ตอนที่ 426 การสารภาพรักของซูชี (2)

เหนียงจื่อของคุณชายขี้โรค

ตอนที่ 426 การสารภาพรักของซูชี (2)

หนิงเซ่าชิงจะต้องเจ็บปวดแทบทนไม่ไหวจนหัวใจด้านชาแน่นอน…

ไม่ได้การ นางจะต้องไปพบเขา ถ้าหากว่าเขาจิตใจสับสนแล้วกระทำเรื่องอันใด จะทำเช่นใด…นี่ไม่ใช่แค่บอกว่าเสียใจไปชั่วชีวิตประโยคเดียวแล้วจะจบ

มั่วเชียนเสวี่ยไม่มีเวลาไปสนใจสิ่งอื่น พุ่งตัวออกไปอีกทาง นี่เป็นเพียงร้านเล็กๆ ร้านหนึ่ง เมื่อออกมาจากทางใต้ดินก็คือห้องที่เหมือนกับห้องนอนห้องหนึ่ง คาดว่าเป็นที่พักอาศัยของเหล่าอู่

พุ่งออกไปย่อมเป็นร้านค้าในห้องข้างนอก ประตูย่อมปิดอยู่

มั่วเชียนเสวี่ยยืนมือไปเตรียมเปิดประตูถึงได้นึกขึ้นได้ว่า แม้ว่านางจะออกไปแล้วก็ไม่รู้จักทาง

เมืองหลวง แม้ว่านางจะมาอยู่ที่นี่ได้เดือนกว่าแล้ว แต่จำนวนครั้งที่ออกมาข้างนอกอย่างจริงจังนั้นไม่มาก เวลาส่วนใหญ่ล้วนอยู่บนรถม้าแล้วเลิกผ้าม่านมองดูถนนหนทางในเมืองหลวง

“พ่อบ้านมั่ว นำทางอยู่ข้างหน้า รีบกลับจวนเร็วเข้า”

……

ท่ามกลางซากปรักหักพังของจวนกั๋วกง หนิงเซ่าชิงร่ายรำเพลงกระบี่ ซูชีตอบโต้กลับด้วยการสะบัดพัดเหล็ก ประมือกันอย่างสบายอกสบายใจ

สถานที่แห่งนี้ แม้ว่าจะมีการต่อสู้ แต่กลับไร้ผู้คนเข้าใกล้

มั่วเหยียนและมั่วสิงเฝ้ากุ่ยซาที่สลบอยู่อีกด้านไป พลางดูไป อาจ้าวองครักษ์คนสนิทของซูชี มีท่าทีเป็นอริกับมั่วเหยียนและมั่วสิงกลายๆ

เพลงกระบี่นั้นพุ่งเข้ามาอย่างรวดเร็ว

การสะบัดพัดนั้นพุ่งเข้ามาอย่างน่าอันตราย

คล้ายกับต้องการจะพินาศไปด้วยกัน ทำให้สามคนที่มองดูอยู่ด้านข้างนั้นอกสั่นขวัญหาย

ทันใดนั้น ทั้งสองคนก็ตะโกนเสียงดังออกมาครั้งหนึ่ง! ทั้งสามคนรู้สึกเพียงแค่ว่าภาพเบื้องหน้าพร่ามัวเล็กน้อย ทั้งสองคนยืนนิ่งอยู่ในจุดเดิมที่ไม่ได้ขยับ ห่างกันหนึ่งจั้ง[1]กว่า จ้องตากันเขม็ง ยืนเผชิญหน้ากัน

สายตาของหนิงเซ่าชิงจับจ้องไปทางซูชีโดยไม่กะพริบราวกับสายฟ้าฟาด!

สายตาของซูชีก็จับจ้องไปทางหนิงเซ่าชิงโดยไม่กะพริบราวกับสายฟ้าฟาดเช่นกัน!

เสี้ยวพริบตาที่แยกออกจากกันเมื่อครู่นั้นเร็วเกินไป ชั่วขณะ ทั้งสามคนจึงมองไม่ชัดว่าใครชนะ ใครเป็น ใครอยู่ ใครตาย

หรือไม่ก็ล้วนถูกกระบวนท่าของอีกฝ่ายโจมตี เพียงแต่สีหน้าของบุรุษตรงหน้าฝืนอดกลั้นเอาไว้

ผ่านไปเนิ่นนาน เนิ่นนาน!

เงียบสงัด วังเวง!

เงาร่างของทั้งสองฝ่ายล้วนโอนเอน

หนิงเซ่าชิงจัดการเส้นลมปราณ พลางหัวเราะเสียงเย็น “ครั้งที่แล้วเจ้าจงใจ?”

ซูชีก็ตอบกลับท่ามกลางการทำสมาธิ พัดเหล็กกางออก พลางสะบัดไปมาอย่างไม่ใส่ใจ “ใช่แล้วอย่างไร ไม่ใช่แล้วอย่างไร”

ไม่ต้องถาม ภาพเหล่านั้นยังคงอยู่อย่างแน่นอน

เส้นเอ็นของหนิงเซ่าชิงปูดโปน “ซูชี แม้ว่าเจ้าจะเก็บซ่อนเอาไว้โดยไม่เปิดเผยออกมา แต่ก็มองไม่เห็นอีกแล้ว วันนี้ข้าจะต้องทำให้เจ้าอยู่ไม่สู้ตาย ชั่วชีวิตนี้ ไม่ว่าเป็นหรือตาย แม้แต่สิทธิ์ที่จะคิดของเจ้าก็ไม่มี…”

พัดหุบฉับ ฝ่ามือสองข้างตบเข้าหากัน ซูชีแค่นเสียงเบา “หนิงเซ่าชิง เจ้าวางใจได้ ข้าไม่ได้ตระหนี่เหมือนเจ้า หากเจ้าตาย ข้าจะนำกระดูกของเจ้าโปรยบนสถานที่แห่งนี้ เพื่อให้ลงไปอยู่เป็นเพื่อนนาง…”

ประกายจากปราณกระบี่หยกมายากะพริบวูบ วาดผ่านอากาศตรงเข้ามา เสียง ฟึ่บ สถานที่ที่ปราณกระบี่พาดผ่านเกิดลมพัดวูบ ศิลาแตกร้าว

ฝ่ามือตบพัดให้เข้าที่เบาๆ ซูชีมีท่าทางจริงจังอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อนหน้านี้

กระบวนท่านี้ เขารู้ว่าเป็น ‘เหยี่ยวถลาสู่ปฐพี’ ซึ่งเป็นท่าไม้ตายของกระบี่มายาหยก ได้ยินมาว่าคนในตระกูลหนิงหลายรุ่นฝึกกันไม่สำเร็จ หนิงเซ่าชิงเป็นอัจฉริยะในการฝึกวิทยายุทธ์จริงๆ

ดูท่าจะถึงเวลาที่กำหนดแพ้ชนะ เป็นหรือตายกันแล้ว

ซูชีรวบรวมลมปราณ พัดเหล็กยื่นไปเล็กน้อย ลมยามค่ำคืนพัดอาภรณ์ให้ร่ายรำ นี่เป็นกระบวนท่าสุดท้ายที่ยากจะฝึกได้สำเร็จของตระกูลซู ‘อมตะนิรันดร์กาล’

ห่านป่าผู้เดียวดายโฉบผ่านผืนฟ้า เสียงร้องห่านป่าดังขึ้น แต่กลับไม่รู้ว่าเป็นการทอดถอนใจหรือสงสาร

หัวใจของทั้งสามคนที่เฝ้ามองเหตุการณ์แทบจะกระเด็นหลุดออกมา คราวนี้ทั้งสองคนล้วนใช้พลังปราณในการเผชิญหน้ากัน หากยังประมือกันต่อไป จะต้องมีการตายและได้รับบาดเจ็บแน่นอน

ทั้งสองคนรวบรวมพลังปราณ เตรียมประมือกันอย่างจริงจัง

ในที่ห่างไกลมีเงาร่างหนึ่งกำลังพุ่งทะยานมาทางนี้ คนยังมาไม่ถึง แต่เสียงมาถึงก่อนแล้ว

เสียงอ่อนหวานตะโกนดังลอยมาตามสายลม “หยุดมือ!”

คนที่ลอยตัวเข้ามาย่อมเป็นมั่วเชียนเสวี่ย

นางในตอนนี้โมโหจะตายอยู่แล้ว บุรุษสองคนนี้มันยังไงกันแน่ จวนกั๋วกงของนางกลายสภาพเป็นแบบนี้แล้ว พวกเขาไม่เพียงแต่ไม่ช่วยนางจัดการปัญหาที่ถูกทิ้งเอาไว้หลังจากเกิดเหตุการณ์เมื่อครู่นี้ ยังจะมาสู้กันที่นี่อีก

บางครั้งความสุขที่มากะทันหันเกินไปก็เป็นการโจมตีอย่างหนึ่งเช่นกัน

มั่วเชียนเสวี่ยในยามนี้ เป็นเพราะบนใบหน้าไหม้เกรียมจากการถูกรมควัน ทั้งยังยุ่งเหยิงวุ่นวาย ตอนนี้จึงดำทะมึนไปหมด อาภรณ์ก็สวมเพียงแค่เสื้อตัวใน กระทั่งเสื้อตัวในตัวนั้นก็มีจุดดำกระด่าง รอยแดงประปราย ไม่มีส่วนใดที่สะอาดเลยแม้แต่น้อย

แต่ทว่า หนิงเซ่าชิงจำนางได้ตั้งแต่แวบแรก

เขาเก็บกระบี่ เผยสีหน้ายินดีออกมา ไร้ซึ่งวี่แววรังเกียจ มีเพียงแต่ความสงสาร “เชียนเสวี่ย? เจ้าไม่ตาย?”

“ท่านหวังให้ข้าตายหรือ” มั่วเชียนเสวี่ยยังรู้สึกโมโห จึงตอกกลับอย่างไม่สบอารมณ์

นางทั้งกังวลและเป็นห่วง กลัวว่าเขาจะเสียใจ เขาน่ะหรือ ยังจะหึงแล้วประลองวรยุทธ์กับสหายสนิทของนางอีก

ซูชีย่อมมองออกว่าเป็นมั่วเชียนเสวี่ยเช่นกัน เขาเก็บงำลมปราณ บนใบหน้าปรากฏความดีใจเจือไปด้วยความสงสารและเป็นห่วงที่ก่อนหน้านี้ไม่มีเล็กน้อย ทว่า ปากกลับเอ่ยว่า “เชียนเสวี่ย ดึกดื่นค่ำคืน เจ้าไปกลิ้งในกองถ่านมาหรือ ร่างถึงได้ดำปี๊ดปี๋เช่นนี้?”

ซูชี เจ้าคนไร้ศีลธรรม ตอนนี้ยังไม่ลืมหยอกเย้ากูไหน่ไนอีก มั่วเชียนเสวี่ยลอบด่าในใจ แต่กลับทำได้เพียงแค่หันหน้าไปเอ่ยกับซูชีอย่างหัวเราะไม่ได้ ร้องไห้ไม่ออกว่า “เจ้าน่ะสิที่ไปกลิ้งเล่นในกองถ่าน! ซูชี เจ้าไม่อยู่ในจวนตระกูลซูของเจ้าดีๆ วิ่งแจ้นมาดูเรื่องสนุกอันใดที่นี่ ใช่แล้ว เจ้าเป็นแม่ทัพของจวนแม่ทัพเก้าประตู เจ้าไปที่ไหนมาเมื่อหนึ่งชั่วยามก่อนหน้านี้ เรื่องใหญ่ขนาดนี้ จวนแม่ทัพเก้าประตูกินขี้อยู่หรืออย่างไร พวกเจ้า…”

มั่วเชียนเสวี่ยอารมณ์ไม่ดี วาจาที่เอ่ยออกมาย่อมเกรี้ยวกราด

เพียงแต่นางยังเอ่ยไม่ทันจบก็ตกอยู่ในอ้อมแขนหนึ่งเสียก่อน

“เชียนเสวี่ย เจ้าไม่เป็นไรก็ดีแล้ว เจ้าทำให้ข้าตกใจแทบตาย…” หนิงเซ่าชิงทะยานเข้ามาดึงมั่วเชียนเสวี่ยเข้ามาในอ้อมกอดแน่น แน่นมาก แน่นจนแทบจะหลอมรวมนางเข้าไปในกระดูกตนเอง ราวกับว่าขอเพียงปล่อยนาง นางก็จะเลือนหายไปอย่างไรอย่างนั้น

เขาไม่สนใจว่าบนร่างมั่วเชียนเสวี่ยจะสกปรกเพียงใด คนอยู่ในสภาพย่ำแย่แค่ไหน นางไม่เป็นไรก็ดีแล้ว

หนิงเซ่าชิงกอดมั่วเชียนเสวี่ยแน่น กดหน้าผากนางไว้ใต้คางเขาด้วยมือที่สั่นเล็กน้อย

นั่นคือความปีติยินดีที่ได้สิ่งที่สูญเสียไปกลับคืนมา เป็นความรู้สึกที่ถูกหวงแหนประเภทหนึ่ง

แม้ว่ามั่วเชียนเสวี่ยจะถูกอ้อมกอดนี้รัดแน่นจนแทบจะหายใจไม่ออก แต่ทว่าอาการสั่นเทานี้กลับทำให้นางสัมผัสได้ถึงความสิ้นหวังในเวลานั้นของเขา สัมผัสได้ถึงความเจ็บปวด จิตใจอันเลื่อนลอย และความหวาดกลัวในใจของเขา

อ้อมกัดที่รัดแน่นเช่นนี้ทำให้มั่วเชียนเสวี่ยได้ยินกระทั่งเสียงสะอื้นในลำคอของเขา

สามารถทำให้คนที่สุภาพอ่อนโยนเช่นหนิงเซ่าชิงลืมตัวเสียกิริยาเช่นนี้ คิดว่า เขาคงจะได้รับความตื่นตระหนกไม่น้อย ในใจจึงเจ็บปวด และมีท่าทีอ่อนลง

ความอ่อนโยนนั้นราวกับแสงจันทร์อบอุ่นเหนือศีรษะที่ไล้ผ่านหัวใจของมั่วเชียนเสวี่ย หัวใจเต้นระรัวอย่างน่าประหลาด ดั่งคลื่นน้ำที่กระเพื่อมเป็นระลอกๆ

เขาไม่เป็นอะไร ตนเองก็ยังมีชีวิตอยู่ ยังมีอันใดต้องถือสาหาความอีก

“เซ่าชิง ข้าอยู่นี่ ท่านทำแบบนี้ ข้าหายใจไม่ออกอยู่บ้าง” ความจริงแล้วนางอยากจะกล่าวว่า บนร่างข้าสกปรกมาก สกปรกจนตัวข้ามิกล้าจะให้ท่านกอด

หนิงเซ่าชิงคลายมือเล็กน้อย แขนของมั่วเชียนเสวี่ยก็ถูกคนดึงมา ทั้งร่างหลุดออกจากอ้อมกอดอันอบอุ่นของหนิงเซ่าชิง

ยังไม่ทันจะยืนได้มั่นคง ข้างหูก็ได้ยินเสียงจริงจังอย่างหาได้ยากของซูชี “เชียนเสวี่ย เจ้าเปลี่ยนใจตอนนี้ยังทันนะ”

มั่วเชียนเสวี่ยมองไปตามแรงนั้น ซูชีกำลังจ้องนางอยู่

เมื่อนัยน์ตาประสานกัน หัวใจของมั่วเชียนเสวี่ยก็กระตุก สายตาเช่นนี้ของซูชีประหลาดมาก! ไม่ใช่แววตาที่ไม่สนใจสิ่งใด และเอ้อระเหยลอยชายในยามปกติ…บนใบหน้าก็ไร้ซึ่งรอยยิ้มเช่นกัน

[1] หนึ่งจั้ง ประมาณ 2.5 เมตร