บทที่ 296 แม่ลูก
แม่นางเหยาไปเก็บพริกที่เรือนหน้า เมื่อนางมองไปก็เห็นกู้เฉิงเฟิงเหงื่อไหลดั่งสายฝนอยู่ในแปลงผัก
แม่นางเหยาก็ตกตะลึงเล็กน้อย นึกว่าตนจำคนผิด
แต่เพียงครู่เดียว นางก็ต้องสลัดความคิดของตนเองทิ้ง
นั่นคือกู้เฉิงเฟิงจริงๆ
น่าแปลก เหตุใดเขาจึงมาด้วยล่ะ
แล้วยังทำ…งานอีกด้วยน่ะหรือ
เสี่ยวจิ้งคงเอ่ยขึ้นอย่างจริงจัง “จะราดที่เดียวไม่ได้นะ ต้องราดให้ทั่วถึง ต้องราดปุ๋ยให้ท่วมผักทุกต้นเลยนะ”
เสี่ยวจิ้งคงบอกให้เขาทำหรือ พวกเขาทั้งสองรู้จักกันหรือ
กู้เฉิงเฟิงกำลังจะกล่าวกับเสี่ยวจิ้งคงว่า ‘หากเจ้าทำได้ก็มาทำเองสิ’ แต่เมื่อเขาหันหน้ามาก็เห็นแม่นางเหยาทันใด
ดวงตาทั้งสองคู่ประสานกันทันใด
ทั้งสองคน “…”
เมื่อยามอาทิตย์คล้อยต่ำ เซียวลิ่วหลังเลิกงานจากสำนักฮั่นหลิน ส่วนหลินเฉิงเย่และเฝิงหลินก็บังเอิญเลิกเรียนจากสถาบันฮั่นหลินพอดี
“ลิ่วหลัง!”
เฝิงหลินกระโดดลงจากรถม้าเรียกเขาเอาไว้
เมื่อเฝิงหลินเรียนจบจากกั๋วจื่อเจียนแล้ว ก็ไม่สามารถอาศัยอยู่ในหอพักของกั๋วจื่อเจียนได้อีก ค่าครองชีพในเมืองหลวงสูงยิ่งนัก ค่าห้องพักก็แสนแพง โชคดีที่ได้รู้จักกับลูกคนรวยอย่างหลินเฉิงเย่
ตอนนี้เขาอาศัยอยู่ในเรือนของหลินเฉิงเย่ และจ่ายค่าเช่าเล็กน้อยให้กับหลินเฉิงเย่ทุกเดือน
ทั้งสองเรียนหนังสือด้วยกันยามกลางวัน ตกดึกก็ทบทวนบทเรียนด้วยกัน ก็ถือว่าเป็นเรื่องดียิ่งนัก
สถาบันฮั่นหลินแม้จะขึ้นกับสำนักฮั่นหลิน แต่เวลาเลิกเรียนของสถาบันฮั่นหลินแตกต่างกับเวลาเลิกงานของขุนนางสำนักฮั่นหลิน พวกเขาทั้งสามไม่เคยได้พบกันเลย
“วันนี้เลิกเร็วหรือ พวกเขาไม่ได้ให้เจ้าทำอะไรหรือ” เฝิงหลินถาม
จุดประสงค์หลักของราชบัณฑิตอย่างพวกเฝิงหลินคือการเรียน ไม่มีงานให้พวกเขาทำมากมายนัก แต่เซียวลิ่วหลังเป็นขุนนาง จึงไม่เหมือนกัน
ยิ่งเซียวลิ่วหลังเป็นเด็กใหม่ด้วยแล้ว มักจะถูกไหว้วานให้ทำงานจุกจิกเป็นประจำ
หนิงจื้อหย่วนก็มักจะถูกเรียกไปให้ทำงานจุกจิกเช่นกัน
ยกเว้นคนพื้นเพดีอย่างอันจวิ้นอ๋อง คนในสำนักฮั่นหลินต่างเข้ามารับใช้เขา ไม่กล้าใช้งานเขา
“อืม วันนี้ไม่มีงานอะไร” เซียวลิ่วหลังตอบ
“ลิ่วหลัง พวกเราส่ง เจ้ากลับไป” หลินเฉิงเย่ยื่นหน้าออกมาจากหน้าต่างรถม้า
อาการติดอ่างของหลินเฉิงเย่แม้จะยังไม่หายดี แต่สามารถพูดออกมาทีเดียวสามคำได้บ้างในบางครั้ง ก็ถือเป็นเรื่องหน้ายินดี
จะว่าไป นี่เป็นผลงานของเฝิงหลินเชียวนะ
เฝิงหลินฝึกพูดกับหลินเฉิงเย่ทุกคืน เขาได้รับแรงบันดาลใจจากกู้เจียว กู้เจียวจะช่วยเซียวลิ่วหลังให้ฝึกเดินทุกคืน แม้จะฝึกอยู่ทุกวันเช่นนี้แล้วอาการของเซียวลิ่วหลังจะไม่มีทีท่าดีขึ้นเลยก็ตาม
แต่กู้เจียวก็ไม่เคยย่อท้อ
เฝิงหลินซาบซึ้งใจยิ่งนัก
แน่นอนล่ะ เซียวลิ่วหลังให้กู้เจียวฝึกเขียนพู่กันทุกวันอย่างไม่ย่อท้อ ท่าทีแทบจะบ้าคลั่งของกู้เจียวก็น่าตื่นตกใจเช่นกัน
เซียวลิ่วหลังไม่ได้นอนทั้งคืน เมื่อคืนก็ไม่ได้กินข้าว ตอนกลางวันก็ไม่อยากอาหาร ตอนนี้รู้สึกอ่อนเพลีย หากเดินกลับไปเองก็คงลำบาก
เขาขึ้นรถม้าไป
หลินเฉิงเย่ตั้งใจจะไม่ทำให้เอิกเกริกจึงเลือกรถม้าที่ไม่ใหญ่มาก แต่ของใช้ภายในรถกลับเต็มไปด้วยกลิ่นอายความหรูหราของคนรวย
หลินเฉิงเย่เคยชินแล้ว
เซียวลิ่วหลังแทบจะถูกโยกจนเวียนหัว
ทั้งสองสละที่นั่งที่สบายที่สุดให้กับเซียวลิ่วหลัง
สำหรับพวกเขาแล้ว เซียวลิ่วหลังเป็นทั้งอาจารย์และสหาย หากไม่มีเซียวลิ่วหลัง ก็ไม่มีพวกเขาในวันนี้
“ลิ่วหลัง สีหน้าเจ้าไม่ดีนัก ช่วงนี้เหนื่อยเกินไปหรือเปล่า” อย่างไรเสียเฝิงหลินก็ไม่ได้อยู่ในศูนย์รวมอำนาจของสำนักฮั่นหลิน ไม่ได้รู้รายละเอียดเรื่องราวของเซียวลิ่วหลังเท่าไร
ทุกคนต่างรู้ว่าพวกเขาสนิทสนมกับเซียวลิ่วหลัง ก็ย่อมไม่พูดถึงเรื่องของเซียวลิ่วหลังต่อหน้าพวกเขาอยู่แล้ว
เฝิงหลินได้แต่แอบถามตอนได้พบกับหนิงจื้อหย่วนในโรงอาหารเป็นครั้งคราว
เซียวลิ่วหลังเอ่ย “ไม่มีอะไร พวกเจ้าเรียนเป็นอย่างไรบ้าง”
เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ ความสนใจของเฝิงหลินก็เปลี่ยนไปทันที เขาอดไม่ได้ที่จะวิพากษ์วิจารณ์ “ข้าเคยมีความคิดไร้เดียงสาว่า เมื่อสอบเสร็จแล้วก็ไม่ต้องเรียนหนังสืออีก อย่างน้อยไม่ต้องเขียนเรียงความปากู่เหวินแล้ว ที่ไหนได้ ไม่ต้องเขียนปากู่เหวินก็จริง แต่ดันมีประวัติศาสตร์ คณิตศาสตร์ เกษตรศาสตร์ ดาราศาสตร์โผล่มาอีก…”
เนื้อหาเรียนไม่ต่างอะไรกับของพวกสอบขุนนางได้อันดับหนึ่ง เพียงแต่ความเร็วของการเรียนและความลึกของเนื้อหาจะแต่งต่างกันอยู่บ้าง
อย่างไรเสียพวกเขาก็เป็นกลุ่มคนที่เตรียมตัวเป็นขุนนางของราชสำนัก การเรียนก็ย่อมไม่เหมือนกันอยู่แล้ว
เป้าหมายของพวกเขาไม่ใช่การสอบคัดเลือกขุนนางอีกแล้ว แต่คือวิธีการเป็นขุนนางที่เป็นประโยชน์ต่อชาวเมืองและแผ่นดิน ถ้าจะให้ดี ต้องสามารถทำคุณประโยชน์ให้แก่ชาวเมืองได้จริงอีกด้วย
สำนักฮั่นหลินในราชวงศ์นี้เคร่งครัดกว่าราชวงศ์ก่อน ได้ยินว่าพวกเขายังไปพื้นที่ชนบทอีกด้วย
ไม่รู้ว่าเมื่อไรจะถึงคราวของขุนนางใหม่อย่างพวกเขา
เมื่อเซียวลิ่วหลังกลับถึงบ้าน กู้เจียวก็เพิ่งกลับมาจากโรงหมอพอดี นางสะพายตะกร้าแล้วเอามือพยุงด้านล่างของตะกร้าไว้ เดินอย่างใจลอยด้วยท่าทีไม่ต้อนรับแขก
เซียวลิ่วหลังกลับรู้สึกว่านางเดินด้วยท่าทีวางโตและยียวนเกินไป
ไม่รู้ว่ากู้เจียวรู้สึกได้ถึงอะไร นางหันหน้ามาอย่างเรียบเฉย
เหมือนว่านางก็ไม่นึกว่าเซียวลิ่วหลังจะอยู่ด้านหลังของนางเช่นกัน ใบหน้าของนางยังคงมีความวุ่นวายใจที่ยังไม่ทันเลือนหายไป
คิ้วขมวดกันแน่น เหลือก็แต่ไม่ได้เขียนคำว่า ‘อย่า…ยั่ว…โม…โห…ข้า…ข้า…อา…รมณ์…ไม่…ดี!’ บนใบหน้าแล้วล่ะ
เมื่อกู้เจียวเห็นเซียวลิ่วหลัง สีหน้าก็เปลี่ยนไปเป็นเด็กดีเชื่อฟังทันที
หากไม่เรียกว่าสีหน้าเด็กดีเชื่อฟัง เช่นนั้นก็เป็นอ่อนโยนก็ได้!
กู้เจียวเบิกดวงตาเปล่งประกายออกกว้าง ใช้การแสดงขั้นสุดอย่างเต็มกำลัง
แต่เสียดายที่สายไปแล้ว
เซียวลิ่วหลังเห็นหมดแล้ว
อ๋อ ที่แท้นางเป็นคนเช่นนี้เองหรือ
เซียวลิ่วหลังตะลึงไปสักครู่ เหมือนพบผืนดินแห่งใหม่ แล้วเขาก็หัวเราะออกมาเบาๆ อย่างอดไม่ได้
ท้องที่หิวมาหนึ่งวันหนึ่งคืน ความเหนื่อยทั้งคืน ความล้าจากงานที่ยุ่งง่วนทั้งวันนั้น หายไปกับสายลม ณ เวลานี้
มือทั้งสองของกู้เจียวกำสายตะกร้าเอาไว้ ก้มหน้าลงแล้วใช้ปลายเท้าเตะก้อนหินบนพื้น
ห้ามยิ้ม
มันจะดูดีเกินไป
“เอามาให้ข้า” เซียวลิ่วหลังประคองไม้เท้าเดินเข้าไปจะถือตะกร้าบนหลังนาง
“ไม่ต้อง ไม่หนัก” กู้เจียวตอบ
ครั้งล่าสุดที่นางปฏิเสธไม่ให้เขาช่วยถือของนั้น คือตอนที่ซื้อขนมซานจาเชื่อมให้เสี่ยวจิ้งคง
ภาพที่คุ้นเคยแล่นเข้ามาในหัว เซียวลิ่วหลังสีหน้าตะลึงเล็กน้อย กะพริบตาเล็กน้อย แล้วค่อยๆ ยื่นมือเข้าไปจะจับมือนาง
ปลายนิ้วใกล้เพียงเอื้อม แทบจะสัมผัสได้ถึงความอบอุ่นของมือนางแล้ว
“ลิ่วหลังกลับมาแล้วหรือ! เจียวเจียวก็กลับมาเหมือนกันหรือ!”
จู่ๆ ท่านป้าหลิวก็เดินออกมาจากเรือนตนเอง แล้วมองพวกเขาทั้งสองด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม
เซียวลิ่วหลังชักมือที่เกือบจะเอื้อมถึงปลายนิ้วของกู้เจียวกลับทันใด ทักทายท่านป้าหลิวด้วยสีหน้าที่นิ่งเฉย “ท่านป้าหลิว”
กู้เจียวมองท่านป้าหลิวด้วยความโกรธเคือง
ท่านป้าหลิวศีรษะเย็นวาบ
แม่นางเจียวเป็นอะไรไปล่ะวันนี้
ดูอารมณ์ไม่ค่อยดีเท่าไร!
ท่านป้าหลิวรีบกล่าวกับเซียวลิ่วหลัง “ลิ่วหลังเจ้า…เจ้ารีบปลอบเมียเจ้าเร็ว เมื่อคืนเจ้าไม่ได้กลับมา นางจึงอารมณ์ไม่ดีหรือเปล่า”
เซียวลิ่วหลังข่มอารมณ์ไว้ พยายามกดมุมปากลง พยายามทำสีหน้าจริงจังเอาไว้ไม่ให้หลุด “เมื่อคืนไปเข้าเวรนอกเมืองกับคนในสำนัก”
เขาพูดให้ท่านป้าหลิวฟัง และพูดให้กู้เจียวฟังด้วย
ท่านป้าหลิวปักหลักอยู่หน้าประตู มองดูสองสามีภรรยาด้วยความเอ็นดู ไม่มีทีท่าที่จะกลับเข้าห้องเลย
เซียวลิ่วหลังเป็นคนหน้าบาง หัวโบราณและจริงจัง
เรื่องจับมือไม่มีทางเลย
กู้เจียวเดินจากไปด้วยสีหน้าโกรธเคือง
ทั้งสองเข้าห้องไป
กู้ฉังชิงกับกู้เฉิงเฟิงยังอยู่
เมื่อคืนฝนตก หลังคาเรือนตาเฒ่าจ้าวพังเสียหาย เดิมทีจะให้กู้เจียวช่วยซ่อม แต่กู้เจียวออกไปตรวจไข้ตั้งแต่ฟ้ายังไม่สาง
เมื่อครู่ตาเฒ่าจ้าวก็มาอีก
เมื่อทราบเรื่องแล้ว กู้ฉังชิงจึงไปซ่อมหลังคาให้
ตาเฒ่าจ้าวเกยกำแพงเรือนของตน เอ่ยด้วยน้ำเสียงอารมณ์ดี “ท่านแม่ของเจียวเจียว นั่นลูกชายคนโตหรือ ช่างเก่งเสียจริง!”
มือที่เอื้อมไปหยิบแผ่นกระเบื้องของกู้ฉังชิงชะงักทันใด
เขาอดกลั้นไว้ไม่ให้ตนเองหันกลับไป
เสียงอันเรียบเฉยและอ่อนโยนของแม่นางเหยาลอยมาจากด้านหลัง “ใช่จ้ะ”
ไฟในอย่านำออก ความสัมพันธ์ระหว่างแม่นางเหยากับกู้ฉังชิงเป็นอย่างไรก็ไม่สมควรที่จะนำไปให้คนนอกวิพากย์วิจารณ์กัน
เหมือนว่าเขาก็เข้าใจคำว่า ‘ใช่’ ของแม่นางเหยา ไม่ได้หมายความว่ายอมรับตนจริงๆ แต่กู้ฉังชิงก็โล่งใจอย่างไร้เหตุผล
อีกด้านหนึ่ง กู้เฉิงเฟิงยังคงรดปุ๋ยอยู่ในแปลงผัก รดปุ๋ยด้วยความกระวนกระวายและทุกข์ใจยิ่งนัก!
เสี่ยวจิ้งคงได้มีเวลาว่างอุ้มเจ้าเสี่ยวปานั่งควบคุมงานอยู่บนเก้าอี้ตัวน้อย เขาคุมงานไปเล่นมือเจ้าเสี่ยวปาไป
เขายังคงไม่ละทิ้งคำอธิษฐานที่อยากให้พี่เขยกลายเป็นเสี่ยวปา อาจารย์เคยกล่าวไว้ว่า หากศรัทธาก็จะบรรลุผล เขาจึงขอพรกับพระก่อนนอนทุกคืน
เขาเชื่อว่าสักวันพระจะสาปให้พี่เขยกลายร่างเป็นเสี่ยวปา!
เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ เขาก็เต็มไปด้วยภาพจินตนาการ “อาเหิง~”
เซียวลิ่วหลังที่เพิ่งจะก้าวเข้าประตูมา “…”
เซียวลิ่วหลังไม่ได้ตกใจกับเสี่ยวจิ้งคงนานนัก เพราะอย่างไรเสียก็มีกู้เฉิงเฟิงปรมาจารย์รดปุ๋ยที่ทำให้เขาตกตะลึงจนอ้าปากค้างมากกว่า
แม่นางเหยาถามไถ่เซียวลิ่วหลังถึงเรื่องเมื่อคืน “…เหนื่อยหรือไม่”
เซียวลิ่วหลังตอบอย่างเลี่ยงๆ “ไม่มีอะไรให้เหนื่อยหรอก ก็แค่จัดห้องเก็บตำรา แยกประเภทและซ่อมแซมตำราเท่านั้น”
นางให้เขาไปเปลี่ยนเสื้อผ้า เตรียมกินข้าว แล้วเอ่ยกับจิ้งคง “จิ้งคง ไปเรียกลูกเขยข้ามากินข้าว”
“อืม!” เสี่ยวจิ้งคงวางเสี่ยวปาลง แล้วเดินไปอย่างกระโดดโลดเต้น!
แม่นางเหยาไปเรียกกู้ฉังชิงที่อยู่ข้างบ้าน
“มากินข้าวก่อนสิ” นางเอ่ย
นางชะงักไปเล็กน้อย เหมือนนึกขึ้นได้ว่าการเชื้อเชิญของตนไม่เหมาะกับความสัมพันธ์ระหว่างตนกับกู้ฉังชิง จึงพูดเสริมอีกประโยค “เจ้าซ่อมหลังคาให้ตาเฒ่าจ้าวสิ ถ้าเจ้าไม่ซ่อม เดี๋ยวก็ต้องให้เจียวเจียวมาซ่อม”
ที่แท้ก็ซึ้งใจที่ตนทำหน้าที่แทนกู้เจียว
“ได้” กู้ฉังชิงซ่อมและเปลี่ยนกระเบื้องแผ่นสุดท้ายเสร็จ จึงลงมาจากหลังคา
ตาเฒ่าจ้าวนำผลไม้และผักดองมาขอบคุณทั้งสอง
เป็นผักดองทำเอง แม่นางเหยารับไว้ ส่วนผลไม้นางให้ตาเฒ่าจ้าวเก็บไว้ให้จ้าวเสี่ยวเป่ากิน
กู้ฉังชิงเห็นท่าทีที่นางจัดการความสัมพันธ์ระหว่างเพื่อนบ้านได้อย่างสบาย ก็อดคิดไม่ได้ว่า หากแม่ของเขายังอยู่บนโลกนี้ ก็คงเป็นเช่นนี้เหมือนกันสินะ