ตอนที่ 425 การสารภาพรักของซูชี (1)
แต่ทว่า ในตอนที่ซูชีจะถอย หนิงเซ่าชิงกลับไม่ยอมให้เป็นเช่นนั้น
เมื่อเหลือบตาขึ้นมา ประกายแดงฉานในก้นบึ้งนัยน์ตาหนิงเซ่าชิงได้ถูกเก็บซ่อนไว้ในใจแล้ว “ซูชี ระหว่างเจ้ากับข้าต้องมีจุดสิ้นสุด”
เดิมซูชีก็ไม่ใช่คนที่ขลาดกลัวถอยหนีในช่วงเวลาหน้าสิ่วหน้าขวาน “ก็ดี ถ้าหากว่าเจ้าตาย แค้นของนาง ข้าจะชำระเอง แต่ถ้าข้าตาย ก็จะได้ไปอยู่เป็นเพื่อนนางในยมโลก นางจะได้ไม่ถูกผีเร่ร่อนที่อยู่เบื้องล่างนั่นรังแก”
แม้ว่าจะอธิษฐานกับสวรรค์ให้นางมีชีวิตอยู่ แต่เบาะแสทั้งหมดล้วนมีเพียงหนึ่งเดียว อดไม่ได้ที่จะทำให้ในใจพวกเขาไม่เชื่อ ท่ามกลางสถานการณ์เช่นนี้ ถ้าหากว่าหนีออกมา จะไม่มีร่องรอยเลยได้อย่างไร
หนิงเซ่าชิงถูกทำให้โมโหอย่างหนัก “เจ้าฝันไปเถอะ ข้าไม่มีทางให้เจ้าได้สมปรารถนา การตัดสินในวันนี้ ข้าจะทำให้เจ้าอยู่ไม่สู้ตาย”
ซูชีนำท่วงท่าประจำตัวที่เชี่ยวชาญออกมา เพียงแต่พัดเล็กๆ ได้เปลี่ยนเป็นพัดเหล็กเท่านั้นเอง “ลงมือเถอะ”
“ช้าก่อน!” ก่อนที่จะประมือกัน หนิงเซ่าชิงกลับหยิบกล่องเล็กๆ กล่องนั้นออกมาจากอ้อมอก และหยิบแหวนที่อยู่ในกล่องวงนั้นออกมาสวมไว้บนนิ้วก้อยตนเอง แหวนวงนี้จะสวมแทนนางก่อน รอวันใดที่หาคนร้ายเจอ ปลดภาระบนบ่าได้แล้ว ค่อยนำมันไปหานาง เมื่อสวมแหวนเรียบร้อยแล้ว ก็ชักกระบี่มายาหยกออกมา
เมื่อมายาหยกถูกชักออกมา ไม่ได้ดื่มโลหิต ไม่มีทางถูกเก็บเด็ดขาด
ซูชีสีหน้าจริงจัง
การประมือของยอดฝีมือ ทุกชัยชนะอยู่ระหว่างกระบวนท่าแรก หากพลาดก็จะถูกคนช่วงชิงโอกาสนำไปล่วงหน้า ชนะแพ้พลิกผัน เป็นตายถูกตัดสินในทันที
การประมือก่อนหน้านี้สองครั้ง ครั้งหนึ่งเป็นสถานการณ์พิเศษ ยังมีอีกครั้งที่เขาใช้แผนกลยุทธ์ทรมานร่างกายตนเองจงใจให้เกิดผลลัพธ์เช่นนั้น
ถ้าหากว่าเขาเป็นพวกอ่อนแอเปราะบาง ตระกูลซูจะให้ความสำคัญกับเขาเช่นนี้ได้อย่างไร
ซูชีไม่ได้กลัวหนิงเซ่าชิง แต่เขากลับไม่กล้าดูแคลนศัตรู
ในเสี้ยวพริบตา!
ก็เห็นประกายสว่างวาบกลุ่มหนึ่งพุ่งลงมา ปราณกระบี่งัดขึ้น! ประกายสว่างวาบกับปราณกระบี่ กลมกลืนเข้าหากัน! ผสมปนเปกัน! ปะทะกัน!
สองฝ่ายความสามารถพอกัน มั่วเหยียนและมั่วสิงอกสั่นขวัญแขวน
ดูท่า วันนี้นายท่านกับซูชี จะมีเพียงแค่คนเดียวที่สามารถเดินออกจากสถานที่รกร้างแห่งนี้ได้อย่างปลอดภัย!
……
มั่วเหนียงแย้มรอยยิ้มที่มีความสุขมากที่สุดในชั่วชีวิตนี้ขณะที่อยู่ในอ้อมแขนมั่วเชียนเสวี่ย ชูอีกับสืออู่หมอบคลานอยู่บนพื้น กลั้นเสียงสะอื้นจนไหล่สั่น
มั่วเชียนเสวี่ยรู้สึกเศร้าเสียใจ แต่กลับร้องไห้ไม่ออก ชีวิตหนึ่งของคนเรานั้นสั้นราวกับต้นไม้ใบหญ้าที่ผลิบานในฤดูใบไม้ผลิและร่วงโรยในฤดูใบไม้ร่วง กาลเวลาเคลื่อนคล้อย พริบตาเดียวก็ผ่านพ้นไป ล้วนเช่นหมอกควันที่ผ่านตา
เพียงแค่ได้ใช้ชีวิตผ่านคืนวันที่ตนเองอยากใช้มากที่สุด อยู่ด้วยกันกับคนที่ตนเองรักมากที่สุด ถึงจะถือว่าได้มีชีวิตอยู่จริงๆ แม้ว่ามั่วเหนียงจะจากไป แต่กลับจากไปด้วยรอยยิ้ม ดังนั้นสำหรับนางแล้ว จะไม่ใช่จุดจบที่ดีที่สุดได้เช่นไร ตนเองไม่เพียงแต่ไม่สามารถเสียใจ แต่ยังต้องรู้สึกดีใจแทนนางด้วย ที่ในที่สุดนางก็ได้พบกับคนในฝันของนาง
ตอนนี้ มั่วเชียนเสวี่ยพลันเข้าใจขึ้นมา
จิตใจที่ไร้ซึ่งความเชื่อ ย่อมสับสน ใจไร้ที่พักพิง ย่อมโดดเดี่ยว
มั่วเหนียงนั้นมีจิตใจที่มั่นคง เห็นความตายเป็นดั่งการกลับคืนสู่มาตุภูมิ สามารถตายในความฝันที่ตนเองถักทอมันขึ้นมา ตายบนเส้นทางนี้ก็มิประหวั่นพรั่นพรึง ก็นับว่าเป็นความสุขที่สุดอย่างหนึ่ง
แล้วนางเล่า แหล่งพักพิงที่มั่นคงของนางอยู่ที่ใด
ใช่แล้ว อยู่ที่หนิงเซ่าชิงนั่นไง
แต่ นางถึงกับทำผิดต่อช่วงเวลาอันงดงามเพื่อชื่อเสียง ตำแหน่งอะไรนั่นครั้งแล้วครั้งเล่า…
เพื่อศีลธรรมจรรยาบางอย่างตามระบอบศักดินาถึงได้ยอมถอยหลายต่อหลายครั้ง นี่มันพอแล้วจริงๆ!
ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป นางจะใช้ชีวิตอย่างที่นางอยากใช้
พ่อบ้านมั่วเห็นผู้เป็นนายมีสีหน้าเหม่อลอย ก็กระแอมไอเสียงเบาอย่างเป็นกังวล “มั่วเหนียงจากไปแล้ว คุณหนูใหญ่โปรดระงับความเศร้าโศกด้วยขอรับ! เพียงแต่สถานที่เช่นนี้ไม่สะดวกที่จะอยู่นาน พวกเรารีบไปจากเส้นทางลับแห่งนี้เถอะขอรับ”
แม้ว่าเส้นทางลับนี้จะสร้างได้แข็งแรง แต่เปลวเพลิงด้านบนนั้นรุนแรงเกินไป ข้างล่างก็ถูกอบจนรู้สึกแย่อยู่บ้าง แน่นอนว่า สิ่งที่พ่อบ้านมั่วพิจารณาไม่ใช่ตนเองรู้สึกแย่หรือไม่ แต่ในยามนี้จวนกั๋วกงเกิดความวุ่นวายขึ้นครั้งใหญ่ ควรปกป้องคุณหนูใหญ่ให้ออกไปจัดการสถานการณ์ทั้งหมดโดยเร็วนั้นดีที่สุด
มั่วเชียนเสวี่ยที่ได้สติคืนมาก็มีสีหน้าสงบนิ่ง พ่อบ้านมั่วไม่เห็นความเศร้าเสียใจที่จินตนาการเอาไว้ ในใจก็เจ็บปวดและโล่งอก เขากลัวจริงๆว่า เมื่อมั่วเหนียงตาย คุณหนูใหญ่จะจมดิ่งอยู่ในความเศร้า และย้อนกลับไปเป็นคุณหนูที่ขี้ขลาดอ่อนแอ พบเจอเรื่องอันใดก็รู้จักแต่ร้องไห้และถอยหนี
มั่วเชียนเสวี่ยส่งหมัวมัวที่อยู่ในอ้อมแขนให้สืออู่แล้วก็ลุกขึ้น “คนข้างหน้านำทาง” น้ำเสียงแม้จะเย็นชา ใบหน้ากลับไร้ซึ่งความโศกเศร้าหรือยินดี ราวกับเดินเล่นชมมวลผกาในสวนบุปผาของเรือน สบายอารมณ์เป็นอย่างมาก
นัยน์ตาสีนิลลึกแคบที่เหลือบขึ้นมองนั้น ต่อให้เขาไท่ซานถล่มตรงหน้าก็มีสีหน้ามั่นคงโดยไม่เปลี่ยนเเปลง
นี่คือสิ่งที่ต้องผ่านการขัดเกลาและสั่งสมจากกาลเวลา ถึงจะเจียระไนความสงบนิ่งและสุขุมเยือกเย็นเช่นนี้ออกมาได้ ไร้ซึ่งกลิ่นอายโหดเหี้ยมแม้แต่น้อย อบอุ่นนุ่มนวล
ไม่เพียงแต่พ่อบ้านมั่วที่ตะลึง และมั่วจื่อถังก็ตะลึงค้างเช่นกัน
ต่อมา ทั้งหมดล้วนน่าชื่นชม
ภายใต้เรื่องใหญ่เช่นนี้ ทำเรื่องหนักให้เป็นเบา ควบคุมตนเองได้ดี นี่เป็นสิ่งที่ผู้มีอำนาจที่ประสบความสำเร็จคนหนึ่งจำเป็นต้องมี
พ่อบ้านมั่วได้รับบาดเจ็บเล็กน้อยเท่านั้น การเคลื่อนไหวจึงไม่อืดอาด เขาชูคบเพลิงขึ้นแยกแยะทิศทางอย่างรอบคอบแล้วก็เดินตรงไปข้างหน้า
แม้ว่าเส้นทางลับนี้จะมุ่งไปสู่ภายนอก แต่ก็เป็นเส้นทางเพื่อหลบหนี ข้างในย่อมมีทางแยกที่ใช้ลวงให้ศัตรูสับสนนับไม่ถ้วน
มั่วเชียนเสวี่ยเดินตามอยู่ด้านหลัง อวี่เสวียนที่อยู่อีกด้านคิดจะไปประคองนาง แต่ถูกนางปฏิเสธ แม้ว่านางจะผ่านการสู้รบอย่างดุเดือดมาเช่นกัน แต่กลับเป็นฝ่ายที่ถูกปกป้อง อาภรณ์แม้จะสกปรกยับย่น ร่างกายแม้จะอ่อนแรง แต่กลับไม่ได้รับบาดเจ็บอันใด
กลับเป็นอวี่เสวียนที่มุมปากยังมีคราบโลหิต แขนเสื้อถูกฟันขาดวิ่น บนร่างเปื้อนไปด้วยคราบโลหิต ดูท่าจะได้รับบาดเจ็บไม่น้อยเช่นกัน
อย่างไรเสียอาซานกับอาอู่ก็เป็นบุรุษ หลังจากสบตากันแล้ว ก็ก้าวขึ้นไปอย่างคิดจะรับมั่วเหนียงมาจากสืออู่ แต่สืออู่กลับดื้อดึงมาก แม้ว่าจะมีบาดแผลอยู่บ้าง แต่กลับกัดฟันแบกมั่วเหนียงไว้บนหลัง โดยมีชูอีประคองอยู่อีกด้าน
นี่คือเรื่องสุดท้ายที่พวกนางสามารถทำเพื่อมั่วเหนียงได้แล้ว
เวลาประมาณหนึ่งก้านธูป คนทั้งขบวนก็ผ่านทางแยกไปหลายทาง ตรงหน้าปรากฏบันไดขึ้นมา แต่ด้านหน้ากลับมีกำแพงหิน พ่อบ้านมั่วสัมผัสกลไก กำแพงหินก็ขยับเอง
ออกจากประตูหินมา ก็คล้ายกับห้องใต้ดินห้องหนึ่ง ข้างประตูมีคนคนหนึ่งยืนอยู่ เมื่อเห็นขบวนของพวกเขาออกมา ก็ส่งเสียงถามว่า “เป็นท่านพ่อบ้านหรือ”
จุดไฟกลางห้องใต้ดินแล้ว มั่วเชียนเสวี่ยถึงได้เห็นคนที่ส่งเสียงออกมาได้ชัด เป็นบุรุษวัยกลางคนที่มีแขนข้างเดียว แม้ว่าเขาจะมีแขนเดียว แต่เค้าโครงบนใบหน้ากลับแข็งแกร่งและเด็ดเดี่ยว
เมื่อเห็นมั่วเชียนเสวี่ยเหลือบตาขึ้นมา บุรุษแขนเดียวก็ค้อมกาย “ได้ยินว่าในจวนเกิดเรื่องใหญ่ขึ้น บ่าวจึงเฝ้าอยู่ที่นี่ โชคดีที่คุณหนูใหญ่ไม่เป็นอะไร”
พ่อบ้านมั่ววางคบเพลิงในมือเข้ากับกำแพง พลางเอ่ยแนะนำ “คุณหนูใหญ่ นี่คือเหล่าอู่ เป็นทหารที่ติดตามท่านกั๋วกงในอดีตขอรับ แต่เป็นเพราะได้รับบาดเจ็บ ตัดแขนไปข้างหนึ่ง จึงไม่สามารถเข้าสู่สนามรบได้อีก ท่านกั๋วกงถึงได้จัดการให้เขาเฝ้าอยู่ที่นี่ บริหารดูแลร้านเล็กๆ แห่งนี้”
“เหล่าอู่ คารวะคุณหนูใหญ่ขอรับ” นี่คือการทำความเคารพตามมาตรฐานกองทัพโดยการคุกเข่าข้างเดียว
“อู่ฮั่น เกรงใจแล้ว” มั่วเชียนเสวี่ยยกมือส่งสัญญาณให้เขาลุกขึ้น “สถานการณ์ข้างนอกเป็นเช่นไรหรือ”
เหล่าอู่ลุกขึ้น ตอบว่า “ได้ยินว่าเกิดเรื่องขึ้น เหล่าอู่ก็ส่งคนไปสืบข่าว จวนกั๋วกงถูกเผาจนเป็นเถ้าถ่าน ทั่วทุกแห่งลือกันว่าคุณหนูใหญ่…คุณหนูใหญ่สิ้นชีพในทะเลเพลิงขอรับ”
สิ้นชีพในทะเลเพลิง?!
กระทั่งเหล่าอู่ยังได้รับข่าว เช่นนั้นหนิงเซ่าชิงจะต้องไปถึงสถานที่เกิดเหตุแล้วแน่นอน
ข่าวร้ายเช่นนี้ เขาจะทนไหวได้อย่างไร?!