เจียงอีคว้าไหล่เจียงซื่อไว้ “อาซื่อ เจ้าไม่กลัวว่าคนอื่นจะนินทาเจ้าหรือ ตอนนี้เจ้าเตรียมจะเป็นพระชายาในอ๋องเจ็ดแล้ว ไม่รู้ว่ามีสายตากว่ากี่คู่คอยจับจ้องอยู่”
เจียงซื่อหมุนแก้วชาในมือเล่น พร้อมกับยิ้มออกมาอย่างไม่เป็นมิตร “ใครเขาจะพูดกัน หากบ่าวรับใช้ในจวนกล้านินทาล่ะก็ คนแรกที่ไม่ยอมยกโทษให้พวกเขาก็คือท่านย่านั่นแหละ!”
ท่านย่าของนางท่านนี้จะทำให้หมดกังวลเอง เพราะตราบใดที่มีผลประโยชน์ต่อจวนปั๋ว ไม่ว่าในใจจะไม่ชอบนางแค่ไหนแต่ท่านย่าก็จะเป็นคนที่ปกป้องชื่อเสียงของนางมากที่สุด
“ถึงกระนั้นก็ทำอะไรข้าไม่ได้หรอก ตอนนี้ข้ารู้ว่าเจียงเชี่ยนเป็นคนเช่นไร จากนี้ไปพวกเราอยู่ให้ห่างจากนางกันเถอะ”
เจียงซื่อวางแก้วชาในมือลงบนโต๊ะ รอยยิ้มเปลี่ยนเป็นเย็นชา “หากมีกองขี้อยู่บนถนน เหตุใดผู้คนต่างเดินอ้อมมัน ไม่เอาพลั่วไปตักมันออกกันล่ะ”
เจียงอีงงงัน “อาซื่อ เจ้าหมายความว่า…”
เจียงซื่อเชิดหน้าขึ้นมาเล็กน้อย พร้อมกลับพูดออกมาอย่างแน่วแน่ “ข้าจะไล่นางออกไปจากจวนปั๋ว!”
บาดแผลพวกนั้น ไม่ใช่เพราะเจียงซื่อวางมือถึงจะหลีกหนีได้ แต่เป็นเพราะนางพยายามช่วยตัวเองอย่างสุดกำลังต่างหาก
หรือว่าสุดท้ายแล้วไม่อาจทำร้ายนางได้ ความผิดพวกนั้นจึงไม่ถูกนับ
กฎหมายของราชวงศ์โจวอาจคิดเช่นนี้ ทว่าในใจนางไม่ได้คิดเช่นนี้!
อย่างไรก็ตามเพื่อตัวนางในชาติภพที่แล้ว ตอนนี้จึงต้องเก็บกวาดทั้งแม่ทั้งลูกและเจียงเชี่ยน หากใจอ่อนเก็บเอาไว้อาจเป็นภัยในอนาคต แล้วมัวแต่มานึกเสียใจภายหลังแสดงว่าสมองต้องมีปัญหาแน่ๆ
เรื่องที่เจียงเชี่ยนมาแสดงความยินดีกับเจียงซื่อแต่กลับถูกปฏิเสธนี้แพร่งพรายออกไปทั่วทั้งจวนอย่างรวดเร็ว
ผู้ที่มาหาเจียงเชี่ยนคนแรกเลยก็คืออาฝูคนสนิทของเฝิงเหล่าฮูหยิน
เมื่อเห็นสาวรับใช้สวมชุดสีชมพูลูกท้ออันสวยงามที่มีสีเข้มกว่าสีเล็บ เจียงเชี่ยนก็ยืดอกขึ้นมา พลางยิ้มถามขึ้น “อาฝูเจ้ามาหาข้า เหล่าฮูหยินมีเรื่องอะไรหรือ”
ท่ามกลางหลานสาวมากมาย เมื่อก่อนท่านย่ารักและทะนุถนอมนางมากที่สุด ถึงแม้ว่าต่อมานางจะเข้าใจว่าท่านย่าสนใจในผลประโยชน์มากที่สุด แต่ว่าเจียงซื่อทำให้นางอับอายขายหน้าขนาดนี้ ท่านย่าจะไม่ถามไถ่เรื่องราวใดๆ ทั้งสิ้นได้อย่างไรกัน
เจียงเชี่ยนรู้สึกมีความคาดหวังขึ้นมาในใจเล็กน้อย
คนที่อยู่ในสภาพอับจน มักจะเกิดความหวังขี้นมาได้ง่าย
บางที…บางทีอาจจะไม่ได้แย่ขนาดนั้น
อาฝูมองไปยังกูไหน่ไนรองผู้ที่มีอนาคตสดใสอย่างไม่มีที่สุดเมื่อในอดีต นัยน์ตาฉายแววสงสารออกมา
โลกนี้มีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ช่างไม่แน่นอนเอาเสียเลย
อาฝูเอ่ยพูดลวกๆ กับเจียงเชี่ยนออกไปด้วยสีหน้าไร้ความรู้สึก “บ่าวได้รับคำสั่งมาจากเหล่าฮูหยินให้มาบอกกูไหน่ไนรองว่า จากนี้ไปให้กูไหน่ไนรองออกไปนอกเรือนให้น้อยลง โดยเฉพาะไปหาคุณหนูสี่ ตอนนี้คุณหนูเป็นชนชั้นสูงแล้ว อย่าเอาความซวยไปแปดเปื้อนคุณหนูสี่…”
เจียงเชี่ยนสั่นเทิ้มไปทั้งตัว แล้วพูดโพล่งออกไป “เหล่าฮูหยินเป็นคนพูดงั้นหรือ”
อาฝูพูดสิ่งที่เฝิงเหล่าฮูหยินรับสั่งออกมาหมดภายในรวดเดียว แต่ก็อดที่จะมองเจียงเชี่ยนไม่ได้ จึงพูดอย่างสุภาพออกไปอีกครั้ง “บ่าวจะกล้าพูดมั่วซั่วได้อย่างไร กูไหน่ไนรองไปพักเถอะเจ้าค่ะ บ่าวขอตัวลากลับไปรายงานก่อน”
จนกระทั่งอาฝูเดินออกไปได้สักพัก เจียงเชี่ยนยังคงใจลอย
หลังจากผ่านไปนาน นางก็หัวเราะออกมาเสียงดัง
“กูไหน่ไนรอง…” สาวรับใช้รู้สึกกลัวเล็กน้อย
“ดี ดี นี่แหละท่านย่าแท้ๆ ของข้าเอง!” เจียงเชี่ยนกัดฟันกรอดพูดจนจบ พร้อมกับคว้าข้อมือสาวรับใช้ไว้ “ทางเอ้อร์ไท่ไท่ไม่ส่งใครมาหาเลยหรือ”
ขณะที่กำลังพูด เซียวมาหม่าก็เดินเข้ามา
ช่วงนี้เซียวมาหม่ามักจะมาที่นี่บ่อยๆ แทบจะไม่ต้องรายงานแล้ว
“กูไหน่ไนรองเป็นอะไรไปเจ้าคะ” เซียวมาหม่ารีบเดินเข้ามาอยู่ข้างกายเจียงเชี่ยนด้วยสีหน้าเป็นห่วง
“ไม่มีอะไร” เจียงเชี่ยนยกมือขึ้นมาปาดน้ำตา แล้วเอ่ยถามขึ้น “ไท่ไท่ช่วงนี้เป็นอย่างไรบ้าง”
เซียวมาหม่าถอนหายใจออกมา “กูไหน่ไนรองยังไม่รู้หรือ เมื่อมีพระราชโองการพระราชทานการแต่งงานลงมา เหล่าฮูหยินก็ยกหน้าที่ดูแลเรือนให้ซานไท่ไท่แล้ว และให้เอ้อร์ไท่ไท่ไปสงบจิตสงบใจอยู่เงียบๆ”
เจียงเชี่ยนลุกพรวดขึ้นมา จากนั้นก็นั่งลงช้าๆ เอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นชา “คนคนหนึ่งได้อำนาจบารมีคนที่มีความสัมพันธ์ก็จะพลอยได้ดีไปด้วย ส่วนคนที่ไม่ชอบหน้าแน่นอนว่าต้องถูกไล่ไปลงนรก”
เซียวมาหม่าถอนหายใจออกมาอีกครั้ง “ไท่ไท่ก็ไม่ง่ายเลย ถูกเหล่าฮูหยินหักหน้าต่อหน้าทุกคน แถมตอนนี้นายท่านรองก็แทบจะไม่มาหาไท่ไท่แล้วด้วย หากไม่พักอยู่ที่อี๋เหนียง ก็ไปอยู่ที่ห้องหนังสือ…”
หลังจากนั้นต่อมา เจียงเชี่ยนก็ค่อยๆ รู้เรื่องมากมายจากปากของเซียวมาหม่า
อย่างเช่นวันแต่งงานของเจียงซื่อถูกกำหนดไว้วันที่หกต้นเดือนหก พระราชวังส่งคนมาวัดเสื้อผ้าอาภรณ์ให้เจียงซื่อ เรือนไห่ถังได้รับของขวัญเป็นกองเท่าภูเขา…
พอเปรียบเทียบกันแล้ว การดูแลฝั่งทางนี้กลับยิ่งแย่ลงทุกวัน ในอนาคตแม้แต่กินข้าวคงต้องคอยดูท่าทางสีหน้าของทางห้องครัว
ผู้มีอำจาจข่มเหงรังแกผู้อ่อนแอ เดิมนี่มันเป็นเรื่องที่ผู้คนมากมายถนัดมากที่สุดอยู่แล้ว
ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนสะเทือนไปยังเส้นประสาทที่อ่อนแอของเจียงเชี่ยน
และในที่สุดเส้นประสาทนั้นมันก็ขาดผึง เมื่อนางพบว่าตัวเองไม่สามารถเรียกใช้ลูกน้องในเรือนได้อีกต่อไป
เข้าเดือนที่สองแล้ว แต่อากาศยังคงประเดี๋ยวร้อนประเดี๋ยวหนาว ช่วงเช้าตรู่จึงยังต้องสวมเสื้อกันหนาวสองชั้น
เจียงเชี่ยนสวมเสื้อคลุมในฤดูใบไม้ร่วงที่ดูใหม่อยู่เพียงแปดในสิบส่วน ปีนี้นางไม่ได้รับเสื้อผ้าใหม่จากห้องเสื้อ ซึ่งเสื้อคลุมนี้ก็เป็นตัวที่ถูกทำขึ้นเมื่อตอนอยู่จวนฉังซิงโหว
ทว่าเจียงเชี่ยนไม่ได้สนใจเรื่องพวกนี้อีกแล้ว นางเอามือซุกเข้าไปในแขนเสื้อ จากนั้นก็ก้าวเท้าเดินไปที่หน้าประตู
นึกไม่ถึงเลยว่าสาวรับใช้ที่เฝ้าประตูเรือนจะนั่งสัปหงกอยู่
เจียงเชี่ยนเอ่ยขึ้นมาเบาๆ ว่า “ขอบคุณสวรรค์”
จากนั้นก็เดินย่องผ่านสาวรับใช้แล้วเดินออกไปจากประตู
นอกเรือนลมโหมพัดแรงมาก เจียงเชี่ยนสูดหายใจเข้าลึก มีความรู้สึกเป็นอิสระขึ้นมา
นางเงยหน้าขึ้นรับแสงอรุณและความอบอุ่นจากพระอาทิตย์ที่สาดส่งลงมา จากนั้นก็เดินไปข้างหน้า
นางเคยคิดว่าช่วงเวลาที่อยู่ในจวนฉังซิงโหวคือนรก ทว่าวันนี้ถึงได้พบว่าจวนตงผิงปั๋วนั้นเป็นที่เคยอยู่ของคน แต่จะเป็นโลกมนุษย์หรือนรกก็ล้วนต้องพึ่งตัวเอง ในเมื่อนางไม่มีวิธีหาทางปีนขึ้นมาจากนรกได้แล้ว เช่นนั้นก็ดึงคนที่เกลียดที่สุดลงนรกไปด้วยกันดีกว่า
คนที่เจียงเชี่ยนเกลียดนั้นมีมากมาย ซึ่งหนึ่งในนั้นแน่นอนว่าต้องเป็นเจียงซื่อ
เป็นพี่น้องในจวนด้วยกันมาตั้งแต่เด็กจนโต นางดูมีอนาคตมากที่สุดแท้ๆ แล้วเหตุใดตอนนี้กลับกลายเป็นโคลนใต้เท้าให้เจียงซื่อเหยียบย่ำได้ตามอำเภอใจ
วันนั้นเจียงซื่อปฏิเสธนางอย่างตรงไปตรงมา นี่มันตั้งใจบีบให้นางไปหาที่ตายชัดๆ!
สวนดอกไม้ในจวนปั๋วสีเขียวชอุ่มขึ้นมา เจียงเชี่ยนมองเห็นสตรีสองนางเดินเล่นเคียงบ่ากันอยู่แต่ไกล จึงยกยิ้มมุมปากออกมาอย่างอดไม่ได้
ข่าวคราวที่ได้ยินมาจากเซียวมาหม่านั้นไว้ใจได้ ที่บอกว่าช่วงนี้เจียงซื่อมักจะลากเจียงอีออกมาเดินเล่นที่สวนดอกไม้
หึหึ พี่น้องรักใคร่กลมเกลียว กลัวว่าหลังจากออกเรือนแล้วจะไม่ได้เจอสินะ
นางอยากให้เจียงซื่อนางสารเลวคนนี้ได้รู้ว่าอะไรถึงจะเรียกว่าไม่ได้เจอกันอีกของจริงเร็วๆ แล้วสิ!
เจียงเชี่ยนจัดเสื้อผ้าของตัวเอง จากนั้นนั้นก็เดินไปทางเจียงซื่อกับเจียงอีพร้อมกับรอยยิ้ม
เจียงอีพบว่าเจียงเชี่ยนกำลังเดินเข้ามา จึงสะกิดเจียงซื่อเบาๆ “อาซื่อ เจียงเชี่ยนมาแล้ว”
เจียงซื่อยิ้ม “ในเมื่อเจอกันแล้ว เช่นนั้นพวกเราก็ต้องทักทายกันหน่อย”
เจียงอีรู้สึกไม่ปลอดภัยแปลกๆ จึงหยุดฝีเท้าแล้วกระซิบพูดออกไป “ข้าได้ยินมาว่าท่านย่าบังคับห้ามไม่ให้เจียงเชี่ยนออกมา แล้วเหตุใดนางถึงออกมาที่สวนได้ตั้งแต่เช้าตรู่”
เมื่อเห็นเจียงเชี่ยนเดินใกล้เข้ามาเรื่อยๆ เจียงซื่อก็ยิ้มร่าออกมา “ถึงท่านย่าจะบอกให้นางอย่าออกมาข้างนอกบ่อยๆ แต่อย่างไรนี่ก็ไม่ใช่การถูกขังอยู่ในคุก อาศัยอยู่ในที่ตั้งกว้างใหญ่เช่นนี้ นานไปก็คงจะเบื่อเลยออกมาสูดอากาศ ไม่มีอะไรน่าแปลก”
ขณะที่พูดเจียงเชี่ยนก็ได้เดินมาใกล้ถึงข้างหน้าแล้ว จากนั้นก็เอ่ยปากทักทายก่อน “พี่ใหญ่ อาซื่อ ช่างบังเอิญเสียจริงเจ้าค่ะ”