ตอนที่ 422 มีเพียงคนเดียวที่ถอนตัวไปได้อย่างปลอดภัย (3)

เหนียงจื่อของคุณชายขี้โรค

ตอนที่ 422 มีเพียงคนเดียวที่ถอนตัวไปได้อย่างปลอดภัย (3)

เมื่อทุกคนเข้าไปในเส้นทางลับ กลไกด้านบนก็ปิดเองทันที เปลวเพลิงและเสียงอึกทึกครึกโครมข้างนอกก็ไม่เกี่ยวข้องอันใดกับด้านในอีก

พ่อบ้านมั่วจุดคบเพลิงในเส้นทางลับ พลางอธิบายความเป็นมาของเส้นทางลับนี้กับมั่วเชียนเสวี่ย

“เส้นทางลับแห่งนี้ถูกสร้างโดยท่านกั๋วกงในปีนั้น สร้างเพื่อป้องกันคนลอบโจมตี…ทางออกของเส้นทางลับอยู่ในร้านเล็กๆ ที่อยู่ห่างจากจวนกั๋วกงสามลี้กว่าร้านหนึ่ง…

ดูท่ามั่วเหนียงก็รู้เรื่องเส้นทางลับนี้เช่นกัน จึงมองไปทางมั่วเหนียงที่พยักหน้าอย่างอ่อนแรง มั่วเชียนเสวี่ยก็เข้าใจได้ในทันที

ไม่ต้องกล่าวเลยว่า ในเมื่อทางใต้ดินเส้นนี้สร้างอยู่ที่เรือนเสวี่ยหว่านของนาง ย่อมเพื่อปกป้องความปลอดภัยของนาง

ออกจากทะเลเพลิงมา หลายคนล้วนร่างกายอ่อนล้า ย่อมต้องหยุดพักผ่อนในที่แห่งนี้

รอทุกคนฟื้นฟูกำลังได้บางส่วน พ่อบ้านมั่วก็ลุกขึ้นหยิบคบเพลิงขึ้นมาแล้วเดินนำทางทุกคนออกจากเส้นทางลับอยู่ข้างหน้าสุด

ทว่า ยังเดินไปได้ไม่ไกล ชูอีกลับพบว่าร่างกายของมั่วเหนียงปวกเปียก เห็นได้ชัดว่าไม่ไหวแล้ว

นี่ถึงได้เกิดภาพเหตุการณ์เมื่อครู่นี้ขึ้นมา เดิมชูอีแบกมั่วเหนียงไว้บนหลัง ตอนนี้มั่วเชียนเสวี่ยกลับรับมั่วเหนียงมาจากหลังชูอี วางครึ่งร่างของมั่วเหนียงไว้บนพื้นตามความต้องการของนาง ตนเองก็ย่อตัวลงมากึ่งโอบนางเอาไว้

เรือนผมสีนิลราวกับน้ำตกของมั่วเหนียงทิ้งตัวกระจาย เดิมหน้าตานางก็ไม่แย่ ดวงหน้าที่ปราศจากเครื่องประทินโฉมมีรอยเหี่ยวย่นเล็กน้อย ถึงแม้ว่าตอนนี้จะดูชราเป็นอย่างมาก ทว่าในสายตาของมั่วเชียนเสวี่ยกลับละมุนไร้ที่ติ

นัยน์ตาที่เลื่อนลอยเพราะได้รับบาดเจ็บสาหัส ทั้งยังเหนื่อยล้าไร้เรี่ยวแรงเพ่งมองในเสี้ยวพริบตา ราวกับแสงจันทราสว่างไสวที่ส่องผ่านเมฆครึ้มลงมา นางมองไปทางใบหน้าของมั่วเชียนเสวี่ยด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความอบอุ่น อ่อนโยน มีเมตตาของมารดา

พลางยื่นฝ่ามือหยาบกระด้างเล็กน้อยที่ไร้เรี่ยวแรงไปลูบดวงหน้าของมั่วเชียนเสวี่ยเบาๆ ริมฝีปากที่ยังไม่ทันจะเอ่ยวาจาก็ซีดลง กระทั่งแววตาก็มืดลงในชั่วพริบตา มั่วเชียนเสวี่ยน้ำตาเอ่อล้นออกมาจากหน่วยตาอย่างคิดไม่ถึงว่าจะเป็นเช่นนี้

“หมัวมัว หมัวมัว ท่านจะต้องหายดีแน่นอน” สืออู่ที่ดวงหน้าเต็มไปด้วยหยาดน้ำตาร้องขึ้นมา ชูอีหน่วยตาแดงระเรื่อ แต่กลับโน้มน้าวปลอบโยน “เพื่อคุณหนูใหญ่ ท่านจะต้องดูแลตนเองให้ดีถึงจะถูก”

ทั้งสองคนล้วนถูกคนในครอบครัวขายมา จึงติดตามมั่วเชียนเสวี่ยตั้งแต่ยังเยาว์วัย หลายปีมานี้ มั่วเหนียงก็ไม่ได้เห็นพวกนางเป็นคนนอก ปฏิบัติต่อพวกนางดีมาก ในใจพวกนาง มั่วเหนียงเป็นคนที่ใกล้ชิดยิ่งกว่ามารดาของตนเองเสียอีก

มั่วเหนียงคล้ายกับรวบรวมพละกำลังเฮือกสุดท้าย “คุณหนูใหญ่…ในภายภาคหน้าที่หมัวมัวไม่ได้อยู่ข้างกายท่าน ท่านจะต้องใช้ชีวิตอย่างปลอดภัยและมีความสุขนะเจ้าคะ”

มั่วเชียนเสวี่ยจับมือที่ลูบอยู่บนใบหน้าเอาไว้ พลางเช็ดน้ำตาเบามือ ถึงได้ฝืนแย้มรอยยิ้ม “หมัวมัว ข้าจะต้องเป็นเช่นนั้นแน่นอน”

เอ่ยจบ มั่วเชียนเสวี่ยก็แนบแก้มเข้ากับใบหน้าของมั่วเหนียงอย่างควบคุมไม่อยู่

สตรีวัยกลางคนผู้นี้ แม้ว่าจะดูแลนางเพียงแค่เดือนกว่า แต่ความรู้สึกรักและเอาใจใส่ดั่งคนในครอบครัวเช่นนี้กลับซึมลึกเข้ากระดูกไปนานแล้ว

นางเป็นคนในครอบครัวของนาง

มั่วเหนียงยกมือขึ้นลูบเรือนผมบริเวณท้ายทอยมั่วเชียนเสวี่ย มั่วเชียนเสวี่ยที่ข่มความโศกเศร้าในใจแล้วเงยหน้าขึ้นอีกครั้งก็สบเข้ากับสายตาซึ่งเต็มไปด้วยความอ่อนโยนที่จ้องนางเขม็ง สายตาที่อยู่ภายใต้ความสว่างไสวของคบเพลิง ลึกล้ำราวกับต้องการจะสลักรูปร่างหน้าตาของนางไว้ในก้นบึ้งนัยน์ตา

น้ำตาของมั่วเชียนเสวี่ยไหลทะลักลงมาทันที

“เด็กดี อย่าร้องไห้”

เอ่ยจบก็หันหน้าไปมองชูอีกับสืออู่ที่คุกเข่าอยู่อีกด้าน “ชูอี สืออู่ ในภายภาคหน้าต้องฝากฝังคุณหนูใหญ่…ไว้กับพวกเจ้าสองคนแล้ว…” ริมฝีปากของมั่วเหนียงประดับไปด้วยรอยยิ้มอ่อนโยน เสียงแหบพร่าอ่อนแรงกลับเต็มไปด้วยอำนาจที่ไม่ยอมให้ปฏิเสธ

“หมัวมัว…”

“พวกเจ้าฟังหมัวมัวกล่าวให้จบ” หมัวมัวเอ่ยขัดเสียงร้องด้วยความตกใจของทั้งสองคน

สายตามองไปมาขณะจ้องมองทั้งสองคนด้วยความแน่วแน่ มองจนทั้งสองคนนิ่งเงียบถึงได้เอ่ยเสียงอ่อนว่า “วันนี้ข้าเป็นลูกธนูที่สุดแรงบินแล้ว สามารถมีชีวิตอยู่ดูคุณหนูหลุดพ้นความลำบากได้ ก็เป็นพระคุณของสวรรค์แล้ว”

“มั่วเหนียง เจ้าอย่ารีบกล่าววาจาที่ทำให้หมดกำลังใจเช่นนี้ เจ้าจะต้องดีขึ้นแน่นอน ข้างกายคุณหนูใหญ่จะขาดเจ้าไปไม่ได้นะ” พ่อบ้านมั่วที่สุขุมก็อดไม่ได้ที่จะหน่วยตาแดงระเรื่อ แต่กลับยังคงปลอบโยน เขารู้จักกับมั่วเหนียงมานานหลายปี และทำงานร่วมกันอยู่ในจวนกั๋วกง หนึ่งคนปรนนิบัตินายท่าน หนึ่งคนติดตามฮูหยิน จะไม่มีความรู้สึกได้เช่นไร

อาซานกับอาอู่ และมั่วจื่อถังที่อยู่อีกด้านก็ถูกบรรยากาศโศกเศร้านี้ทำให้สะเทือนใจล้วนจมอยู่กับเรื่องในใจของตนเอง

มั่วเหนียงหัวเราะเงียบๆ “พ่อบ้าน ไม่ต้องปลอบข้าหรอก”

เอ่ยจบก็หลับตาลง สงบสติอารมณ์ครู่หนึ่ง ถึงได้เอ่ยต่อว่า “ชูอี สื่ออู่ ข้ามองดูพวกเจ้าเติบใหญ่ตั้งแต่ยังเยาว์วัย พวกเจ้ากับคุณหนูใหญ่ก็เหมือนกัน ล้วนเป็นบุตรีของข้า…ในภายภาคหน้า…ในภายภาคหน้า….ไม่มีหมัวมัวคอยดูแล ในขณะเดียวกันกับที่พวกเจ้าดูแลคุณหนูให้ดี ก็ต้องดูแลตัวเองให้ดีด้วยเช่นกัน ชูอี เจ้าสุขุม หมัวมัววางใจในตัวเจ้ามาก สืออู่กลับไม่เหมือนกัน นางใจร้อน…เจ้าต้องปรับตัวตามให้มาก…”

ชูอีที่คุกเข่าอยู่บนพื้นร้องไห้สะอื้น “หมัวมัว…หมัวมัว…ขอร้องท่านอย่าเอ่ยอีกเลย ในไม่ช้าก็จะออกจากทางใต้ดินแล้ว พวกเราจะพาท่านไปหาท่านหมอ”

สืออู่เห็นสีหน้ามั่วเหนียงซีดลงเรื่อยๆ ลมหายใจก็ไม่มั่นคงยิ่งขึ้น หัวใจก็เจ็บปวดอย่างยากจะทานทน คุกเข่าลงกับพื้นดังตึง ร้องไห้ตะโกนว่า “หมัวมัว…หมัวมัว…”

“สืออู่ เงียบปาก!” มั่วเหนียงได้ยินเสียงร้องที่ดังขึ้นเรื่อยๆ ของสืออู่ ก็กลัวจะถูกคนระแคะระคายถึงสถานที่แห่งนี้ แล้วนำอันตรายมาสู่มั่วเชียนเสวี่ย จึงพยายามตำหนิ

สืออู่ที่ถูกมั่วเหนียงตำหนิก็ได้สติคืนมาทันที กลั้นเสียงร้องไห้ด้วยความเจ็บปวดแผ่วเบาขึ้นมาแทน

มั่วเหนียงรู้สึกว่ามือเท้าไร้เรี่ยวแรง จึงสูดลมหายใจลึกไปหลายครั้ง และหันกลับมา ถึงได้ฝืนใช้น้ำเสียงที่สั่นเทาเล็กน้อยเอ่ยว่า “คุณหนูใหญ่ ก่อนบ่าวจะตายมีเพียงเรื่องเดียวที่อยากขอร้อง”

“หมัวมัว… กล่าวมาเถอะ…” มั่วเชียนเสวี่ยเงยดวงหน้าที่เต็มไปด้วยคราบน้ำตาขึ้นมองมั่วเหนียงที่ใกล้จะไม่ไหวแล้วด้วยความสิ้นหวัง หมัวมัวเป็นสาวใช้มาครึ่งชีวิต อยู่ที่จวนกั๋วกงไร้ญาติขาดมิตร เกรงว่าจะเห็นตนเองเป็นญาติของนาง หลังจากตายก็ฝังไว้ที่บ้านเกิด ดวงวิญญาณจะได้มีที่พึ่งพิง ชาติหน้าจะได้อยู่ในครอบครัวที่ดี…คนโบราณหวาดกลัวการสิ้นชีพในสถานที่ห่างไกลจากบ้านเกิดเมืองนอนมากที่สุด…

“คุณหนูใหญ่ จะเป็นหรือตายนั้นอยู่ที่โชคชะตาฟ้าลิขิต บ่าวรู้ว่าท่านอาลัยอาวรณ์…แต่ว่า…วันนี้ที่บ่าวได้ยอมสละเพื่อคุณหนูใหญ่กลับยินดีปรีดา…ยินดีปรีดามาก…”

มั่วเชียนเสวี่ยตะลึงค้าง!

“บ่าวขอเพียงแค่…ขอเพียงแค่…หลังจากตายไป คุณหนูใหญ่…คุณหนูใหญ่…สามารถฝังบ่าวไว้…ข้างกาย…ฮูหยิน ให้บ่าว…ยังสามารถปรนนิบัติฮูหยิน…ฮูหยินกับท่านกั๋วกง…ในยมโลกได้อีก…”

นางนิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนจะยิ้มออกมาอย่างโศกเศร้า “ความจริงแล้ว บ่าว….ตอนที่บ่าวได้ยินว่าท่านกั๋วกงสิ้นชีพและฮูหยินฆ่าตัวตาย ก็ไม่อยากมีชีวิตอยู่อีกแล้ว ถ้าหากไม่ได้เป็นห่วงคุณหนู บ่าวคงติดตาม…ติดตามท่านกั๋วกงไปนานแล้ว…สุดท้าย…สุดท้ายนี้…ขอให้คุณหนูใหญ่ตามหา…คนร้ายที่อยู่เบื้องหลังตัวจริง…เพื่อล้างแค้น…ล้างแค้นให้กับท่านกั๋วกงให้ได้นะเจ้าคะ!”

วาจาของมั่วเหนียงเจือไปด้วยความเกลียดชัง ลมหายใจก็กระชั้นถี่ตามไปด้วย สีหน้าขาวซีดปรากฏริ้วแดงที่ไม่ปกติ เห็นได้ชัดว่าวาจาเมื่อครู่นี้สิ้นเปลืองกำลังวังชาเป็นอย่างมาก นัยน์ตาที่ฝืนเพ่งมองก็เลื่อนลอยขึ้นเรื่อยๆ

มั่วเชียนเสวี่ยที่ได้ยินวาจาเหล่านี้ก็ร้องไห้สะอึกสะอื้นไปนานแล้ว แต่กลับกลัวว่าเสียงร้องไห้จะเพิ่มความโศกเศร้าให้กับมั่วเหนียงมากขึ้น จึงจงใจกัดริมฝีปากอดกลั้น ชั่วขณะหนึ่ง ก็มีความโศกเศร้าจางๆ แผ่กระจายภายในเส้นทางใต้ดินที่คับแคบแห่งนี้