บทที่385 นางติงมีชายอื่น

เว่ยฉิงสบถสาปแช่งอย่างหยาบคายเหมือนครั้งที่เขายังอยู่ที่หมู่บ้านลี่เจียกับถังหลี่

ถังหลี่นั่งมองสามีสบถด่าผู้คนด้วยรอยยิ้ม ภาพตรงหน้าเช่นนี้ ดูราวกับพวกเขาได้ย้อนเวลากลับไปตอนที่พบกันในครั้งแรก ผู้ชายดุร้ายนิสัยไม่ดี ชอบสบถพูดจาหยาบคาย

ในตอนนั้นถังหลี่คิดว่าเว่ยฉิงดุมาก หลังจากเวลาผ่านไป นางไม่ได้เห็นรูปลักษณ์เช่นนี้ของเขามานานแล้ว ทำให้ถังหลี่อดรู้สึกไม่ได้ว่าว่าสามีของนางน่ารัก

หลังจากที่เว่ยฉิงได้ระบายออกไป เขารู้สึกผ่อนคลายมากขึ้น

“ฮูหยินข้ารู้สึกดีขึ้นมากเลย” เว่ยฉิงกล่าว

“อืม”

นางคิดว่าสามีของนางอาจจะดูน่านับถือเมื่ออยู่ต่อหน้าคนภายนอก แต่ต่อหน้านางแล้ว ให้เขาแสดงตัวตนที่แท้จริงของเขาออกมาจะดีกว่า

“ไปอาบน้ำเข้านอนกันเถอะ”

“อืม” เว่ยฉิงตอบรับ

เขาอาบน้ำพร้อมกับถังหลี่โดยกล่าวว่าจะทำให้ช่วยประหยัดเวลา แต่กลายเป็นว่ากลับใช้เวลานานมากขึ้น…

หลังจากอาบน้ำเสร็จทั้งคู่นอนโอบกอดกันหลับไป

….

สามวันต่อมาที่จวนสกุลไป๋

“ฮูหยินขอรับ เถ้าแก่ร้านผ้าสองคนในตงฟางได้แปรพักตร์ไปอยู่กับไป๋มู่หยางแล้วขอรับ”

บ่าวผู้หนึ่งรายงานกับนางติง นางขมวดคิ้ว

“เจ้าจิ้งจอกเฒ่าพวกนั้นคิดว่าอยู่กับไป๋มู่หยางดีกว่าข้าหรือ?” นางติงกล่าวอย่างเย้ยหยัน

ท้ายที่สุดแล้วการคาดเดาของคนพวกนั้นก็จะสูญเปล่า ไป๋มู่หยางมีเหมืองแร่เหล็กหลายแห่งที่ขึ้นกับราชสำนัก หากแนวโน้มยังเป็นเช่นนี้ต่อไป เขาสามารถนั่งในตำแหน่งพ่อค้าหลวงได้ พวกจิ้งจอกเฒ่าทั้งสองจึงลังเลในตอนแรก ด้วยเหตุนี้เขาจึงหันหน้าไปหาไป๋มู่หยาง

แต่อีกไม่นานจะมีเรื่องบางอย่างเกิดขึ้นกับเหมืองแร่เหล็กของไป๋มู่หยาง ทุกอย่างที่เขาทำลงทุนจะสูญเปล่า นางจะจดจำไอ้จิ้งจอกเฒ่าสองตัวผู้นี้ไว้ ภายหลังจะได้เอาคืนให้สาสม

“ฮูหยิน!” ในขณะนั้นเองก็มีคนวิ่งเข้ามา

คนผู้นี้คือคนที่นางสั่งไปให้ปล้นแร่เหล็ก เมื่อเห็นท่าทีลุกลี้ลุกลนของเขาแล้ว นางติงก็ขมวดคิ้วทันทีอย่างอย่างไม่รู้ตัว

“พวกเจ้าออกไปให้หมด” นางติงไล่ทุกคนออกไปยกเว้นชายผู้นั้น

“วุ่นวายจริง เกิดอะไรขึ้น?”

“ฮูหยิน แย่แล้วขอรับ” ชายคนนั้นพูดขึ้นมา “การปล้นแร่เหล็กล้มเหลว ขบวนบรรทุกสินค้าไม่ได้รับความเสียหาย คนของเราถูกจับขอรับ”

คนที่เขาส่งไปปล้นขบวนสิค้าไม่มีใครกลับมาส่งข่าวเขาเลย เขาจึงตัดสินใจส่งคนไปตรวจสอบ แต่กลับไม่พบเบาะแส ส่วนขบวนสินค้าของสกุลไป๋ปลอดภัยดี ทั้งยังมีเจ้าหน้าที่คอยคุ้มกันอีกด้วย เขาจึงรีบกลับมารายงานอย่างฮูหยินรวดเร็ว

เมื่อนางติงได้ยินคำพูดของเขา สีหน้าของนางเปลี่ยนไปทันที

“เจ้าว่าอะไรนะ ไหนพูดอีกครั้งสิ!”

ชายคนนั้นรายงานเรื่องเดิมด้วยน้ำเสียงที่สั่นเทา นางติงรู้สึกเหมือนสายฟ้าฟาดเปรี้ยงลงมาที่ศีรษะจนนางคิดอะไรไม่ออก

ไอ้พวกขยะ!เรื่องแค่นี้ก็ทำไม่ได้!

มีคนรอดชีวิดเหลือไม่กี่คนและถูกเจ้าหน้าที่ทางการพาตัวไปแล้ว หากคนเหล่านั้นปริปากเรื่องของนางออกไปล่ะก็…ไม่ ต้องไม่มีทางเป็นเช่นนั้น

นางติงสูดลมหายใจเข้าลึก

“อีกนานแค่ไหนกว่าขบวนสินค้าจะมาถึงเมืองหลวง”

“อีกสองวันจะถึงเมืองหลวงขอรับ” นางติงหลับตาลง เมื่อลืมตาขึ้นนางก็สงบใจลงได้มากแล้ว มีเพียงเขาเท่านั้นที่จะช่วยนางได้

นางระงับความโกรธของตนเอง และปลอบโยนคนที่เข้ามารายงานข่าวให้นางรู้

นางเรียกคนสนิทมาส่งจดหมายไปหาสหายผู้หนึ่ง

คืนนั้น นางติงปล่อยให้อนุภรรยาเข้าไปหานายท่านไป๋ ส่วนตัวนางแต่งกายอย่างบรรจง นางติงอายุสามสิบกว่าแต่ดูแลตนเองดีจนดูเหมือนสาววัยยี่สิบกว่าเท่านั้น ทั้งยังดูมีเสน่ห์จริตจะก้านแพรวพราวอย่างยากที่จะหาได้ในสาวแรกรุ่น

นางติงไปทางประตูหลังแล้วแอบขึ้นรถม้าไป

รถม้ามุ่งหน้าไปทางทิศตะวันออกของเมือง หนึ่งชั่วยามต่อมาจึงได้หยุดลงที่บ้านหลังหนึ่ง นางเดินเข้าไปด้านในห้อง พอถึงกลางดึกจึงได้มีคนเปิดประตูเข้ามา ผู้ชายที่เข้ามามีอายุเข้าวัยกลางคน ใบหน้ามีเค้าลางหล่อเหลาในวัยหนุ่ม ดูเจ้าชู้หากแววตามีความเฉลียวฉลาด

“เสี่ยวเหลียน ข้ารอเจ้านานแล้วนะ ไอ้หมานั่นช่างน่ารำคาญยิ่งนัก”

เขาเดินเข้ามาพร้อมกับขมวดคิ้ว เขาหรี่ตามองนางติง จากนั้นจึงเข้าไปกอดจูบกันด้วยความสเน่หายาวนาน หลังจากพัวพันกันสักครู่ นางติงจึงได้เอนตัวซบลงพิงหน้าอกของชายผู้นั้น นางขมวดคิ้วสีหน้ากังวลใจ

“เสี่ยวเหลียน เกิดอะไรขึ้นหรือ?”

“เจิ้งหลาง นี่อาจจะเป็นครั้งสุดท้ายที่พวกเราได้พบกันเช่นนี้ ต่อไปภายหน้าคงจะไม่มีโอกาสเช่นนี้อีกแล้วแล้ว”

นางติงเงยหน้ามองเขา ดวงตาของนางเต็มไปด้วยน้ำตา ทำให้นางดูน่าสงสารมาก

ชายคนนั้นคว้ามือของนางติงขึ้นมา

“เจ้าพูดเรื่องอะไร? บอกข้ามา ข้าจะช่วยหาทางออกให้เจ้าเอง”

“ข้าไม่อยากนำท่านมาเกี่ยวข้องกับข้าเลยเจิ้งหลาง” นางติงพูดด้วยเสียงอ่อนระโหย จนเขาใจอ่อนยวบ

“ทำไมเล่า? เราสองคนรู้จักกันมาตั้งแต่เด็ก ถ้าไม่ใช่เห็นแก่วันดีๆ ข้างหน้า ข้าคงไม่ต้องแต่งงานกับผู้หญิงคนนั้น ส่วนเจ้าคงไม่ต้องแต่งกับนายท่านไป๋…”

“ข้าอยากหาทรัพย์สินไว้ให้ซวี่หยางเท่านั้น ทำไมถึงได้กลายเป็นแบบนี้ไปได้?” นางติงพึมพำ

“เกิดอะไรขึ้น? เสี่ยวเหลียน! เจ้าบอกข้ามาเถอะ หาไม่ ข้าจะไปไต่ถามเอง” เขาร้อนรนผลุดลุกขึ้นจากเตียง นางติงรีบดึงเขาไว้

“เจิ้งหลางข้าแค่…” นางติงพูด “หลังจากที่ไป๋มู่หยางกลับมา ข้าและซวี่หยางใช้ชีวิตลำบากเหลือเกิน เขาทุ่มเทให้กับกิจการเหมืองแร่ ไม่สนใจข้ากับบุตรชายเลย หากมีอะไรเกิดขึ้นกับสกุลไป๋ เขาจะต้องไล่พวกข้าสองแม่ลูกออกจากตระกูลเป็นแน่ ในตอนนั้นเองข้าเกิดความคิดที่จะส่งคนไปปล้นแร่เหล็กของไป๋มู่หยาง เพื่อที่เขาจะไม่สามารถส่งสินค้าได้ทันตามกำหนด แต่กลับกลายเป็นว่านอกจากสินค้าจะไม่เสียหายแล้ว คนที่ข้าส่งไปยังโดนจับอีกด้วย” นางพูดพร้อมกับสะอื้น

“ข้าเกรงว่าหากครั้งนี้ข้าโดนจับ เจิ้งหลาง…พวกเราคงจะไม่ได้พบกันอีก ขอให้ท่านลืมข้าไปเสียเถอะ”

ชายคนนั้นรีบกอดนางติงไว้ในอ้อมแขนปลอบโยนนางเบาๆ ด้วยสีหน้าครุ่นคิด ไม่ช้าหัวคิ้วของเขาก็คลายลง

“แค่เรื่องเล็กน้อยเท่านั้น ข้าจะจัดการเอง เจ้าไม่ต้องกังวล”

“เจิ้งหลาง…อย่าให้มันกระทบกับหน้าที่การงานของเจ้าเลย”

“เสี่ยวเหลียน เจ้าห่วงข้าหรือ? ไม่ต้องกังวลไปข้าไม่ใช่บัณฑิตยากจนแบบเมื่อก่อนแล้ว เรื่องนี้ถือว่าเป็นเพียงเรื่องเล็กน้อยเท่านั้น”

ชายคนนั้นพูดเบาๆ นางติงยิ้มทั้งน้ำตาก่อนจะกอดเขาไว้

…..

สองวันต่อมา

ขบวนสินค้าของสกุลไป๋ก็เดินทางเข้าสู่เมืองหลวง ในขณะนั้นเองมีเจ้าหน้าที่กลุ่มหนึ่งเข้ามาขวางขบวนเอาไว้

“พวกข้าเป็นคนจากกรมอาญา เจ้าพบการดักปล้นระหว่างทางใช่หรือไม่?” เจ้าหน้าที่ถามเขา

“ใช่แล้วขอรับ” จ้าวถิงกล่าว

“คนเหล่านี้เป็นนักโทษหรือ? ข้าจะให้เจ้าหน้าที่นำตัวพวกเขาไปคุมขังเพื่อพิจารณาคดี” เจ้าหน้าที่ผู้หนึ่งพูดขึ้น เมื่อจ้าวถิงเห็นว่าเป็นเจ้าหน้าที่ของกรมอาญาแน่ชัดแล้ว พวกเขาจึงได้มอบตัวนักโทษให้ไป

“นายท่านรู้เรื่องแล้วหรือ? กรมอาญารู้ได้อย่างไร”

“เขาคงส่งจดหมายเพื่อแจ้งล่วงหน้า”

“คนจากกรมอาญามาเร็วมาก”

“ดีแล้ว ทำงานกันดี”

“เสร็จภารกิจแล้วก็แยกย้ายกันเถอะ” เจ้าหน้าที่เหล่านั้นอำลาจ้าวถิง

“ไปกินอาหารด้วยกันไหม?” จ้าวถิงพูดอย่างกระตือรือร้น

“ไม่ได้ เราต้องกลับไปรายงานก่อน” เจ้าหน้าที่หันหลังกลับไปทันทีหลังพูดจบ