บทที่ 295 ง้อเขา
ละครฉากนี้ดำเนินไปได้ไม่นานนัก เนื่องจากเทศกาลโคมไฟได้เริ่มขึ้นแล้ว หยวนถงไม่มีเวลามาต่อปากต่อคำเจ้าตัวต่อตัวนี้อีก นางลากพี่สาวของนางไปชมเทศกาลโคมไฟ
“เกินไปเสียจริง หญิงสาวสมัยนี้ไร้เหตุผลกันถึงเพียงนี้เชียวหรือ” กู้เฉิงเฟิงลูบหน้าท้องที่ถูกอัดเสียจนจุก แล้วลูบใบหน้าของตน
หยวนถงเป็นหญิงสาวไร้วรยุทธ์ แรงของฝ่ามือนางนั้นไม่ถือว่าหนักมาก แต่ก็ทำเอากู้เฉิงเฟิงอับอายยิ่งนัก
ที่เจ็บจริงๆ คือช่วงเอวของเขา อวัยวะส่วนนี้ของชายหนุ่มแตะต้องกันได้หรือ
ในภายภาคหน้าจะยังไหวอยู่หรือไม่นะ
“ต้องช้ำแน่เลย” กู้เฉิงเฟิงบ่นพึมพำด้วยความโกรธเคือง
กู้ฉังชิงมองเขาอย่างไร้อารมณ์ “เจ้าอายุเท่าไหร่แล้ว”
“สิบแปด…สิบเก้า ทำไมหรือ”
เขาอายุเท่าเซียวลิ่วหลัง แค่เกิดคนละเดือน ตอนนี้อายุจริงสิบแปด อายุลวง สิบเก้า
ทว่ากู้ฉังชิงไม่ได้พูดอะไรต่อ ได้แต่ส่งสายตาให้เขาคิดเอาเอง
กู้เฉิงเฟิงไม่ได้รู้สึกว่าเขาทำผิดอะไรแม้แต่น้อย เขาเป็นฝ่ายถูกชนแท้ๆ แล้วยังจะถูกตีอย่างไร้เหตุผลอีก จะไปขอความเป็นธรรมจากใครได้บ้าง
กู้ฉังชิงเลิกสนใจเขา เขาหันกลับแล้วเดินมุ่งไปยังตรอกปี้สุ่ย
คนที่เติบโตในเมืองหลวงต่างก็รู้สถานการณ์ในช่วงเทศกาลโคมไฟดี อีกไม่ช้าถนนฉางอันก็จะแน่นขนัดจนขยับไม่ได้ พวกเขาจอดรถม้าไว้ที่ที่ห่างออกไปหนึ่งลี้ เพื่อไม่ให้อีกประเดี๋ยวออกมาไม่ได้
กู้ฉังชิงมองดูกู้เฉิงเฟิงที่เดินตามเขามาแล้วเอ่ยถามขึ้น “เจ้ามาดูเทศกาลโคมไฟมิใช่หรือ แล้วเหตุใดไม่ไปเล่า”
กู้ฉังชิงไปเยี่ยมกู้เหยี่ยน ส่วนกู้เฉิงเฟิงไปชมเทศกาลโคมไฟ ทั้งสองไปทางเดียวกันจึงได้มาด้วยกัน
กู้เฉิงเฟิงหยาม “เดิมทีข้าก็จะไปชมเทศกาลโคมไฟอยู่หรอก แต่เจ้าข้าวหลามตัดนั่นก็ไปเช่นกัน ข้าไม่อยากพบนาง! คนใดพบนางคนนั้นโชคร้าย!”
“ระวังคำพูดด้วย” กู้ฉังชิงเอ่ยอย่างเคร่งขรึม
กู้เฉิงเฟิงเบะปาก
หากกล่าวถึงความประพฤติ กู้เฉิงเฟิงสู้กู้เฉิงหลินผู้เป็นน้องชายไม่ได้เลย กู้เฉิงหลินถูกที่บ้านตามใจจนเสียก็จริง แต่เมื่ออยู่ข้างนอกนั้น กิริยาท่าทางคำพูดคำจาของเขามีความเป็นคุณชายผู้สูงศักดิ์ยิ่งนัก
หากวันนี้เป็นกู้เฉิงหลินที่ถูกหญิงสาวตี คงจะได้แต่อดกลั้นไว้จนหน้าแดงไม่เอ่ยปากสักคำ
กู้ฉังชิงไม่ได้เอ่ยอะไรต่อ หากกู้เฉิงเฟิงอยากตามมาก็ช่าง
กู้เหยี่ยนไม่เป็นอะไรมากแล้ว และยังกลับมาจากจี้จิ่วอาวุโสแล้ว เพียงแต่ยังไม่ได้ไปเรียนที่สำนักบัณฑิตชิงเหอ และไม่ได้ไปเรียนวิชากับหนานเซียงและปรมาจารย์หลี่ว์
กู้เจียวและคนอื่นๆ ต่างก็ไม่อยู่กัน มีเพียงเสี่ยวจิ้งคงที่กลับมาจากกั๋วจื่อเจียน มือหนึ่งหิ้วถังน้อยประจำตัว อีกมือหนึ่งถือขันน้อยรดน้ำแปลงผักเรือนหน้าอย่างตั้งใจ
เมื่อเขารดน้ำเสร็จ จะปล่อยลูกไก่เข้าไปจับหนอนในดินแปลงผัก
เสี่ยวจิ้งคงได้ยินเสียงเปิดประตูก็หยุดรดน้ำแล้วหันไปมอง แล้วเอ่ยขึ้นอย่างดีใจ “ท่านพี่ มาแล้วหรือ!”
“จิ้งคง” กู้ฉังชิงพยักหน้าแล้วเดินข้ามธรณีประตูมา
กู้เฉิงเฟิงก็เดินเข้ามาเช่นกัน
เขามาตรอกปี้สุ่ยไม่บ่อยนัก เหตุการณ์ที่จำได้ขึ้นใจคือตอนที่ถูกฉีดยาชาแล้วจับโยนลงบนเตียง มองเห็นภาพการผ่าตัดอันน่าสยดสยองกับตา
จนถึงตอนนี้ เขาก็ยังกินเนื้อสัตว์ไม่ได้
“เอ๋ ท่านพี่ท่านนี้ก็มาด้วยหรือ” เสี่ยวจิ้งคงเคยพบกู้เฉิงเฟิงที่โรงหมอ เพียงแต่ไม่รู้จักชื่อเสียงเรียงนาม จึงได้แต่เรียกท่านพี่
ไม่สืบถามเรื่องส่วนตัวของคนไข้ เป็นจรรยาบรรณของหมอทุกคน
เจียวเจียวเป็นหมอ เขาก็เป็นหมอเช่นกัน!
เขายังเคยช่วยชีวิตท่านอารูปงามเอาไว้ได้สำเร็จอีกด้วย!
กู้เฉิงเฟิงขานรับ เขามองดูเจ้าเด็กที่โกนหัวกู้เฉิงหลินจนแหว่ง ในใจยังคงมีปมเหลืออยู่ไม่หาย
แต่ที่ปฏิเสธไม่ได้คือ เจ้าเด็กนี่รูปลักษณ์ใช้ได้เลยทีเดียว
“ข้าช่วยเจ้าเอง” กู้ฉังชิงกล่าวกับเสี่ยวจิ้งคง
เสี่ยวจิ้งคงคิดอยู่สักครู่ “อืม…ก็ได้”
เจียวเจียวบอกว่า บางครั้งใช่ว่าเพราะต้องการความช่วยเหลือจากผู้อื่นจึงยอมรับความช่วยเหลือจากเขา เพราะความชอบก็ได้เช่นกัน
เขาชอบท่านพี่!
น้ำในถังไม้แทบหมดแล้ว ยังไม่ได้รดน้ำผักอีกกว่าค่อนแปลง กู้ฉังชิงจึงไปตักน้ำที่เรือนหลัง
เขาส่งของขวัญที่เขาเตรียมมาให้กับเสี่ยวจิ้งคง
เสี่ยวจิ้งคงกอดห่อผ้าห่อใหญ่เอาไว้ เอียงหน้ามองกู้เฉิงเฟิง
กู้เฉิงเฟิงถูกมองจนเสียอาการ เขาลูบจมูกแล้วเอ่ย “เช่นนั้น…ข้าช่วยเจ้าด้วยแล้วกัน! ยังมีงานอะไรต้องทำอีกหรือไม่”
เสี่ยวจิ้งคงพยักหน้า ดวงตาเปล่งประกายแวววาว แล้วชี้ไป “ตรงนั้นก็มีถัง!”
เสี่ยวจิ้งคงพากู้เฉิงเฟิงมาหยุดตรงหน้าถังอีกใบหนึ่ง แล้วใบหน้าอันขาวผ่องก็มืดหมองลงทันที
เหตุใดท่านพี่เขาได้ไปตักน้ำ ส่วนเขาต้องมาตักของเสียล่ะ!
กู้เฉิงเฟิงอดกลั้นเอาไว้ ไม่ให้ตนเองกลอกตาใส่จิ้งคง “เจ้าเอาของพวกนี้มาทำอะไร”
เสี่ยวจิ้งคงตอบอย่างจริงจัง “ใส่ปุ๋ยอย่างไรเล่า! ปุ๋ยยิ่งดี ผักก็ยิ่งสวย!”
และหลักเกณฑ์ที่ใช้ตัดสินว่าปุ๋ยดีหรือไม่คือ…
กู้เฉิงเฟิงไม่กล้าคิดต่อ
เดิมทีแค่กินเนื้อสัตว์ไม่ได้ จากนี้ไป แม้แต่ผักก็จะกินไม่ได้แล้วหรือ
เขามีเวรมีกรรมอะไรกับเรือนในตรอกปี้สุ่ยหลังนี้กันแน่
หากมาอีกครั้ง แม้แต่น้ำก็คงไม่ต้องดื่มกันแล้วกระมัง!
ก็ตนจะช่วยเณรน้อยเอง แม้จะอยากร้องไห้ก็ต้องช่วยต่อไปจนเสร็จ~
ฮือ~
คุณชายผู้สูงศักดิ์อย่างกู้เฉิงเฟิง ได้รู้ซึ้งถึงคำว่าตายทั้งเป็นก็คราวนี้
กู้ฉังชิงไปที่ห้องของกู้เหยี่ยน
กู้เหยี่ยนเพิ่งตื่นนอนมา กำลังนั่งเหม่ออยู่ริมหน้าต่าง ปอยผมบนหัวกระดกขึ้นมาอย่างยุ่งเหยิง
อาจเป็นเพราะเมื่อคืนฝนตก อากาศวันนี้จึงไม่ร้อนนัก มีลมเย็นพัดโชย สำหรับกู้ฉังชิงแล้ว ช่างเป็นอากาศที่สบายยิ่งนัก
แต่สำหรับกู้เหยี่ยนแล้วอากาศเช่นนี้เย็นเกินไป
เขาสวมเสื้อผ้าตัวบางนั่งอยู่ตรงนั้น มองไปเหมือนเด็กน่าสงสารไร้ที่พึ่งพา
แท้จริงแล้ว เขาแค่เพิ่งตื่นเลยยังมึนงงอยู่เท่านั้นจริงๆ…
ทว่าในสายตากู้ฉังชิงมองมา กลับกลายเป็นว่าเขากำลังวิตกกับเรื่องบางอย่างจนห่อเหี่ยวเศร้าหมอง
เพราะถังหมิงหรือ
หรือว่าเพราะตนเองกันแน่
กู้ฉังชิงไม่แน่ใจ ความกระวนกระวายทะลักโถมขึ้นมาจากก้นบึ้งหัวใจ ใจอยากเดินเข้าไปคลุมเสื้อให้ แต่ก็กลัวว่าเขาจะรังเกียจตน ไม่อยากเห็นตน
“เจ้ามาแล้วหรือ”
เสียงของแม่นางเหยา
แม่นางเหยาเพิ่งไปทำของว่างให้กู้เหยี่ยนในครัวมา นางยังไม่เห็นกู้เฉิงเฟิงที่ถูกเสี่ยวจิ้งคงทับถมจนแทบตายทั้งเป็นที่เรือนหน้า นางไม่ประหลาดใจเท่าใดเมื่อเห็นกู้ฉังชิงปรากฏตัวอยู่ที่นี่
“ได้ยินว่าพักก่อนเกิดปัญหาในค่ายทหาร เจ้าไม่เป็นอะไรใช่หรือไม่” แม่นางเหยาเอ่ยถาม
นับเป็นครั้งแรกตั้งแต่กู้ฉังชิงโตเป็นผู้ใหญ่ ที่แม่เลี้ยงอย่างนางเป็นห่วงเขาอย่างเปิดเผย
เมื่อครั้นเพิ่งแต่งเข้าจวนโหว นางเคยมีความคิดไร้เดียงสา ว่าจะสามารถชุบเลี้ยงเด็กสามคนได้ แม้ว่านั่นจะไม่ใช่ความยินยอมของนาง
แต่อย่างไรเสียก็แต่งเข้าจวนแล้ว นางก็ไม่เคยคิดจะหลบหนี
แต่สุดท้ายก็เป็นไปตามคาด
“ข้าไม่เป็นอะไร” กู้ฉังชิงตอบอย่างสุภาพ
เมื่อได้ยินเสียงของเขา กู้เหยี่ยนก็รู้สึกตัว เขาหันกลับมาในทันใด
กู้ฉังชิงสังเกตเห็นเขาจากหางตา ก็รีบมองไปที่เขา เหมือนว่าอยากจะเห็นสีหน้าของเขา แต่กู้เหยี่ยนไม่รู้ว่าจู่ๆ นึกอะไรขึ้นได้ หรือว่าเกิดอะไรขึ้น หันมาเพียงเล็กน้อยแล้วก็หันกลับไป
กู้ฉังชิงผิดหวังยิ่งนัก
แม่นางเหยามองกู้เหยียนครู่หนึ่งแล้วยิ้ม นางส่งของว่างในมือให้กู้ฉังชิง “เพิ่งนึกขึ้นได้ว่าข้ายังทำเสื้อไม่เสร็จ เจ้าเอาให้เหยี่ยนเอ๋อร์หน่อยแล้วกัน”
“อ้อ…” กู้ฉังชิงกำลังลังเลว่าจะปฏิเสธดีหรือไม่ แต่แม่นางเหยาก็ยัดจานของว่างใส่มือเขาเสียแล้ว
กู้ฉังชิงมองเบื้องหลังของแม่นางเหยาที่เดินจากไป จู่ๆ ก็มีความรู้สึกว่า หากตอนนั้นไม่มีอคติ ไม่เชื่อคำยุยงใส่ร้าย แม่นางเหยาอาจจะเป็นแม่เลี้ยงที่อ่อนโยนและเข้าใจผู้อื่นจริงๆ ก็ได้
เพียงแต่ความสัมพันธ์ระหว่างเขากับแม่นางเหยา ไม่อาจกลับมาเป็นความสัมพันธ์ที่วาดหวังได้แล้ว
แต่เขากับกู้เหยี่ยน…
เขาบีบนิ้วตัวเอง
เขาไม่อยากยอมแพ้
เขาเคาะประตูห้องที่เปิดอ้าอยู่ “ข้าเข้ามาแล้วนะ”
กู้เหยี่ยนไม่ได้ส่งเสียงใด ได้แต่ขยับตัวไปข้างหน้า แสดงออกถึงท่าทีต่อต้านที่ไร้เสียง
กู้ฉังชิงมาอยู่ข้างกายเขา วางขนมถั่วเขียวที่จัดวางซ้อนกันอย่างพิถีพิถันตรงหน้าเขา “ยังร้อนอยู่ รีบกินเร็ว”
กู้เหยี่ยนไม่กิน
กู้เหยี่ยนใช้เสื้อหยิบแล้วโยนลงพื้นอย่างไม่เกรงใจ
หากก่อนหน้านี้เป็นเพียงการทดสอบและคาดเดา เช่นนั้นเหตุการณ์ตรงหน้านี้ก็แทบจะทำให้แน่ใจว่ากู้เหยี่ยนโมโหเขาอยู่จริงๆ
เขาไม่คิดว่าช่วงนี้เขาได้ทำอะไรให้กู้เหยี่ยนโมโห หากแต่จะมีจริง ก็คงจะเป็นคืนที่ถูกโจรล่อออกจากค่ายทหาร เขาเผลอระเบิดอารมณ์ให้กู้เหยี่ยนเห็นอย่างไม่เก็บอาการก็เท่านั้น
แต่กู้เหยี่ยนไม่ใช่เด็กไร้เหตุผล
ฉะนั้น…
กู้ฉังชิงสูดหายใจเต็มปอด
การคาดเดาที่เขาไม่อยากเผชิญ ไม่อยากคิดถึง ก็ได้แล่นเข้ามาในหัว
“หรือว่าเจ้า…”
เขาหลับตาลง สุดท้ายกลับไม่ได้เอ่ยคำถามนั้นออกไป
หากย้อนเวลากลับไปได้ เขาจะไม่ปฏิเสธเด็กที่แอบดูเขาฝึกกระบี่อยู่หลังต้นไม้คนนั้น จะไม่โยนผ้าเช็ดหน้าของเขาทิ้งอย่างจงใจ จะไม่นิ่งเฉยในเวลาที่เขาต้องการตนมากที่สุด จะไม่เอาความโกรธแค้นที่มาจากท่านพ่อมาลงที่เขา จะไม่เฉยชากับเขา จะไม่ทำร้ายเขา จะไม่…
สิ่งที่จะไม่ทำนั้น มันมากมายเหลือเกิน