บทที่ 384 เป็นพี่ชายที่ดีไปตลอด

เว่ยจื่ออั๋งเป็นคนมีน้ำใจ เขามักชมดูและติชมบทกวีกับสหายร่วมชั้นอยู่เสมอ ทั้งยังรับฟังคำติชมของผู้อื่นอีกด้วย เด็กหนุ่มกำลังเอื้อมมือไปรับบทกวีของนางมา แต่แล้วสวี่เจวี่ยกับยื่นมือออกมาขวางเอาไว้เสียก่อน

จื่ออั่งงุนงงเขามองสวี่เจวี๋ยอย่างสงสัย

“เจ้าแต่งบทกวีรักหรือ?” สวี่เจวี๋ยพูดเสียงต่ำ

รัก?…กลอนรัก?

สวี่เจวี๋ยหมายถึงอะไร เพื่อนร่วมชั้นของเขาแต่งบทกวีรักให้เขาหรือ? เว่ยจื่ออั๋งชักมือออกทันทีใบหน้าของเขาก็แดงก่ำ

“ข้าขอโทษ..” เว่ยจื่ออั่งพูดช้าๆ

สวี่เจวี๋ยและจื่ออั๋งรีบเดินหนี เด็กสาวผู้นั้นใบหน้าผิดหวัง นางเก็บจดหมายกลับไป

“เป็นแค่บัณฑิตช่างมีกล้าที่จะปฏิเสธบทกวีขององค์หญิง”

“องค์หญิงอย่าไปสนใจเขาเลย สองคนนั่นไม่ได้ดิบดีอะไรนัก ฟังจากสำเนียงแล้วต้องไม่ใช่คนเมืองหลวงเป็นแน่ ไม่รู้ว่ามาจากบ้านนอกที่ไหน”

“บัณฑิตยากไร้เสแสร้งทำตัวสูงส่ง จุ๊ๆ ช่างไม่ส่องตัวเองในกระจกบ้างเลยหรือ??”

ศิษย์ชายกลุ่มหนึ่งพูดขึ้นมาอย่างหงุดหงิด พวกเขาทั้งหมดเป็นบุตรที่สวรรค์ส่งมา ทั้งเกิดในตระกุลขุนนางและมีความเก่งกาจในกั๋วจื่อเจี้ยน

ตั้งแต่เว่ยจื่ออั๋งและสวี่เจวี๋ยเข้ามาที่สำนักแห่งนี้ หญิงสาวต่างพากันหลงใหลชอบพอเด็กหนุ่มทั้งคู่ จนไม่สนใจพวกเขาเลย พวกเขาดูถูกเว่ยจื่ออั๋งและสวี่เจวี๋ยที่น่าสมเพช ในการสอบหน้าพระที่นั่ง พวกเขาจะทำให้ได้ลำดับที่ดีที่สุดให้จงได้ หญิงสาวเหล่านี้จะรู้ว่าใครกันแน่ที่เป็นผู้มีพรสวรรค์ตัวจริง!

หญิงสาวผู้นั้นไม่ได้มีท่าทีเขินอายเหมือนเช่นอยู่ต่อหน้าเว่ยจื่ออั๋งอีกต่อไป นางจ้องไปที่เพื่อนชาย วางมือเท้าเอวพูดอย่างก้าวร้าวว่า

“พวกเจ้าเคี้ยวลิ้นเก่งเช่นนี้ยังเป็นผู้ชายอยู่อีกหรือ?”

ศิษย์ชายเหล่านั้นอับอายจนต้องวิ่งหนีไปอย่างเก้อกระดาก

สวี่เจวี๋ยเดินเร็วมากจนจื่ออั๋งที่วิ่งตามหลังมาต้องคว้าแขนเขาไว้ให้หยุด

“ทำไมเดินเร็วจัง” สวี่เจวี๋ยไม่ตอบ

“เจ้าไม่มีความสุขหรือ?” เว่ยจื่ออั๋งมองสีหน้าที่ไม่ดีของสวี่เจวี๋ย

“ไม่” สวี่เจวี๋ยตอบทันควัน

“ทำไมเจ้าไม่มีความสุขล่ะ?” เว่ยจื่ออั๋งพูด และเมื่อนึกถึงสาเหตุที่ทำให้สวี่เจวี๋ยทุกข์เช่นนี้ เขาก็นึกอะไรบ้างอย่างได้ ดวงตาของเขาเป็นประกายทันที

“หรือเจ้าชอบสหายร่วมชั้นผู้นั้น?”

เป็นเพราะสวี่เจวี๋ยชอบผู้หญิงคนนั้น แต่นางกลับเขียนจดหมายรักถึงเขา แน่นอนว่าเรื่องนี้ทำให้สวี่เจวี๋ยโกรธ!

โชคดีที่เขาไม่ได้รับจดหมายฉบับนั้นมา! ยิ่งเว่ยจื่ออั๋งคิดเขาก็ยิ่งรู้สึกว่าตัวเองคิดถูกแล้ว

สวี่เจวี๋ยมองเว่ยจื่ออั๋ง เห็นว่าอีกฝ่ายดูมั่นใจในความคิดของตนเอง เขาจึงอดกลอกตาไม่ได้

“เจ้าโง่ ข้าเกรงว่าความรักจะส่งผลต่อการเรียนของเจ้าต่างหาก เจ้ากับข้าสัญญากันว่าจะเข้ารับราชการด้วยกันไม่ใช่หรือ?” สวี่เจวี๋ยกล่าว การเข้าสู่ตำแหน่งเสนาบดีเป็นเป้าหมายสูงสุดในการรับราชการ นั่นคือเป้าหมายของสวี่เจวี๋ยและเว่ยจื่ออั๋ง

“ไม่แน่นอน ข้าจะมุ่งมั่นแต่การเรียนเท่านั้น !” เว่ยจื่ออั๋งกล่าว เช่นเดียวกับสวี่เจวี๋ย เขามีเป้าหมายที่สูงสุดในชีวิต อยากขึ้นไปอยู่บนจุดสูงสุด เพื่อช่วยสร้างแผ่นดินให้เจริญรุ่งเรือง ฝากชื่อไว้ในบรรพชนรุ่นหลัง!

“ดีมาก” ใบหน้าของสวี่เจวี๋ยดีขึ้น

ทั้งสองเดินเคียงข้างกันไปที่ประตูของกั๋วจื่อเจี้ยน

“สวี่เจวี๋ย หากวันที่พวกเราโตขึ้นและตกหลุมรักสตรีคนเดียวกัน เจ้าคิดว่าเป็นอย่างไร?” เว่ยจื่ออั๋งถาม

เขาไม่รู้จักกับความรักจึงอดที่จะอยากรู้อยากเห็นไม่ได้ขึ้นมา เขาและสวี่เจวี๋ยเติบโตมาด้วยกัน มีความสนใจคล้ายๆ กันเสมอ เขาคิดว่าหากสักวันพวกเขาอาจจะตกหลุมรักหญิงสาวคนเดียวกันจะเป็นอย่างไร

สวี่เจวี๋ยมองเขาไม่พูดอะไรออกมา

“ไม่ต้องกังวลไปหรอก ข้าจะยอมทุกอย่างให้เจ้าแน่นอน” เว่ยจื่ออั๋งยิ้มออกมา

เขาและสวี่เจวี๋ยจะเป็นพี่น้องกันไปชั่วชีวิต แม้ว่าพวกเขาจะแต่งงานมีภรรยาและบุตร พวกเขาก็จะสนิทกันมากที่สุด ทั้งสองคนก้าวออกจากประตูของสำนักก่อนจะเห็นร่างที่คุ้นเคยรออยู่ด้านนอก

“ท่านแม่ ซานเป่า!” เว่ยจื่ออั๋งตะโกนเรียก สวี่เจวี๋ยก็ทักทายพวกเขา

หยานเสี่ยวตวนเดินไปช่วยหยิบของมาจากพวกเขา ดูเหมือนว่าจะเริ่มรู้ความขึ้นมาบ้าง พวกเขาจึงได้เดินกลับไปยังจวนโหว

“จื่ออั๋ง สวี่เจวี๋ย ไปเรียนเป็นอย่างไรบ้าง? ได้รู้อะไรเพิ่มขึ้นบ้างไหม?” ถังหลี่ถามบุตรชาย

“อาจารย์ที่กั๋วจื่อเจี้ยนล้วนมีความรู้ความสามารถมากมาย ต่างมีจุดแข็งเป็นของตัวเอง ข้าและสวี่เจวี๋ยได้เรียนรู้หลายอย่างเพิ่มขึ้น” เว่ยจื่ออั๋งตอบมารดา

“ใช่แล้ว การเรียนรู้เป็นสิ่งที่ไม่มีวันสิ้นสุด” สวี่เจวี๋ยกล่าว

“ข้าได้เจอสหายร่วมชั้นที่มีความสามารถเก่งกาจอีกด้วย”

ตอนที่พวกเขามาเมืองหลวง เขาจึงได้รู้จักคำว่า “เหนือฟ้ายังมีฟ้า” หมายความว่าเช่นไร ทำให้พวกเขารู้ตัวว่าต้องขยันให้มากขึ้น ถังหลี่ให้กำลังใจบุตรชายทั้งสองคน พวกเขาพูดคุยและหัวเราะกันไปตลอดทางจนถึงจวนโหว

กว่าจะเดินถึงจวนก็เริ่มมืดแล้ว เว่ยฉิงยืนรออยู่ที่หน้าประตู เมื่อซานเป่าเห็นบิดา นางรีบวิ่งไปหาเขาทันที เว่ยฉิงกอดเด็กหญิงแล้วอุ้มนางด้วยแขนข้างเดียว อีกมือหนึ่งจับมือถังหลี่เดินเข้าจวนไปพร้อมกัน

อาหารเย็นนั้นได้เตรียมพร้อมไว้แล้ว คนทั้งครอบครัวต่างร่วมรับประทานอาหารเย็น หลังมื้อเย็นจบลงถังหลี่และเว่ยฉิงกลับไปยังห้องนอน ถังหลี่ถอดเสื้อคลุมให้เขา เมื่อมองไปยังใบหน้าคมคายที่ดูเหนื่อยล้าของสามีแล้ว ถังหลี่ใจอ่อนยวบ

“สามี นั่งลงก่อนเถอะ” เว่ยฉิงนั่งลงบนเก้าอี้

“สามีข้านวดศีรษะให้ท่านนะ” นางต้องการคลายความเหนื่อยล้าให้ เว่ยฉิงหันกลับมาเอาวงแขนโอบกอดนางไว้แนบใบหน้าของเขาเข้ากับเอวของภรรยา

“ฮูหยิน ข้าขอกอดเจ้าหน่อย”

เขาสูดกลิ่นกายของภรรยา ทำให้เว่ยฉิงค่อยคลายความเหนื่อยล้าลงได้ ถังหลี่ลูบใบหน้าของสามีเบาๆ

“มีบางอย่างในกรมอาญาที่ไม่เข้าที่เข้าทางใช่ไหม?” ถังหลี่ถาม

“ใต้เท้าจู่เหวินทำตัวน่ารำคาญเกินไป” เว่ยฉิงกล่าว

เจิ้งจู่เหวินเป็นเจ้ากรมอาญาและเป็นหัวหน้าของเว่ยฉิง ถังหลี่รู้ว่าใต้เท้าเจิ้งนั้นไม่ค่อยสนใจเรื่องคดีเท่าใดนัก

ในบรรดาสามหน่วยงานของตุลาการ ศาลต้าหลี่ปราบปรามและลงโทษอย่างรุนแรงเพราะมีกู้หวนเนี่ยนเป็นผู้พิพากษาทำให้ศาลต้าหลี่แข็งแกร่งมาก คนที่สองคือใต้เท้าเจิ้งเจ้ากรมอาญา เนื่องจากภรรยาของเขาเป็นลูกบุญธรรมขององค์หญิงใหญ่ ทำให้ตำแหน่งของเขาค่อนข้างมั่นคง

“เขาทำอะไรโง่ๆ อีกแล้วหรือ?” ถังหลี่ถาม

“เมื่อเดือนก่อนข้ามีคดีอยู่ในมือสองสามคดี มีหลักฐานไว้หมดเตรียมจะปิดคดีได้แล้ว แต่จู่ๆ เขาก็รื้อคดีใหม่ แล้วยกเป็นความดีความชอบเป็นของตนเองเสียหมด” เว่ยฉิงเล่าให้ภรรยาฟังด้วยท่าทางที่เหนื่อยหน่าย งานทั้งหมดก่อนหน้านี้ที่เขาทำไปนั้นสูญเปล่า หนำซ้ำยังเป็นการปิดคดีที่ยุ่งเหยิงมาก เจิ้งจู่เหวินไม่รู้ว่าความวุ่นวายที่เพิ่มเข้ามามีมากเพียงใด ล้วนแต่ไร้สาระทั้งสิ้น น่าเสียดายที่เขาเป็นถึงเจ้ากรมอาญา ด้วยตำแหน่งของเขาทำให้บดขยี้คนอื่นได้ เว่ยฉิงจึงยังไม่สามารถต่อกรกับเขาในตอนนี้ ดูเหมือนว่าบทเรียนบทแรกที่ท่านลุงมอบให้เว่ยฉิงคือความอดทน

เจอแบบนี้คงต้องอดทนไปก่อน

“สามี มาสาปแช่งเขากันเถอะ” ถังหลี่กล่าว

เว่ยฉิงเงยหน้ามองภรรยาเห็นนางขยิบตาให้

“เหมือนตอนที่เรายังอยู่หมู่บ้านลี่เจียไง ถ้าไม่ชอบใครเราก็สาปแช่งเขาเลย” ถังหลี่กล่าว

“ตกลง” เว่ยฉิงพยักหน้าอย่างตื่นเต้น ก่อนจะสบถออกมา

“เจิ้งจู่เหวินไอ้ลูกเต่า เขาเป็นถุงขยะ ไม่ช้าก็เร็วข้าจะกระทืบเขาให้เละคาที่เลย”

“ใช่แล้วด่าอีก”

“ให้ตายเถอะข้าไม่เคยเจอคนหน้าด้านแบบนี้มาก่อน ผิวเขาหนามากกว่ากำแพงเมืองเสียอีก กล้าดีอย่างไรเอาความดีความชอบทั้งหมดให้ตัวเอง!”

“ไม่ว่าเจ้าจะหน้าหนาสักแค่ไหน อีกไม่นานข้าจะอัดเจ้าสักหมัดสองหมัด ให้บวมเป็นหัวหมูเลย….”