บทที่ 375 เข้าร่วมสำนักหงอีอย่างมึนงง

หวางเฟยเสด็จ ท่านอ๋องหลีกไป

บทที่375 เข้าร่วมสำนักหงอีอย่างมึนงง

ในตอนที่ถิงเมี่ยนยังงงๆอยู่ กลุ่มคนชุดดำที่ถูกฝึกฝนมาอย่างดีก็พุ่งออกมาจากที่มืดแล้วล้อมพวกเขาไว้

หลานเยาเยาไม่ได้ลงมือ แต่ถอยไปอยู่ด้านหลังของถิงเมี่ยน

ความหมายก็ชัดเจนอยู่แล้ว

“……”ถิงเมี่ยนกระตุกมุมปาก

โว้ะ!

มีอะไรผิดพลาดรึเปล่า?

เทพธิดาเอาเขามาเป็นโล่เนี่ยนะ แล้วองครักษ์สุดเก่งกาจสองคนของนางนั่นหล่ะ?

ถิงเมี่ยนกลัดกลุ้มก็กลัดกลุ้ม แต่เขาค่อนข้างมีความภักดี จึงก้าวออกไปอย่างห้าวหาญ……ไม่,เขาตบอกพูดว่า

“มาสิ! ถ้ามีความสามารถก็ข้ามศพข้าไปก่อน”

พูดอย่างแข็งแกร่ง แต่ใจนั้นหวาดกลัวมาก

ถึงอย่างไร!

เขาก็ฉลาด แต่เหมาะกับการทำการค้าเท่านั้น เรื่องการทะเลาะวิวาทนี่ดูไม่ได้จริงๆ

ดังนั้นการต่อสู้ตัวต่อตัวกับหนึ่งในชายชุดดำนั้นยังตกเป็นรอง แต่ก็ยังคงเห็นเทพธิดาไม่ยอมลงมือ

เขาก็ทำได้เพียงฝืนใจสู้ต่อ แต่ยังไม่ทันสองสามเพลงดาบเขาก็ทนไม่ไหวอีกต่อไป ไม่สนใจเกียรติยศหน้าตาใดๆทั้งนั้น

ตะโกนพูดว่า:

“เทพธิดา ถ้าท่านยังไม่ลงมืออีก ชีวิตของข้าน้อยก็จะไม่มีแล้ว”

ถิงเมี่ยนรู้สึกกระวนกระวายใจ ราวกับจะหมดสิ้นหนทาง

คิดว่ามาทำการค้าใหญ่ เขาจึงไม่เตรียมอะไรเลย ก็ตามมาอย่างเต็มใจ จะไปรู้ที่ไหนกันว่าจะมาเจอเรื่องยุ่งยากขนาดนี้ ถ้ารู้แต่แรก เขาก็จะได้พาเพื่อนมาด้วย

ตอนนั้นเอง

จู่ๆถิงเมี่ยนก็เห็นร่างสูงสง่าปรากฏตัวออกมา

ยู่หลิวซูในชุดนินจาเหาะมา แล้วหลังจากที่ลงพื้นก็มาร่วมการต่อสู้โดยไว ช่วยถิงเมี่ยนฆ่าไปสองสามคนอย่างรวดเร็วและง่ายดาย ทำให้ถิงเมี่ยนตกใจจนอดอ้าปากค้างไม่ได้

“หล่อมาก!”

จากนั้นเขาก็รีบวิ่งมาอยู่ตรงหน้าหลานเยาเยา พูดอย่างชื่นชมว่า:

“เทพธิดา เทพธิดา ผู้นั้นคือใครกัน? หน้าตาก็หล่อเหลา การต่อสู้ก็ได้ ใช่คนของท่านหรือไม่?”

หลานเยาเยาส่งสายตาให้เขา แล้วหลังจากปล่อยให้เขาทำความเข้าใจเอง สองมือกอดอกมองยู่หลิวซูฆ่าคน

อื้ม!

วิธีการฆ่าช้าไปหน่อย ไม่ได้ปราดเปรียวกระฉับกระเฉง

แม้ความเร็วจะเร็ว แต่ยังสามารถเร็วได้กว่านี้ ศิลปะการต่อสู้ใดๆในใต้หล้านี้ล้วนมีข้อบกพร่อง ไม่ว่าจะป้องกันดีแค่ไหนก็จะมีวิธีทำลาย คำพูดที่ว่านี้มีเหตุผลมาก

แล้วก็

ศิลปะการต่อสู้ของยู่หลิวซูแม้จะดี แต่ส่วนมากก็คือการเรียนรู้ด้วยตนเองหรือแอบเรียน มีหลายที่ที่ไม่ได้เรียนเนื้อหาสำคัญ

เขาเป็นคนที่มีศักยภาพ ถ้าได้ฝึกฝนส่วนที่สำคัญสักสองสามปี คาดว่าสามารถมีฝีมือใกล้เคียงกับจื่อเฟิงได้

คนที่มาลอบสังหารในวันนี้ แม้จะได้รับการฝึกฝนมาอย่างดี แต่ก็นับว่าเป็นนักฆ่าธรรมดา เพียงแต่จำนวนคนเยอะกว่าก็เท่านั้น

ด้วยทักษะของยู่หลิวซูก็สามารถจัดการกับพวกเขาได้

หลังจากรอมาเกือบครึ่งชั่วโมง นักฆ่ากลุ่มนั้นก็พากันหนีตาย ยู่หลิวซูมองกระบี่ยาวที่อาบไปด้วยเลือดในมือก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย แล้วก็หยิบผ้าเช็ดเหงื่อออกมาจากอก เอามาเช็ดคราบเลือดจนสะอาด

จากนั้นก็มาตรงหน้าหลานเยาเยา คุกเข่าข้างเดียวคำนับพูดว่า:

“คารวะเทพธิดา”

หลานเยาเยายกมุมปาก แกล้งถามว่า:

“หัวแรงใหญ่ยู่ เจ้ามาอยู่ที่นี่ได้เช่นไร?”

“······อะแฮ่ม ข้า ข้ามีเรื่องอยากจะขอร้อง”

พูดเสร็จ ยู่หลิวซูที่คุกเข่าอยู่ข้างเดียว ก็รีบเปลี่ยนเป็นคุกเข่าสองข้าง แล้วพูดด้วยนอบน้อมว่า:

“เทพธิดาโปรดให้โอกาสข้าอีกครั้ง ให้ข้าได้ติดตามข้างกายท่าน เป็นผู้ช่วยท่าน ร่วมเป็นร่วมตาย”

ถิงเมี่ยนดูอยู่ข้างๆ

ทันใดนั้นก็ตกตะลึง

ยังมีแบบนี้อยู่อีกหรอ?

คนหล่อก็เลียแข้งเลียขา งั้นเขาที่ฉลาดก็ได้เหมือนกันใช่หรือไม่?

อาจจะเพราะได้รับผลกระทบจากทัศนคติที่จริงใจของยู่หลิวซู ดังนั้นถิงเมี่ยนจึงคุกเข่าลงตาม แล้วพูดเหมือนกับยู่หลิวซู:

“ข้าน้อยก็เต็มใจที่จะติดตามเทพธิดา คุ้มกันเทพธิดา ถ้าเทพธิดาไม่รังเกียจ ข้าน้อยก็ยินดีบุกน้ำลุยไฟ ถ้าตายก็มิกลัว”

ทันทีที่พูดจบ

ก็เจออยู่หลิวซูที่กลอกตาใส่

เด็กเถื่อนที่ไหน?

เขาแอบตามเทพธิดามาตั้งกี่วัน ก็เพื่อที่จะหาโอกาสดีๆสร้างคุณงามความดี จากนั้นติดตามเทพธิดาอย่างเป็นขั้นตอน

ถ้าไปยั่วยุให้เทพธิดาไม่สบอารมณ์ ทำให้เรื่องดีงามของเขาล้มเหลว เขาก็จะเรียกเข้ามาด้วยสองหมัดของเขา

แต่ว่า

หลังจากครู่หนึ่ง

ก็ไม่เห็นเทพธิดาตอบ ทั้งสองคนก็เกิดความสงสัยในใจ จึงอดไม่ได้ที่จะเงยหัวขึ้นอย่างช้าๆ แต่สิ่งที่เห็นกลับไม่ใช่เทพธิดา แต่คือตาแก่ที่ถือกระสอบใหญ่ มองพวกเขาด้วยรอยยิ้มที่แปลกประหลาด

ด้วยเหตุนี้ พวกเขายังไม่ทันได้ต่อต้านก็ถูกจับใส่กระสอบพาไป

หลังจากนั้นพวกเขาก็เข้าไปในสำนักหงอีอย่างมึนงง ถลำเข้าไปในถ้ำมืดมิด เข้าไปในถ้ำพิษ เคยผ่านกลไกค่ายกลกระบี่ แล้วยังดื่มเลือด สาบาน หลังจากนั้นก็สลบอย่างมึนงง แล้วก็ถูกห่อพามายังสำนักอีหง

ตอนที่พวกเขาตื่นขึ้นมา

ก็ถูกฝังอยู่ในกองฟาง

ตอนที่พวกเขาสองคนออกมาจากกองฟางพร้อมกัน ก็รู้สึกกระอักกระอ่วนเหมือนคนที่ตกอยู่ในสถานการณ์เดียวกัน ช่วยกันประคองขึ้นมา

ถิงเมี่ยนมองแขนขาตนเองด้วยความหวาดผวา แล้วจู่ๆก็ถอนหายใจออกมา

“รู้สึกอย่างกับเดินอยู่ในตำหนักยมราชเลย และที่นี่ก็ดูราวกับอยู่คนละภพ”

ยู่หลิวซูยังนับว่าสงบอยู่ หน้าตาสดใสไม่เปลี่ยน

“ถ้าข้าเดาไม่ผิด พวกเราได้เข้ามาในสำนักหงอีที่ลึกลับ แล้วก็กลายเป็นหนึ่งในนั้น”

ที่แท้เบื้องหลังของเทพธิดาก็มีสำนักหงอี

ไม่รู้ว่านอกจากสำนักหงอีแล้วยังมีอะไรอีก?

“สำนักหงอี? เป็นไปไม่ได้ไหม? โอ้~แม่เจ้า!แม่เจ้า! ข้าเข้ามาในสำนักหงอี”

ทันใดนั้นถิงเมี่ยนก็ตื่นเต้นจนพูดไม่เป็นภาษา หลังจากกระโดดโลดเต้นอยู่ครู่หนึ่ง ก็ค่อยๆสงบลงแล้วถามว่า:

“ได้ยินมาว่า ส่วนที่ลึกลับที่สุดของสำนักหงอีก็คือ การเดินอยู่ข้างในนี้แล้วสามารถทำให้คนเข้าใจความเป็นความตาย ไม่กลัวการเสียสละ”

ยู่หลิวซูเหลือบตามองเขา พูดเย็นชา

“เจ้าก็เหมือนกับอยู่คนละภพ ยังไม่เข้าใจความเป็นความตายหรือ?”

“อ้อ ก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ!”

ทันใดนั้น!

จู่ๆก็มีตาแก่ปรากฏขึ้นตรงหน้าพวกเขาพร้อมกับถือกระสอบมาสองใบ มองพวกเขาด้วยสายตาน่ากลัวด้วยใบหน้ายิ้มเยาะ

ยู่หลิวซูและถิงเมี่ยนหน้าซีดเผือดทันทีแล้วก็อดไม่ได้ที่จะหลับไปหลายก้าว

“เป็นไปไม่ได้! ยังมาอีกหรือ?”

“ไม่ใช่ว่าดื่มเลือดสาบานไปแล้วหรือ? ยังไม่ผ่านอีกหรอ?”

สถานที่ที่มีโอกาสรอดตายน้อยเช่นนั้น พวกเขาไม่อยากจะพบกับประสบการณ์แบบนั้นอีกครั้ง ครั้งนี้โชคดีถึงออกมาได้

ถ้าอีกรอบนึง เกรงว่าจะติดอยู่ด้านในแล้ว

“ชิ!ดูพวกเจ้าหวาดกลัวจนเป็นแบบนี้ ไม่รู้จริงๆว่าทำไมเจ้าสำนักอ่อนข้อให้พวกเจ้าเข้ามาในสำนักหงอี ไม่ได้มีบุคลิกที่น่านับถือเหมือนข้าในตอนนั้นเลยสักนิด”

เขาจะไม่โง่บอกพวกเขาหรอก ว่าในตอนนั้นเขาคลานออกมา

เมื่อเห็นยู่หลิวซูพวกเขาทั้งสองมองมาที่เขาอย่างระมัดระวัง เขาก็พูดอีกว่า

“วางใจเถอะ ก็ไปจับคนอื่นมาใช้”

“……จับ?”

ถิงเมี่ยนเบิกตากว้าง

“ไม่อย่างงั้นหล่ะ? ใครจะขอเข้ามาโง่ๆแบบพวกเจ้า ไม่รู้จักที่มาของชื่อสำนักหงอีรึไง?”

“คืออะไร?”ยู่หลิวซูสงสัย เขารู้สึกถึงลางไม่ดี

และก็เป็นเช่นนั้น!

“สาเหตุที่ชื่อสำนักนี้ได้ชื่อว่าสำนักหงอีก็เพราะเจ้าสำนัก สำนักหงอีของพวกเรา ตั้งแต่สวมชุดขาวเข้าออกยุทธภพ ถูกเลือดนับครั้งไม่ถ้วนไปเรื่อยๆ เสื้อที่เปื้อนเลือดมีจนนับไม่หมด เปลี่ยนไม่ได้ ล้างก็ไม่หมด คอยสะสมไปวันแล้ววันเล่า

เมื่อใดก็ตามที่เจ้าสำนักปรากฏตัวต่อหน้าทุกคน เสื้อผ้าก็จะเปื้อนเลือดตลอด

เมื่อเวลาผ่านไป เจ้าสำนักก็สวมเสื้อคลุมสีแดง สำนักหงอีก็ได้ตั้งชื่อตามเหตุนี้

และถ้าอยากกลายเป็นสมาชิกของสำนักหงอี ก็จะต้องเป็นเหมือนเจ้าสำนัก ที่มีเลือดแดงเปื้อนเสื้อคลุมถึงจะมีคุณสมบัติเข้ามาได้”