ตอนที่ 427 หลายตระกูลเป็นทุกข์ หลายตระกูลเป็นสุข (1)
ไม่รู้ว่าทำไม เมื่อสบเข้ากับสายตาเช่นนี้แล้ว มั่วเชียนเสวี่ยถึงรู้สึกร้อนตัวอย่างไม่มีเหตุผล จึงยื่นมือไปปัดมือซูชีที่จับแขนตนเองเอาไว้ออก แต่ก็ยังคงมีสีหน้าท่าทางมึนงง “ข้าต้องเสียใจในเรื่องใด”
ตอนนี้หนิงเซ่าชิงพุ่งตัวเข้ามาขวางระหว่างมั่วเชียนเสวี่ยกับซูชี ตวาดเตือนว่า “ซูชี อย่าให้มันมากเกินไปนะ!”
ในเมื่อซูชีตัดสินใจแล้วก็ไม่มีทางถอย “ข้ามีเรื่องจะถามเชียนเสวี่ย ทางที่ดีเจ้าหลบไปเสีย” คนที่กล้ากล่าววาจาให้ผู้นำตระกูลขุนนางเก่าแก่หลบไปอย่างไม่เกรงใจเช่นนี้ เกรงว่าจะมีซูชีเป็นคนแรก หนิงเซ่าชิงเดือดดาล “เจ้า…”
มั่วเชียนเสวี่ยกลับเอ่ยวาจาแทนหนิงเซ่าชิง “ท่านให้เขาถามเถอะ ข้าอยากจะลองฟังดูว่า วาจาใดที่ทำให้คุณชายซูชีที่ไม่เคยมีท่าทีจริงจังมาโดยตลอดระมัดระวังเช่นนี้” นางไม่อยากให้ทั้งสองคนลงไม้ลงมือกันขึ้นมาอีก
มีเรื่องอะไรก็เอ่ย เอ่ยจบแล้ว นางยังต้องจัดการปัญหาที่ถูกทิ้งเอาไว้หลังจากเกิดเหตุการณ์เมื่อครู่นี้อีก
แม้ว่าจวนกั๋วกงแห่งนี้จะถูกเผาไป แต่ก็ยังคงเป็นถิ่นของนาง
อีกทั้ง ทองแท้ย่อมไม่กลัวถูกไฟลน[1] ในจวนยังมีของจำพวกทองกับหยก สาวใช้และทาสบริวาร นางล้วนต้องไปรับเอาไว้ทีละอย่าง…
ค่ำคืนเช่นนี้ นางก็ไม่ง่ายเลย
หนิงเซ่าชิงกวาดตามองมั่วเชียนเสวี่ยครู่หนึ่ง สภาพร่างนางย่ำแย่ เขาจะไม่เข้าใจได้เช่นไร สงสารที่นางได้รับความลำบาก และไม่อยากปฏิเสธความต้องการของนาง หนิงเซ่าชิงแค่นเสียงเบา พลางหันหน้าไปอีกด้านโดยไม่มองซูชีอีก
แม้ว่าเขาจะขี้หึง แต่กลับเชื่อว่าในใจมั่วเชียนเสวี่ยมีเพียงแค่เขา
บางวาจาให้เชียนเสวี่ยเอ่ยเองกับปาก ซูชีไม่ยอมแพ้ ก็ต้องยอมแพ้ ไม่แน่ว่า ตั้งแต่นี้จะไม่ไปมาหาสู่กันอีกชั่วชีวิต
หนิงเซ่าชิงเลือกที่หันหลังให้อย่างยอมรับโดยปริยาย
มั่วเหยียนและมั่วสิงรู้ความรู้สึกของซูชีแต่แรกแล้ว อาจ้าวรู้ลึกยิ่งกว่า หลายคนจึงพากันถอยหลังโดยไม่รู้ตัว และพยายามลดทอนการมีตัวตนของตนเอง
ขณะที่จ้องมองมั่วเชียนเสวี่ย ก้นบึ้งนัยน์ตาซูชีมีอะไรบางอย่างพรั่งพรูขึ้นมาฉับพลัน จวนเจียนจะเอ่อล้นออกมา แต่สุดท้ายก็ถูกกดเอาไว้ได้
“เชียนเสวี่ย หากเจ้ายินยอม ข้าจะพาเจ้าไปจากเมืองหลวง ไปจากความวุ่นวายนี้ เจ้าต้องการแก้แค้นให้บิดามารดา ข้าก็จะช่วยเจ้า เจ้าชอบการใช้ชีวิตด้วยความสบายใจ มีอิสระ ข้าจะอยู่เป็นเพื่อนเจ้า…”
มั่วเชียนเสวี่ยได้ยินซูชีใช้น้ำเสียงนุ่มนวลอ่อนโยนกล่าววาจาเช่นนี้เป็นครั้งแรก
จึงเหลือบตาขึ้นมองอย่างตะลึง เมื่อสบเข้ากับนัยน์ตาที่ลึกซึ้งราวกับมหาสมุทร ตาดำตัดขาวทอประกายน้ำเงินออกมาจางๆ นั้นมีแรงดึงดูดมากนัก
นี่คือเสน่ห์ระหว่างบุรุษและเด็กชาย ทั้งบริสุทธิ์และเอ้อระเหยลอยชาย ทั้งอ่อนโยนและมีอิสระ
ซูชียืนนิ่งไม่ขยับ และไม่เอ่ยวาจาใดอีก เพียงแค่จ้องมองมั่วเชียนเสวี่ยนิ่งๆ นัยน์ตาลึกล้ำกระจ่างใสมีความรู้สึกงดงามเอ่อล้นออกมาจากข้างใน
จนกระทั่งวันนี้ เขาไม่อยากจะปิดบังความรู้สึกในใจตนเองอีกแล้ว
ต่อให้มั่วเชียนเสวี่ยในตอนนี้จะโง่ก็เข้าใจความหมายของซูชีอยู่ดี นี่เขากำลังสารภาพรักกับนาง
สวรรค์!
ซูชีผู้นี้เป็นไข้ใช่ไหม สามีตัวจริงของนางยังอยู่ที่นี่ด้วยนะ
เมื่อตั้งสติอีกครา ความอ่อนโยนดั่งสายน้ำในแววตาของซูชีค่อยๆ ซึมผ่านเช้ามาทลายกำแพงในใจที่มั่วเชียนเสวี่ยนึกว่าแข็งแกร่งทีละเล็กทีละน้อย
จะกล่าวว่าใจไม่เต้นเลยนั้นเป็นไปไม่ได้
อย่างไรเสีย นางก็เคยนั่งทำกิริยาร้ายกาจบนร่างเขา อย่างไรเสีย นางก็เคยกัดเขา เคยลูบไล้เขา อย่างไรเสีย นางก็ชื่นชมซูชีผู้นี้มาก
กล่าวตามความจริง ชีวิตที่เขาเอ่ยนั้นเป็นสิ่งที่นางเคยปรารถนามากที่สุด
มั่วเชียนเสวี่ยนิ่ง ซูชีเงียบ
หนิงเซ่าชิงนึกถึงรอยกัดบริเวณต้นคอของซูชีในวันนั้นแล้ว ในใจก็รู้สึกถึงความไม่มั่นใจ นัยน์ตามีประกายเย็นเยียบพาดผ่าน
ถ้าหากไม่เห็นว่ามั่วเชียนเสวี่ยมีสภาพย่ำแย่ ถ้าไม่ได้เห็นว่าจวนกั๋วกงถูกเผาจนกลายเป็นเถ้าถ่าน เขาคงระเบิดออกมานานแล้ว
แต่ทว่า แม้ว่าเขาจะไม่ระเบิดโทสะออกมา แต่กลิ่นอายเย็นยะเยือกบนร่างกลับควบคุมเอาไว้ไม่อยู่
ทันใดนั้นอากาศก็หยุดนิ่งและบีบคั้น ราวเพียงสัมผัสถูกก็จะระเบิด
มั่วเชียนเสวี่ยไม่ได้ลังเลว่าชอบหรือไม่ชอบซูชี จะไปกับเขาหรือไม่ เพียงแต่ไม่รู้ว่าจะปฏิเสธความรู้สึกที่มาอย่างกะทันหันนี้เช่นไร
ความคิดวูบหนึ่งลอยผ่านเข้ามา นางนึกถึงท่านหญิงซูซูขึ้นมาทันที
มั่วเชียนเสวี่ยที่รู้สึกได้ถึงแรงหึงและโทสะที่ข่มเอาไว้จากร่างของหนิงเซ่าชิงก็ถอนสายตากลับมา ถ้าหากมองต่อไป นางกลัวว่าตนเองจะใจไม่แข็งพอ และยิ่งกลัวว่าหนิงเซ่าชิงคนขี้หึงผู้นี้จะเกิดอาการหึงขึ้นมาอีก “ท่านหญิงซูซูเป็นสตรีที่ดีนางหนึ่ง”
ประโยคนี้ไม่ได้ปฏิเสธอย่างตรงไปตรงมา แต่กลับเป็นการปฏิเสธที่เด็ดขาดอย่างหนึ่ง
แม้ว่าซูชีจะรู้ว่ามั่วเชียนเสวี่ยอาจจะปฏิเสธ แต่ทว่า ในใจก็ยังคงเจ็บแปลบ “แต่ว่า ในใจข้ามีเพียงแค่เจ้า”
มั่วเชียนเสวี่ยมองกลับไป พลางเอ่ยเสียงแข็งเย็นเยียบทว่าแน่วแน่ว่า “แต่ในใจข้าไม่มีเจ้า”
“ถ้าหากว่าเจ้าตามข้าไป ก็ไม่ต้องเผชิญหน้ากับเหตุการณ์นองเลือดเช่นนี้อีก” ซูชีสามารถร่อนเร่พเนจรอยู่ข้างนอกด้วยตัวคนเดียวได้ ย่อมมีความสามารถในการเอาตัวรอด
มั่วเชียนเสวี่ยหัวเราะเสียงเย็น เอ่ยเสียดสีว่า “ข้าจะตามเจ้าไปที่ใดได้เล่า ที่นี่มีคนที่ข้ารัก ที่นี่คือบ้านของข้า ข้าเป็นภรรยาที่ยังไม่ได้แต่งงานของหนิงเซ่าชิง…ในใจข้า มีเพียงแค่หนิงเซ่าชิงคนเดียว”
แม้ว่านางจะไม่ใจแข็งพอ แต่ต้องทำให้เขายอมแพ้ ในเรื่องของความรู้สึก นางไม่ใช่คนที่ฉุดรั้งผู้อื่นเอาไว้ ตอนนี้ยิ่งเจ็บลึก เขาก็สามารถเดินออกมาจากปลักความรู้สึกได้เร็วขึ้น
จิตใจที่เป็นกังวลของหนิงเซ่าชิงสงบลง ซูชีกลับสิ้นหวังอยู่บ้าง
ขณะที่เศร้าเสียใจ “เจ้า…ไม่มีความรู้สึกกับข้าสักนิดเลยหรือ…” ในวาจาคล้ายกับเจือไปด้วยความวิงวอน
มั่วเชียนเสวี่ยกลับไม่ยอมให้เขาเอ่ยจบ “แต่ไหนแต่ไรข้าก็เห็นเจ้าเป็นสหาย ถ้าหากว่าเจ้าเอ่ยออกมาอีกคำเดียว ในภายหน้ากระทั่งสหายก็คงเป็นไม่ได้แล้ว”
เอ่ยจบ มั่วเชียนเสวี่ยก็จับมือหนิงเซ่าชิงเดินไปข้างหน้า
เดินไปได้สองก้าวก็หยุดชะงัก
เพียงแต่ไม่ได้หันหน้ากลับไป “ทะนุถนอมซูซูให้ดี นางต่างหากที่เป็นคนที่เจ้าตามหา”
มั่วเชียนเสวี่ยเพิ่งเอ่ยจบ มือที่จับหนิงเซ่าชิงเอาไว้ก็ถูกหนิงเซ่าชิงกุมกลับ มือที่เย็นเยียบถูกมือใหญ่ที่อบอุ่นกอบกุมเอาไว้ ทำให้ใจของมั่วเชียนเสวี่ยสงบลงทันที
ทั้งสองคนเดินเคียงไหล่กันไปข้างหน้า
ทิ้งเงาร่างโดดเดี่ยวของซูชีเอาไว้ที่ด้านหลัง
ซูชีที่ยืนอยู่ภายใต้แสงจันทร์ ท่ามกลางสถานที่รกร้างมีสีหน้าเศร้าเสียใจและอ้างว้าง เขาค่อยๆ ยื่นมือออกไปอย่างอยากจะเอ่ยอันใดอีก คล้ายกับต้องการจะคว้าจับอะไรบางสิ่ง แต่สุดท้ายแล้วกลับร่วงลงมาอย่างไร้เรี่ยวแรง
เขาค้นพบว่า เขาเลือกเวลาที่แย่ที่สุดในการสารภาพความในใจ เขาพบว่า ขอเพียงแค่เป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับมั่วเชียนเสวี่ย การตัดสินใจของเขามักจะผิดพลาด
ถ้าหากวันนั้นเขาไม่ได้พลาดไป ถ้าหากวันนั้นเขาเป็นคนถ่อยสักครา วันนี้จะเป็นเช่นนี้ได้อย่างไร แต่ เขากลับไม่ได้เสียใจ ขอเพียงแค่นางสบายดี มีความสุข เขาไม่มีวันที่จะเสียใจ
ในใจคิดเช่นนี้ เขาลดมือลง ทว่าเงยหน้าขึ้นทันควัน นัยน์ตาปรากฏประกายความแน่วแน่ ขณะมองไปทางเงาร่างของคนทั้งคู่ “ไม่ว่าเจ้าจะยินยอมเมื่อใด ข้าก็จะรอเจ้า…” ถ้าหากว่าชั่วชีวิตนี้เจ้าไม่ยินยอม ข้ารอเจ้าตลอดชีวิตจะเป็นอะไร! วาจานี้ไม่ได้กล่าวออกไป แต่เขาเอ่ยกับตนเองในใจ
เอ่ยจบ ดวงใจก็เศร้าโศกเหลือคณานับ
เงาร่างคู่นั้นไม่เพียงแต่ทิ่มแทงตาเขา ที่ยิ่งกว่าคือหัวใจ เขาแตะเท้าแผ่วเบา เงาร่างคนก็เลือนหายไปจากที่เดิม
มั่วเชียนเสวี่ยถูกวาจานั้นทำให้ตะลึงจนชะงักเท้าทันที
เดิมนางก็เป็นคนฉลาด ความหมายของวาจาที่เอ่ยไม่จบนี้ จะฟังไม่ออกได้เช่นไร…
[1] ทองแท้ย่อมไม่กลัวถูกไฟลน หมายถึง บุคคลที่ซื่อตรง ย่อมไม่เกรงกลัว และมีความกล้าหาญต่อการถูกทดสอบไม่ว่าด้วยเรื่องอันใด