆ เรื่องราวผิดพลาดไป คนที่โชคร้ายก็คือพวกเขาที่เป็นข้ารับใช้ไม่ใช่หรือ มิสู้โน้มน้าวฮ่องเต้ในยามนี้ ขอความเมตตาให้กับใต้เท้าน่า

วาจาของขันทีคนสนิท ฮ่องเต้จะไม่รู้เหตุผลได้เช่นไร!

ฮ่องเต้ไร้ที่ให้ระบายโทสะ ก็ทำได้เพียงแค่กำหมัดแล้วทุบลงบนโต๊ะ

ใช่แล้ว ถ้าหากไม่ใช่เขาให้คนของแม่ทัพเก้าประตูหย่อนยาน หลูเจิ้งหยางจะพาคนไปซ่อนตัวละแวกใกล้จวนกั๋วกงอย่างเปิดเผยได้เช่นไร เพียงแค่รอโอกาสที่เหมาะสม?

ถ้าหากเขาไม่ได้ให้น่าอู่ฉังนิ่งเฉยเพื่อรอดูสถานการณ์ เพลิงที่หลูเจิ้งหยางวางเอาไว้จะลุกขึ้นมาและถอนตัวออกไปอย่างปลอดภัยได้เช่นไร

ตอนนี้ฮ่องเต้อยากจะลงโทษประหารหลูเจิ้งหยางด้วยพันมีดหมื่นแล่ จนปัญญาที่ไม่มีหลักฐาน

แม้ว่าจะเป็นฮ่องเต้ หากคิดอยากจะลงโทษคนคนหนึ่งโดยไร้ซึ่งหลักฐานก็ไม่ง่ายเช่นกัน

เขาไม่สามารถประกาศลงโทษหลูเจิ้งหยางอย่างเปิดเผย เพราะนั่นเท่ากับการบอกกับใต้หล้าว่า เขาเป็นผู้ให้หลูเจิ้งหยางวางเพลิง

เพลิงโทสะลามไปทั่วร่างฮ่องเต้ แต่เขากลับทำได้เพียงแค่นั่งขบเขี้ยวเคี้ยวฟันอยู่บนบัลลังก์มังกร “ส่งคนไปเทียนเผย ‘เชิญ’ บิดามารดาและพี่น้องทั้งหมดของเขามาที่เมืองหลวงให้ข้าลับๆ”

หัวหน้าขันทีกลับไม่ได้ผ่อนคลาย เรื่องนี้ผ่านไปแล้ว แต่ก็ยังมีอุปสรรคที่ยังไม่ผ่านไปอีก “พ่ะย่ะค่ะ หนูไฉจะไปจัดการเดี๋ยวนี้ ฝ่าบาทยังมีสิ่งใดจะรับสั่งอีกหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”

ในฐานะข้ารับใช้ไม่เพียงแต่ต้องแบ่งเบาความทุกข์ แต่ยังต้องเตือนเรื่องที่ฮ่องเต้ตกหล่นด้วย

ฮ่องเต้คิ้วขมวดเป็นปม นึกขึ้นได้ว่าเรื่องที่จะจับบิดามารดาและพี่น้องของหลูเจิ้งหยางนั้นไม่รีบร้อน ยังมีเรื่องเร่งรีบยิ่งกว่าที่จำเป็นต้องให้เขาจัดการแก้ไขปัญหาที่จะเกิดขึ้นในภายหลัง “จวนกั๋วกงไหม้แล้ว มั่วเชียนเสวี่ยเล่า”

หัวหน้าขันทีตอบ “ได้ยินมาว่า…ได้ยินว่า…หลังจากไฟไหม้ มีเพียงแค่บ่าวไพร่สาวใช้ไม่กี่คนที่หนีออกมาจากจวนกั๋วกง ผู้รอดชีวิตจากเปลวเพลิงยังมีพวกองครักษ์บางส่วน เรือนของคุณหนูใหญ่มั่วถูกเผาราบเป็นหน้ากลอง…เกรงว่า…สถานการณ์ท่าจะไม่ดีพ่ะย่ะค่ะ…” นี่ต่างหากที่เป็นเรื่องที่เขากังวลใจอย่างแท้จริง

หัวหน้าขันทีเอ่ยอย่างอ้อมค้อม แต่ฮ่องเต้กลับฟังเข้าใจ จึงมีอาการไม่ค่อยดี เกือบจะกลิ้งลงมาจากบัลลังก์มังกร

บัญชีความแค้นที่จวนกั๋วกงถูกเผาวอดวายได้ถูกโยนให้เป็นความผิดของฮ่องเต้แล้ว ทว่า ก็แค่จวนหลังหนึ่งเท่านั้นเอง ไหม้ก็ไหม้ไป เลวร้ายที่สุดก็แค่ทุ่มเงินสร้างขึ้นมาใหม่

ถ้าหากว่ามั่วเชียนเสวี่ยอยู่ในกำมือ เขายังเป็นฝ่ายมีอำนาจ

แต่ คนล่ะ คนไม่อยู่แล้ว…

เขาไม่เพียงแต่สูญเสียเส้นทางการควบคุมอำนาจทางการทหาร แต่ยังต้องเตรียมแบกรับเพลิงโทสะของตระกูลหนิงด้วย

ที่เลวร้ายยิ่งกว่า หากมั่วเชียนเสวี่ยมีการติดต่อกับชายแดนตะวันตก เขายังจะต้องพบกับแรงกดดันจากชายแดนตะวันตกด้วย แผนการที่วางเอาไว้ทั้งหมดก็จะไม่มีวันประสบความสำเร็จ

ตอนนี้ก็เหมือนคนจับปลาสองมือที่คว้าน้ำเหลวทั้งหมด แม้ว่าเขาจะมีตำแหน่งเป็นถึงฮ่องเต้ แต่ก็ตะลึงค้างไปชั่วขณะเช่นกัน

ฮ่องเต้ที่รับรู้ได้ถึงความรุนแรงของสถานการณ์ก็ตัวอ่อนอยู่บนบัลลังก์มังกร

ความผิดในครั้งนี้ เขาถูกกำหนดให้เป็นผู้แบกรับแน่นอน

ดั่งเช่นในวันนั้น ความผิดในเรื่องการตายของมั่วกั๋วกง

มีคนแนะนำเจิ้นหนานอ๋องว่า เมื่อหนานหลิงเคลื่อนทัพ ขอเพียงแค่ให้เจิ้นกั๋วกงนำทัพมาสนับสนุน ประการแรกสามารถหลุดจากวงล้อมของศัตรู ประการที่สองสามารถรักษาอำนาจของราชวงศ์และลดทอนอำนาจทางการทหารของตระกูลมั่วได้

ทว่า คนคำนวณมิสู้สวรรค์ลิขิต มั่วกั๋วกงถูกขังเอาไว้ เสบียงอาหารถูกปล้นชิง…

เรื่องแล้วเรื่องเล่า เดิมเจิ้นกั๋วกงคิดจะลงมือ ตอนนี้ผู้ที่เสนอแผนการกลับเอ่ยว่า ทหารที่ชายแดนตะวันตกส่งมาอยู่ระหว่างทาง ทั้งยังบอกว่าท่ามกลางทหารที่ชายแดนตะวันตกส่งมาอาจจะมีไส้ศึกที่ปลุกระดมให้ทหารก่อการกบฏ ท่านอ๋องกลัวว่าจะถูกศัตรูที่อยู่ด้านหลังจู่โจม จึงได้นิ่งเฉยรอดูสถานการณ์ รอจนทัพใหญ่จากชายแดนตะวันตกมาถึงก็สามารถโจมตีชาวหนานหลิงให้ถอยไปก็ยังไม่สาย…

ในภายหลัง…ในภายหลัง ถึงแม้ว่าจะประหารคนที่เสนอแผนการผู้นั้นแล้ว กลับไม่สามารถฟื้นคืนชีพให้กับมั่วเทียนฟ่างได้

แม้ว่าเขาจะไม่ชอบมั่วเทียนฟ่าง แต่ก็ไม่หวังให้เขาตายเร็ว และไม่หวังให้การตายของเขาเกี่ยวข้องอันใดกับราชวงศ์

แต่ความจริงแล้ว อย่างไรเสียก็เป็นการสิ้นชีพในสงคราม ยังปิดบังได้เล็กน้อย แม้ว่าคนที่ชายแดนตะวันตกจะเกลียดแค้นก็ไม่สามารถมาถามราชวงศ์ต่อหน้าได้

ตอนนี้เรื่องของตระกูลมั่วเกิดขึ้นในเมืองหลวง อย่างไรก็ปิดบังไม่ได้ ยิ่งไปกว่านั้น ยังมีหนิงเซ่าชิงที่ออกหน้าให้กับมั่วเชียนเสวี่ยด้วย

หนิงเซ่าชิงไม่ใช่คนที่จะสามารถขายผ้าเอาหน้ารอดใส่ได้!

ห้องทรงพระอักษรเงียบไปครู่หนึ่ง สรรพสิ่งนิ่งค้าง

ผ่านไปเนิ่นนาน ฮ่องเต้ถึงได้มีราชโองการ “ส่งคนไปช่วยเหลือจัดการปัญหาที่จะเกิดขึ้นในภายหลังของจวนกั๋วกง ถ่ายทอดราชโองการให้ผู้ตรวจการวั่นไปปลอบใจหัวหน้าตระกูลหนิงแทนข้า และแจ้งให้ใต้เท้าน่า แม่ทัพเก้าประตูจับคนร้ายที่วางเพลิง…” น้ำเสียงอ่อนแรงอย่างที่สุดคล้ายกับคว้าที่พึ่งสุดท้ายได้

หัวหน้าขันทีที่ได้รับคำสั่งก็รีบลุกขึ้น ถอยหลังไปหลายก้าว ถึงได้หมุนตัวเดินออกไปข้างนอกอย่างเร่งรีบ

เพิ่งจะถึงประตู ก็มีเสียงโหดเหี้ยมของฮ่องเต้ดังลอยมาจากด้านหลัง “ไม่ว่าจะเป็นสถานที่ใดก็ต้องจับหลูเจิ้งหยางให้ได้”

น้ำเสียงนี้คล้ายกับดังออกมาจากนรกอเวจี ทำให้หัวหน้าขันทีที่มีสภาพจิตใจยอดเยี่ยมแผ่นหลังแข็งทื่อและตัวสั่นระริกในเวลาเดียวกัน

เบื้องบนลือข่าวเรื่องมั่วเชียนเสวี่ยสิ้นชีพในทะเลเพลิง ใต้เรือนเสวี่ยหว่าน ท่ามกลางเส้นทางลับ มั่วเชียนเสวี่ยกลับรับมั่วเหนียงมาจากชูอี

จัดการคนชุดดำพวกนั้นเรียบร้อยแล้ว ในช่วงเวลาคับขัน พ่อบ้านมั่วจึงฝ่าเปลวเพลิงเข้าไปในเรือนหลักของมั่วเชียนเสวี่ย เปิดพื้นกระเบื้องขึ้นมาแผ่นหนึ่ง เมื่อหมุนกลไก ข้างในรัศมีสามชุ่นของประตูเรือนหลักก็ปรากฏหลุมดำขึ้นมาหนึ่งหลุม

พ่อบ้านมั่วส่งเสียงเรียก และเป็นผู้นำในการกระโดดเข้าไปในหลุมดำนั้น ทุกคนก็กระโดดตามเข้าไปเส้นทางลับใต้ดินอย่างไม่มีทางเลือก

[1] หนูไฉ คือ คำสรรพนามที่ข้ารับใช้เรียกแทนตนเอง