บทที่ 417 มีความสุขกันทั้งครอบครัว

“เทศกาลฤดูหนาวมาถึงแล้ว!”

เสียงหัวเราะของเด็ก ๆ ดังขึ้นตามริมถนน เมื่อเทศกาลฤดูหนาวมาถึง กลางวันในแต่ละวันจะยาวนานขึ้น พลังหยางจะเพิ่มขึ้น และถือเป็นวันมหามงคล

ผู้ปกครองคนใหม่ขึ้นครองตำแหน่ง หวงไท่ซุน เด็กหนุ่มที่เติบโตในชนบทจะกลายเป็นฮ่องเต้พระองค์ใหม่ และเผยยวนจะกลายเป็นเนี่ยเจิ้งอ๋อง ดังนั้นไท่ซ่างหวงจึงมีคำสั่งให้ลดโทษให้นักโทษทั้งใต้หล้า และเพิ่มการสอบเอินเคอ*

* สอบเอินเคอ (恩科) หมายถึง การสอบจอหงวนที่จัดขึ้นเป็นพิเศษนอกเหนือจากการสอบปกติ เนื่องจากราชวงศ์ทรงมีเมตตาให้จัดขึ้น

ด้วยเหตุนี้จึงทำให้หัวใจของบัณฑิตทั้งใต้หล้าเต้นรัวขึ้นมา

ในห้องหนังสือที่อบอุ่นของจวนหย่งกวานโหว อาฉือสวมเสื้อคลุมและมีเตาเล็ก ๆ ตั้งอยู่ข้าง ๆ เตาหนึ่ง ด้านบนมีมันเทศสองหัวและเกาลัดวางเอาไว้ ทันใดนั้นหิมะที่ถูกปั้นเป็นก้อนก็กระแทกกับเข้าหน้าต่าง เขาจึงวางหนังสือลง พลางจ้องเจ้าผีน้อยสองตัวที่อยู่ใต้ชายคานอกระเบียงด้วยความไม่พอใจ

อาอินวิ่งมาตรงหน้าเขา มือทั้งสองข้างเท้าคางเอาไว้ “พี่ใหญ่ เลิกอ่านหนังสือได้แล้ว คืนนี้บนถนนมีงานโคมไฟ ทั้งยังมีของอร่อยและเรื่องสนุกเต็มไปหมด ที่สำคัญมีการแสดงปาหี่ด้วยนะเจ้าคะ”

“ข้าใกล้จะลงสนามสอบแล้วต้องทบทวนหนังสือให้มาก พวกเจ้าพาพวกเสี่ยวเฮยไปเล่นด้านนอกเถอะ”

แม้เขาจะเป็นหวงไท่ซุนแล้ว และทุกวันจะมีไท่ฟู่ขององค์รัชทายาทคอยสั่งสอน มีคนคอยติดตามมากมาย แต่เขาไม่ชอบความวุ่นวาย จึงได้กราบทูลไท่ซ่างหวงว่าต้องการที่จะลงสอบอย่างจริงจัง โดยเฉพาะเข้าร่วมการสอบเอินเคอที่จัดขึ้นเป็นพิเศษในครั้งนี้ด้วย

โดยสำนักศึกษาชิงอวิ๋นยังคงสงวนรายชื่อไว้ให้เขา ทว่าอย่างไรเสียฐานะของเขาก็ถูกเปิดเผยแล้ว หากกลับไปศึกษาที่ตำบลฉาซู่อีกก็คงไม่สะดวกนัก

และโหลวเฉิงเย่ก็ได้เขียนจดหมายให้เขาฉบับหนึ่ง เผยจี้ฉือจึงได้ให้กำลังใจเขาและบอกให้เขาตั้งใจเรียน อยากเป็นขุนนางที่คอยช่วยเหลือเขาก็ต้องแสดงความสามารถออกมา จะอาศัยความสัมพันธ์ไม่ได้

อาอินสวมเสื้อคลุมสีแดงตัวใหม่ อาศัยตอนที่อาฉือไม่ทันระวัง กระโดดขึ้นไปแล้วแย่งหนังสือของเขามา ก่อนจะวิ่งออกไปอย่างรวดเร็ว

“อาอิน!” อาฉือเรียกนางไม่ทันเสียแล้ว ดังนั้นเขาจึงลงจากตั่งเพื่อสวมรองเท้า ขันทีที่ปรนนิบัติข้างกายก็รีบเข้ามาสวมให้ทันที ทว่าเซี่ยฉือกลับใส่รองเท้าเองเสร็จเรียบร้อยและตามออกไปแล้ว

“ฮ่า ๆ ๆ!” อาชิงน้อยวิ่งตามอยู่ทางด้านหลัง อาอินกลัวว่าจะถูกตามทันจึงรีบวิ่งอย่างรวดเร็ว

ไป๋จิ่นกำลังอ้าปากหาวก็ถูกอาชิงปาหิมะก้อนใหญ่ใส่หน้า ทำให้เขากินหิมะเข้าไปเต็มปาก พลางตกตะลึงจนอ้าปากค้างในทันที

เยว่พั่วหลัวเดินผ่านข้างกายเขา จึงได้ช่วยตบแก้มทั้งสองข้างของเขาให้เข้าที่เล็กน้อย แล้วจึงได้จากไปอย่างพอใจ

เผยเสี่ยวเตาขโมยไก่น่องใหญ่น่องหนึ่งมาจากห้องครัว และกำลังแอบย่องออกมาราวกับขโมย เด็กกลุ่มหนึ่งก็วิ่งมาทางด้านหน้าของนาง ทำให้นางตกใจจนเกือบจะโยนน่องไก่ทิ้ง

เว่ยเจ๋อเซิงกำลังวาดภาพอยู่ในห้อง เขาเพิ่งจะวาดภาพนกกางเขนยามวสันต์เสร็จ ยังไม่ทันจะได้ยืนชื่นชมอย่างเงียบ ๆ อาอินก็วิ่งผ่านหน้าเขาไปอย่างรวดเร็ว

“ท่านอาเว่ย!”

เว่ยเจ๋อเซิงได้สติขึ้นมา “อืม วิ่งช้า ๆ หน่อย”

จากนั้นอาฉือก็วิ่งตามมาอีกคน “หวงไท่ซุนระวังด้วยนะพ่ะย่ะค่ะ!”

“ขอรับท่านอาเว่ย!”

เว่ยเจ๋อเซิงคิดว่าคราวนี้คงสามารถชื่นชมภาพวาดอย่างเงียบ ๆ ได้แล้ว ทว่าสุดท้ายเพิ่งจะเงยหน้าขึ้นก็มีเด็กอีกกลุ่มหนึ่งวิ่งผ่านมา ตามด้วยเสียงหัวเราะ ก่อนที่เว่ยเจ๋อเซิงจะต้องพบกับความปวดใจ เมื่อภาพนั้นไม่รู้ว่าใครเอาหิมะก้อนใหญ่ปาใส่ จนเสียหายไปหมดแล้ว

“เอ๊ะ วาดใหม่อีกแล้วหรือ?”

เผยเสี่ยวเตาชะโงกหน้าเข้ามา พลางหยิบพู่กันจากบนโต๊ะของเขา “ข้าจัดการให้เอง วาดภาพหรือ ง่ายมาก!”

เว่ยเจ๋อเซิงห้ามนางไม่ทันเสียแล้ว เพราะเผยเสี่ยวเตาได้วาดรูปคนที่ดูราวกับท่อนไม้กลุ่มหนึ่งอย่างรวดเร็ว ตำแหน่งที่เดิมเคยเป็นรูปนกกางเขนถูกวาดทับจนเต็ม

ใบหน้าเล็กและกลมป้อมเงยขึ้นมา “เป็นเช่นไรบ้าง งดงามหรือไม่!”

เว่ยเจ๋อเซิงเลิกคิ้วขึ้น ก่อนจะชี้ไปที่รูปคนที่กำลังทำท่าทางแยกเขี้ยวยิงฟันบนภาพแล้วเอ่ยถาม “นี่คงเป็นแม่นางเสี่ยวเตากระมัง?”

“อืม! เปี่ยมไปด้วยพลังใช่หรือไม่!”

เว่ยเจ๋อเซิงแววตาฉายรอยยิ้มออกมา “วาดได้ยอดเยี่ยมมาก”

ทุกคนอยู่กันพร้อมหน้า แม้แต่ไก่ เป็ด ห่าน ในห้องครัวก็มากันครบ

“ชุดเดียวกันหมด!” องค์หญิงใหญ่ตะโกนขึ้นมา พลางตบโต๊ะ “จ่ายเงิน ๆ เร็วเข้า”

ไท่ซ่างหวงถูจมูกไปมา จ้องไปทางถูลี่แล้วเอ่ยขึ้น “ไม่ใช่เพราะนางเป็นแม่ของเจ้า เจ้าก็เลยอ่อนข้อให้นางหรอกกระมัง”

ถูลี่ชูมือทั้งสองข้างขึ้น “ท่านตา ข้าสาบานได้ ข้าพยายามแล้วนะขอรับ!”

ไม่มีพรสวรรค์จริง ๆ

“ไม่น่าจะเป็นไปได้ นางคลอดเจ้าออกมา โชคแห่งการพนันนั่น เจ้าไม่ได้รับการถ่ายทอดมาบ้างเลยหรืออย่างไร?”

องค์หญิงใหญ่แค่นเสียงเย็น “ท่านก็ให้กำเนิดข้าเหมือนกัน คนอย่างข้าเขาเรียกว่ามีพรสวรรค์พิเศษ ท่านอย่าพูดมาก จ่ายมาเร็วเข้า”

จางตงไหลกลับเป็นคนที่มีความสุขที่สุด เขานำเงินออกมาด้วยรอยยิ้ม

“ต้องอย่างนี้สิ”

ในห้องครัว เซียวเย่เจ๋อและเซียวหรงหรงกำลังนั่งยอง ๆ อยู่ที่มุมหนึ่ง

เซียวหรงหรงมองบรรดาท่านป้าที่เดินสวนกันไปมาตรงหน้า ก่อนจะเอ่ยขึ้นเบา ๆ “พี่ใหญ่ ว่าที่พี่สะใภ้ข้าทำอาหารเป็นหรือไม่?”

เซียวเย่เจ๋อกำลังช่วยเด็ดถั่วงอก ได้ยินดังนั้นก็เอ่ยขึ้นมา “นั่นมันแน่นอนอยู่แล้วไม่ใช่หรือ?”

เซียวหรงหรงมองดูฮวาเซียงเซียงที่กำลังแยกเขี้ยวยิงฟันสู้กับปลาจี้ตัวหนึ่งอยู่ ก็เอ่ยอย่างหวาดหวั่นขึ้นมา “ข้าดูแล้วนางไม่น่าจะทำเป็นนะ”

ฮวาเซียงเซียงเหมือนจะรับรู้ได้ จึงหันมามองเซียวเย่เจ๋อ “เจ้าจะกินใช่หรือไม่ ข้าทำอาหารเป็นครั้งแรกนะ”

เซียวเย่เจ๋อกลืนน้ำลายลงคอ ก่อนจะกัดฟันตบหน้าอกตัวเอง “เอามาได้เลย!”

เขายอมสละชีวิตเพื่อภรรยา!

เมื่ออาอินวิ่งมาถึงห้องครัว ทันใดนั้นก็เกิดความอลหม่านและวุ่นวายไปหมด เมี้ยวเมี้ยวที่นอนพักผ่อนอยู่ใต้ต้นไม้หาวอยู่นาน ก่อนจะนอนรวมกับบรรดาลูกสุนัขสองสามตัวต่อ

นางกลัวว่าอาฉือจะตามมาทัน จึงวิ่งไปที่ประตูมุมหนึ่งด้วยความตื่นตระหนก แต่สุดท้ายกลับเจอเข้ากับทางตัน ดังนั้นนางจึงปีนขึ้นไปบนต้นไม้ที่อยู่ด้านข้างเตรียมจะกระโดดออกไป ทันทีที่ชะโงกหน้าออกไปนอกกำแพง ก็เห็นเซียวเซวียนจิ่นที่หิ้วของขวัญมาเยี่ยม

ทั้งสองคนสบตากัน เซียวเซวียนจิ่นตกตะลึงไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็เผยรอยยิ้มเจิดจ้าออกมา พร้อมกับกางแขนออกแล้วเอ่ยออกมา “ให้ข้ารับเจ้าหรือไม่?!”

“อาอิน! อันตราย ลงมาเดี๋ยวนี้!” เสียงของอาฉือดังขึ้นด้านหลังกำแพง

อาอินจึงบอกกับเซียวเซวียนจิ่น “เจ้าอย่าทำข้าร่วงล่ะ!”

“ไม่หรอก”

นางจึงกัดฟันพลางหลับตา ก่อนจะกระโดดลงไปหาเซียวเซวียนจิ่น ผมหน้าม้าบาง ๆ บนหน้าผากปลิวไปตามสายลม เมื่อตกลงไปในอ้อมแขนที่อบอุ่นและมั่นคงแล้ว นางจึงได้ถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก

เซียวเซวียนจิ่นลองชั่งน้ำหนักตัวของนางดู “สองวันมานี้คงอ้วนขึ้นอีกแล้วกระมัง ชุดก็สวมใส่หลายชั้น ราวกับฉิว**สีแดงก็มิปาน”

** ฉิว (球) หมายถึง ลูกบอล

อาอินไม่อยากจะเชื่อ “ข้าไม่ได้อ้วนเสียหน่อย”

อาฉือตามมาถึงหน้าประตูแล้ว เห็นเซียวเซวียนจิ่นอุ้มอาอินลอยขึ้นสูง ก็มีสีหน้าเคร่งขรึมทันที “อะแฮ่ม วางลง!”

เซียวเซวียนจิ่นรู้สึกว่าว่าที่พี่ภรรยาของเขาผู้นี้ใจแคบเกินไปแล้ว เขาอุ้มนางนิด ๆ หน่อย ๆ จะเป็นอะไรไป!

ขณะที่กำลังคิดอยู่นั้น อาอินก็กอดรอบคอของเซียวเซวียนจิ่นเอาไว้ พลางเอียงศีรษะเข้าใกล้เขา “รีบหนีเร็วเข้า”

อาฉือเวลานี้มีสีหน้าถมึงทึงแล้ว “เผยถังอิน ลงมา! ทำเช่นนี้ใช้ได้ที่ใดกัน”

อาอินชะโงกหน้าออกมา “ไม่ แบร่ ๆ ๆ!”

เซียวเซวียนจิ่นจึงอุ้มนางเข้าไปในจวน มองหนังสือในมือของอาอิน ก่อนจะดึงมาแล้วส่งให้อาฉือ “จะลงสนามสอบจริง ๆ หรือ มั่นใจว่าจะได้อันดับดีหรือไม่”

อาฉือพยักหน้ารับ “แน่นอน เมื่อเช้าตอนที่บวงสรวงเทศกาลฤดูหนาว ท่านลุงถูลี่ยังบอกด้วยว่าจะรอข่าวดีจากข้า”

“คณะทูตของถู่เจียจะกลับเมื่อใดหรือ?”

“อีกสองวันก็กลับแล้ว ของขวัญก็เตรียมเกือบเสร็จแล้ว เจ้าล่ะ บัดนี้ราชสำนักปล่อยเจ้ากลับจวนอ๋องเจิ้นเป่ยแล้ว เหตุใดเจ้ายังอยู่ที่นี่อีก?”

ความในใจซือหม่าเจา แม้คนผ่านทางยังล่วงรู้***!

*** ความในใจซือหม่าเจา แม้คนผ่านทางยังล่วงรู้ (司马昭之心路人皆知) หมายถึง จุดประสงค์หรือแผนการในใจของบุคคลใดบุคคลหนึ่ง ที่แม้จะไม่ได้ประกาศออกมา แต่คนทั่วไปก็สามารถรู้ได้

เซียวเซวียนจิ่นเลิกคิ้วขึ้น “เสด็จพ่อข้าบอกว่าให้ข้าติดตามข้างกายท่านอาเผย เรียนรู้ให้มาก ๆ วันหน้าข้าจะมาหาบ่อย ๆ อีกอย่าง มีข้าอยู่เป็นเพื่อนเจ้าในวังไม่ดีหรืออย่างไร?”