ตอนที่ 423 มีเพียงคนเดียวที่ถอนตัวไปได้อย่างปลอดภัย (4)
ถึงตอนนี้ ในใจนางยังมีอันใดที่ไม่เข้าใจอีก ใกล้จะตายแล้วแต่กลับมีความสุข เพียงเพราะจินตนาการว่าหลังจากตายไปแล้วจะได้พบกับคนที่อยู่ในใจผู้นั้น…เผชิญหน้ากับความรู้สึกและภาพเหตุการณ์ตรงหน้า จะไม่ทำให้คนเจ็บปวดร้าวรานได้อย่างไร!
ถามโลกหล้า ความรักนั้นคือสิ่งใด แม้นว่าเป็นตายก็ขออยู่เคียงคู่กัน!
ผ่านไปครู่หนึ่ง มั่วเหนียงก็ค่อยๆ หายใจช้าๆ จากนั้นดวงหน้าซีดขาวกลับมีกลิ่นอายชีวิตที่ใกล้จะมอดดับขึ้นมา แต่ก็ยังคงกำชับอย่างกินแรงว่า “คุณหนูใหญ่…เมื่อออกไปแล้ว…ก็อย่าลืม…ฝังข้า…ไว้ข้างกายท่านกั๋วกงกับฮูหยินนะเจ้าคะ”
เอ่ยจบแล้ว ฟันของมั่วเชียนเสวี่ยที่กัดริมฝีปากข่มความรู้สึกก็ค่อยๆ คลายออก ริมฝีปากที่ถูกกัดจนมีคราบโลหิตแย้มรอยยิ้มขมขื่นอย่างที่สุด “อืม”
ตอนนี้ นางเอ่ยวาจามากกว่านี้ไม่ออกสักคำ
ดวงตาของมั่วเหนียงปิดลงเล็กน้อย หยาดน้ำตาหยดหนึ่งรินไหลจากหางตาลงไปตามแก้มของนาง แผ่กลิ่นอายที่เต็มไปด้วยความเจ็บปวด ร่างกายสั่นไม่หยุด เอ่ยเสียงเจือสะอื้นว่า “จะต้อง…จะต้องรักและทะนุถนอมกูเหยียอย่างรู้คุณค่านะเจ้าคะ…กูเหยียเป็นคนดี…คนหนึ่ง…”
“หมัวมัววางใจ เชียนเสวี่ยจะต้องรักและทะนุถนอมเขาแน่นอน!”
“หมัวมัว…หมัวมัว…”
เห็นได้ชัดว่ามั่วเหนียงได้เข้าสู่สภาวะใกล้ตายแล้ว ยังจะได้ยินเสียงร้องเรียกของมั่วเชียนเสวี่ยเสียที่ไหน รอยยิ้มบนริมฝีปากนางกว้างขึ้น เผยให้เห็นความอ่อนโยนบางๆ “ฮูหยิน…ท่านกั๋วกง…มั่วเหนียงมาแล้ว…มั่วเหนียงมาปรนนิบัติพวกท่าน…แล้ว…”
ทันใดนั้น มั่วเหนียงคล้ายกับเห็นยอดวีรบุรุษผู้นั้นยิ้มให้นาง ฮูหยินกำลังแย้มรอยยิ้ม พลางยื่นมือมาหานางอย่างอ่อนโยน
ท่านกั๋วกงกำลังรำดาบ ฮูหยินกำลังดีดพิณ พวกเขากำลังรอนางยกน้ำชาไปให้…
แววตาค่อยๆ อับแสงลง แต่ทว่า รอยยิ้มบนริมฝีปากนางกลับอ่อนโยนและหวานซึ้งยิ่งกว่าเดิม…
ได้พบกันในคราแรกท่ามกลางหมอกพลบค่ำที่พิรุณโปรยปราย สายตาที่มองกลับมานั้นงดงามจนทำให้ผู้คนตื่นตะลึง? เพียงแต่ คนที่เขามองคือฮูหยิน ทว่าในสายตาตนเองทั้งหมดกลับเห็นแค่เขา
นางไม่เคยคิดจะยื้อแย่งอันใดกับฮูหยิน ชั่วชีวิตนี้ นางขอเพียงแค่เฝ้ามองเขา ขอเพียงแค่ได้ปรนนิบัติฮูหยินก็พึงพอใจที่สุดแล้ว
รอยยิ้มลึกซึ้งบนใบหน้าของมั่วเหนียงแข็งค้าง นั่นเป็นรอยยิ้มแห่งความสุขที่สมปรารถนาอย่างหนึ่งที่มั่วเชียนเสวี่ยไม่เคยเห็นบนใบหน้าของนางมาก่อน
หนิงเซ่าชิงถีบมั่วเหยียนกับมั่วสิงออกไป และทะยานตัวไปยังทิศทางของเรือนเสวี่ยหว่าน โดยไม่สนใจการขัดขวางของทุกคน
สิ่งที่ปรากฏเข้าสู่สายตาไม่ใช่ต้นไม้เขียวขจี เรือนเล็ก แสงไฟสลัว…และยังมีเงาร่างงดงาม น่ารักไร้เดียงสาที่เจือไปด้วยรอยยิ้มขุ่นเคืองนั่นอีก แต่เป็น…ทัศนียภาพที่ถูกทำลายเสียหาย ทั่วทุกหนทุกแห่งดำทะมึน เต็มไปด้วยสิ่งที่ถูกเผาไหม้เป็นเถ้าถ่าน และกลิ่นอายที่ชวนให้ผู้คนเกิดอาการคลื่นเหียน
แต่ทว่า หนิงเซ่าชิงที่เป็นหัวหน้าตระกูลหนิงอันสูงศักดิ์ยังมุ่งตรงไปยังซากปรักหักพังกองหนึ่งที่เห็นได้ชัดว่าเป็นของเรือนและห้องแห่งหนึ่ง ราวกลับไม่เห็นความยุ่งเหยิงไม่เป็นระเบียบ และไม่ได้กลิ่นที่ทำให้คนสิ้นหวังจนเสียสติ
ท่าร่างรวดเร็วราวกับสายฟ้า เงาร่างคลุ้มคลั่ง วุ่นวาย ซวนเซ
ยังตรงไปไม่ถึงสถานที่ตั้งของเรือนเสวี่ยหว่าน ก็เห็นเงาร่างหนึ่งโผล่ออกมาขวางทางเขาจากซากกองกระดูกดำทะมึน
กุ่ยซาที่ทั้งร่างถูกเพลิงไหม้ บนใบหน้าและมือล้วนเต็มไปด้วยเขม่าสีดำ เห็นได้ชัดว่าพลิกตามหาอยู่ที่นี่นานมากแล้ว
ความจริงแล้ว ไม่ได้มีแค่เขา องครักษ์ลับพวกนั้นและเหล่าองครักษ์คนไหนบ้างที่ไปควานหาอย่างไม่ยอมแพ้
แต่ ข้างในนั้น นอกจากซากกระดูกที่ถูกเผาจนไหม้เกรียม กับศพที่ไม่ได้ถูกเพลิงไหม้ทั้งหมด ก็หาอะไรไม่พบ
กุ่ยซาคุกเข่าลงกับพื้น “นายท่าน ไม่ต้องไปตามหาแล้วขอรับ ข้างในนั้น…ท่านลงโทษกุ่ยซา ฆ่ากุ่ยซา กุ่ยซาตายไปก็ไม่สาสมกับความผิดบาปที่ทำลงไป” ตอนนี้ หากเขายังไม่รู้ว่าตนเองตกหลุมแผนล่อเสือออกจากถ้ำ เขาก็เป็นคนโง่แล้ว
“เจ้า…เจ้าสมควรตาย!” หนิงเซ่าชิงหน่วยตาแดงก่ำจนเลือดแทบจะรินไหลออกมา ขณะฟาดฝ่ามือหนึ่งลงไปโดยไม่ยั้งคิดแม้แต่น้อย
ร่างกุ่ยซากระเด็นไปตกอยู่บนซากไม้ที่ไหม้เกรียม ทำให้เถ้าถ่านปลิวว่อนครู่หนึ่ง แต่กลับทำให้หัวใจของหนิงเซ่าชิงเจ็บปวด
เขาอดไม่ได้ที่จะเอ่ยเรียก
“เชียนเสวี่ย…”
เชียนเสวี่ย เจ้าเคยบอกว่า ชั่วชีวิตนี้จะไม่มีทางไปจากข้าเด็ดขาด
หนิงเซ่าชิงกุมใบหน้า ขณะร้องไห้คร่ำครวญด้วยความโศกเศร้า
ลมที่พัดวูบหนึ่ง ไม่ได้พัดใบไม้ ไม่ใช่ดอกไม้ แต่เป็นเม็ดฝนที่ตกลงมากะทันหัน สายฝนนี่ตกลงบนบ่าและใบหน้า แต่ยังไม่ได้กระทบจนอาภรณ์จนเปียกชื้น กลับกระทบหัวใจของคนให้เปียกปอนเสียก่อน
ตอนนี้อวิ๋นอิ๋นยืนนิ่งค้างอยู่ที่ประตูจวนกั๋วกง อาภรณ์ของนางฉีกขาดเสียหาย สภาพย่ำแย่ แววตาอึ้งตะลึง ท่าทางโง่เขลา หรือจะกล่าวได้ว่าเศร้าเสียใจจนหัวใจไร้ความรู้สึกไปแล้ว
สาวใช้ข้างกายไม่กี่คนที่รู้จักกัน เทียบกับอวิ๋นอิ๋นแล้ว แม้ว่าจะมีภาพลักษณ์จะไม่ได้ดีไปกว่ากันเท่าไร แต่สติ อารมณ์ และจิตวิญญาณยังคงอยู่ แม้ว่าจะตัวสั่นระริก แต่บางครั้งก็ยังเอ่ยวาจา “น่ากลัวเกินไปแล้ว” จำพวกนี้ออกมา
รอบด้านเต็มไปด้วยผู้คนที่มามุงดู และสืบข่าว พวกนางในสภาพนี้ ในสายตาของผู้อื่นก็รู้สึกเพียงแค่ว่าพวกนางได้รับความตื่นตระหนกมากเกินไป และรู้สึกเพียงแค่ว่าคนที่ชื่ออวิ๋นอิ๋นผู้นี้จงรักภักดีต่อผู้เป็นนายอย่างยิ่ง
แต่ ใครจะรู้ถึงความรู้สึกสะเทือนใจในใจของอวิ๋นอิ๋นในตอนนี้
เขาบอกว่า เพียงแค่จะหาของ
ทำไม… ทำไมกัน! ตอนนี้ก็หาทั่วทั้งจวนกั๋วกงแล้ว? ระหว่างนั้นจะต้องเกิดเรื่องอะไรขึ้นแน่นอน เขาก็ถูกปิดหูปิดตาเช่นกัน
คุณหนูใหญ่ตายแล้ว…คุณหนูใหญ่ตายแล้ว…
นางยังไม่ทันจะได้ละอายใจ ก็รู้สึกกังวลลึกๆ เสียแล้ว เขาล่ะ? เขาไปที่ไหนแล้ว? เขาบอกแล้วว่า หลังจากหาของพบก็จะพานางกับซีซีจากไป…
เพลิงไหม้เช่นนี้ เขาตามหาของอยู่ข้างใน…ยังจะมีชีวิตอยู่อีกหรือ
คนของจวนแม่ทัพเก้าประตูมาถึง ก็จัดการสถานการณ์ในตอนท้ายไปทั่ว
หนิงเซ่าชิงที่หัวใจกำลังหลั่งโลหิต ยืนอยู่ตรงนั้นอย่างไม่รู้ว่าจะต้องไปตามหาในทิศทางใด เพียงแค่เรียกหาอย่างหมดหนทาง “เชียนเสวี่ย…เชียนเสวี่ย…เจ้าอยู่ที่ใด”
ตอนนี้เขาไม่มีเวลาไปสนใจทำโทษกุ่ยซา และยิ่งไม่มีเวลาจะไปสืบหาคนร้ายที่อยู่เบื้องหลังเรื่องนี้ยิ่งกว่า เขานึกออกเพียงแค่คำเดียวก็คือ ตามหานางให้พบ…ตามหานาง…เขาไม่เชื่อว่าคนในใจเขาจะถูกกลบฝังอยู่ในกองเถ้าถ่านนี้จริงๆ
เดินโงนเงนไปทางซากปรักหักพังของประตูจวน
ยิ่งเดินไปข้างหน้า ซากไหม้เกรียมและคราบโลหิตที่เหลือทิ้งเอาไว้ก่อนตายบนพื้นก็ทะลักเข้าสู่หัวใจของเขา
ความเกลียดชัง ความเดือดดาล ความโศกเศร้า…
หนิงเซ่าชิงสีหน้าเหม่อลอย เดินไป พลางเรียกหาไม่หยุด
ไม่ว่าเขาจะเรียกหาอย่างไร ก็ไม่มีเสียงตอบกลับสักเสียงเดียว
น้ำเสียงนี้อ้างว้างเศร้าโศก ทำให้ผู้ที่ได้ยินอดไม่ได้ที่จะน้ำตาหลั่งริน
หัวใจก็หลั่งเลือดตามไปด้วย
ตอนนี้มั่วเหยียนกับมั่วสิงที่ดีขึ้นแล้วก็ลุกขึ้นจากพื้น ฝ่าเท้าที่ถีบเข้าใส่ขณะที่หนิงเซ่าชิงกำลังโมโหนั้น แค่คิดก็รู้แล้วว่ารุนแรงเพียงใด แต่ทว่า ในใจพวกเขากลับไร้ซึ่งความไม่พอใจ จนถึงขั้นรังเกียจที่นายท่านถีบเบาไปด้วยซ้ำ ถ้าหากว่าสามารถแบ่งเบาความเจ็บปวดในใจของนายท่านได้ พวกเขาก็ยินยอมที่จะตาย
ทั้งสองคนรีบตามไป และคุกเข่าลงตรงหน้าหนิงเซ่าชิง ในมือมั่วเหยียนถือกระบี่เล่มหนึ่ง ชูขึ้นเหนือศีรษะ
ฝักกระบี่ถูกเพลิงไหม้จนดำเล็กน้อย แต่หนิงเซ่าชิงกลับจำได้ว่านี่เป็นกระบี่ที่มั่วเชียนเสวี่ยเล่นในยามปกติตั้งแต่แรกเห็น
มีหลายครั้งที่เขามาหานางในกลางดึก มาเร็วหน่อย ข้างนอกยังมีแสงสว่าง นางก็จะหยิบกระบี่เล่มนี้มาแสดงฝีมือกับเขาสองสามกระบวนท่า
กระบี่เล่มนี้เป็นเล่มที่เขาตั้งใจให้คนตีให้นางเป็นพิเศษ
ด้านบนสลักตัวอักษร ‘เสวี่ย’ เอาไว้
ทันทีที่เห็นร่องรอยตัวอักษรอันคุ้นตาบนกระบี่ หัวใจของเขาก็คล้ายกับถูกดาบอันแหลมคมแทงเข้า หายใจลำบากจนเจ็บปวด กระบี่ยังอยู่ แต่คนกลับไม่อยู่แล้ว