ตอนที่ 380 สารเลวแซ่หนิว! แซ่เซ่าไม่มีทางอยู่ร่วมโลกกับเจ้าได้!

ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า

ตอนที่ 380 สารเลวแซ่หนิว! แซ่เซ่าไม่มีทางอยู่ร่วมโลกกับเจ้าได้!

“นางเป็นสตรีของเจ้าหรือ?”

ก่วนฟางอี๋ปรากฏตัวขึ้นข้างกายเขา จ้องมองหลุมศพแล้วเอ่ยถาม

นางก็รู้สึกทอดถอนใจต่อสตรีที่พักผ่อนอย่างสงบอยู่ภายในหลุมศพนี้เช่นกัน ความทอดถอนใจแรกเป็นเพราะความภักดีของสตรีนางนี้ ส่วนความทอดถอนใจที่สองเป็นเพราะคำบอกเล่าของต้วนหู่หลังจากที่กลับมาแล้ว

จะว่าไปแล้ว จริงอยู่ที่สตรีนางนี้กระทำไปโดยพลการ บอกว่าชักภัยมาใส่ตัวก็ไม่เกินไปเลย แต่ตอนนั้นหนิวโหย่วเต้ากลับยืนกรานจะเสี่ยงรอคอยสตรีนางนี้ ส่วนสตรีนางนี้ที่เหลือเพียงลมหายใจรวยรินแม้จะทราบดีว่าเลยกำหนดออกเรือไปแล้ว แต่ก็เชื่อมั่นอย่างสุดหัวใจว่าหนิวโหย่วเต้ากำลังคอยนางอยู่แน่นอน

ก่วนฟางอี๋ไม่ทราบว่าในจุดนี้นับว่าเป็นการสื่อใจถึงกันได้หรือไม่ ทว่าการพลัดพรากจากกันไปด้วยความตายเช่นนี้กลับทำให้นางสะเทือนใจเป็นอย่างยิ่ง

หนิวโหย่วเต้ากล่าวว่า “ทั้งใช่ แล้วก็ไม่ใช่ พูดให้ถูกคือนางคือคนของข้า”

ก่วนฟางอี๋แปลกใจ “หมายความว่าอย่างไร? มันต่างกันตรงไหน?”

หนิวโหย่วเต้าไม่ได้ตอบคำถามนี้ เขาหันหลังกลับ สายตาทอดมองออกไปยังหอสูงที่อยู่ในเขตคฤหาสน์พอดี กุ่ยหมู่กำลังยืนพิงราวกั้นจ้องมองมาทางนี้

เขาทราบดีว่าอีกฝ่ายกำลังจับตามองเขาอย่างไม่คลาดสายตาอยู่ ก่อนที่เรื่องของจางสิงรุ่ยจะสำเร็จลุล่วงไปด้วยดี นางไม่มีทางปล่อยให้เขาอยู่นอกสายตา

“เรื่องที่ข้าบอกเมื่อคืนเจ้าส่งข่าวไปหาอู๋เหล่าเอ้อร์หรือยัง?” หนิวโหย่วเต้าถาม

ก่วนฟางอี๋ตอบ “ส่งแล้ว!”

หนิวโหย่วเต้าพยักหน้ารับ ถามต่อว่า “เจ้าสามารถติดต่อกับหอจันทร์กระจ่างได้หรือไม่?”

ก่วนฟางอี๋ตอบว่า “ข้าไหนเลยจะติดต่อพวกเขาได้ คนพวกนั้นทำตัวลึกลับขนาดไหนใช่ว่าเจ้าจะไม่รู้ เจ้าอยากติดต่อพวกเขาอย่างนั้นหรือ? คนที่อยู่เรือนเมฆาขาวคนนั้น…”

“ไม่ได้ ตอนนี้ยังเปิดเผยตัวนางไม่ได้ จุดอ่อนนี้ต้องเก็บเอาไว้ก่อน ตอนนี้อย่าเพิ่งไปยุ่งกับนาง” หนิวโหย่วเต้าเอ่ยตัดบท ถามไปอีกว่า “หอจันทร์กระจ่างเป็นองค์กรมือสังหาร ในระดับล่างจะต้องมีแหล่งติดต่องานอยู่แน่ เจ้าเป็นนายหน้าอยู่ในเมืองหลวงแคว้นฉีมานานขนาดนั้น จะมีรู้ช่องทางติดต่อของพวกเขาได้อย่างไร?”

ก่วนฟางอี๋ตอบว่า “หากเป็นช่องทางติดต่อกับระดับล่างของพวกเขา ข้าก็พอจะรู้อยู่ แต่ข้ารู้ในส่วนของทางเมืองหลวงแคว้นฉีเท่านั้น ถ้าเป็นที่อื่นข้าก็ไม่รู้แล้ว”

“แค่นี้ก็พอแล้ว เจ้าตามข้ามา” หนิวโหย่วเต้าเอ่ยแล้วเดินออกไป

ทั้งสองคนกลับมายังคฤหาสน์ มาที่ห้องพักของหนิวโหย่วเต้า

หนิวโหย่วเต้านั่งลงแล้วเริ่มเติมน้ำฝนหมึกอีกครั้ง ก่วนฟางอี๋มองสภาพภายในห้อง พลันเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “เมื่อเช้าข้ามาหาเจ้าแล้ว แต่ดันมาเห็นภาพที่ไม่ควรเห็นผ่านทางช่องหน้าต่างเล็กน้อย ท่านหญิงคนนั้นมาช่วยเกล้าผมให้เจ้ามันหมายความว่าอย่างไร?”

“ก็หมายความว่าเกล้าผมไง”

“จุ๊ๆ ท่านหญิงผู้สูงศักดิ์ ธิดาของหนิงอ๋องซางเจี้ยนปั๋วมาเกล้าผมให้เจ้าคงไม่มีความหมายอื่นแล้วกระมัง?”

“เจ้าคิดมากไปแล้ว เจ้ายังไม่เข้าใจวิธีซื้อใจคนของสองพี่น้องสกุลซางหรือไร?”

ก่วนฟางอี๋ร้องโอ้ กระจ่างขึ้นมาในทันใด เผยสีหน้าที่สื่อว่าอย่างนี้นี่เอง

นางลองคิดๆ ดูก็พบว่าใช่ สตรีที่อัปลักษณ์ถึงเพียงนั้น อัปลักษณ์จนทำให้คนผวาได้ จะมีบุรุษคนใดมาต้องตากันเล่า? ดูแล้วไม่น่าจะมีความสัมพันธ์อะไรอย่างที่ตนคิดถึงจะถูก

หนิวโหย่วเต้าจรดพู่กันเขียนอักษรสองสามแถว จากนั้นพับส่งให้นาง “ส่งไปให้อู๋เหล่าเอ้อร์ ให้เขาหาทางช่วยส่งไปถึงช่องทางติดต่อของหอจันทร์กระจ่างให้ข้าที”

ก่วนฟางอี๋รับไปอ่านดูเล็กน้อย อ่านออกเสียงว่า “ของที่พวกเจ้าต้องการอยู่ในมือข้า ข้ายินดีมอบให้ ส่งคนมาเจรจาได้เลย ซาง หนิวโหย่วเต้า!” นางเงยหน้ากลับขึ้นมาถามด้วยสีหน้าฉงน เจ้าครอบครองสิ่งใดที่พวกเขาต้องการอยู่อย่างนั้นหรือ?”

หนิวโหย่วเต้าตอบว่า “เจ้าจะรู้ก็ดี จะไม่รู้ก็ช่าง สรุปคือหากตอนนี้รู้มากเกินไปกลับไม่เป็นผลดีต่อเจ้า พอถึงเวลาเดี๋ยวเจ้าจะได้รู้เอง”

ก่วนฟางอี๋ชี้ลงบนหน้ากระดาษ “เช่นนั้นตรงที่เขียนไว้ว่า ‘ซาง หนิวโหย่วเต้า’ หมายความว่าอย่างไร? เขียนผิดไป หรือว่าหมายถึงสองพี่น้องสกุลซาง ”

“ข้อความนี้ไม่ใช่สำหรับเจ้า แต่เป็นข้อความสำหรับหอจันทร์กระจ่าง รีบเอาไปส่งได้แล้ว แล้วก็ เรียกหยวนฟางมาหาข้าด้วย”

“ใช้เสร็จก็ถีบหัวส่ง…” ก่วนฟางอี๋บนพึมพำพลางเดินออกไป

ไม่นานนักหยวนฟางก็มาถึง ท่าทีเปลี่ยนจากเคร่งขรึมน่าศรัทธากลายเป็นรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ เดินเข้ามาคำนับ “เต้าเหยี่ย!”

หนิวโหย่วเต้ากล่าวว่า “ส่งข่าวไปหาเฉินกุยซั่ว บอกเขาว่าหากพวกเราไม่ได้เป็นฝ่ายติดต่อไปหาเขา ไม่ว่าจะเกิดเรื่องใดขึ้นก็ห้ามติดต่อมาหาทางนี้เด็ดขาด ภายในหนึ่งปีนี้ไม่อนุญาตให้เป็นฝ่ายติดต่อมาหาทางนี้เด็ดขาดไม่ว่าจะเป็นกรณีใดก็ตาม”

“ขอรับ! เต้าเหยี่ยยังมีคำสั่งใดอีกหรือไม่?”

“ไปจัดการเดี๋ยวนี้!”

“ขอรับ!” หยวนฟางตอบรับแล้วจากไปอย่างรวดเร็ว

หนิวโหย่วเต้าค่อยๆ เอนตัวพิงพนักเก้าอี้ ขมวดคิ้วครุ่นคิด

เฮยหมู่ตานสิ้นชีพ หยวนกังไม่อยู่แล้ว ต้องหาใครมารับผิดชอบเรื่องราวลับเฉพาะบางอย่างแทน เขาไม่สามารถจัดการทุกเรื่องด้วยตัวเองได้ อีกทั้งมีงานยุ่งมากเช่นกัน ที่สำคัญคือหยวนฟางก็ไม่ได้มีความสามารถทางด้านนี้เลย ภาระหน้าที่บางอย่างจึงไม่เหมาะจะให้หยวนฟางรับผิดชอบจัดการ

….

ณ จวนผู้ว่าการมณฑลเป่ยโจว เซ่าผิงปอยืนอยู่หน้าแผนที่ ดวงตาจ้องมองเข็มเงินบนแผนที่ สีหน้าเคร่งเครียดผิดปกติ

เซ่าซานเสิ่งยืนเงียบอยู่ด้านข้าง คอยแอบมองเป็นระยะ

เซ่าผิงปอหันไปมอง เอ่ยเสียงคร่ำเคร่ง “อ้างอิงจากตำแหน่งของเข็มเงิน ตามหลักแล้วควรจะเข้าสู่ปากอ่าวตั้งแต่เมื่อวานแล้ว เหตุใดยังไม่มีข่าวจากคนที่ไปรอรับอีก? เรือใหญ่โตถึงเพียงนั้น เข้าสู่ปากอ่าวเล็กๆ แล้วคงไม่ถึงขั้นที่มองไม่เห็นกันกระมัง?”

เซ่าซานเสิ่งก้มหน้าลง เขาไม่กล้ารายงานเรื่องบางอย่างออกไป!

เซ่าผิงปอรับรู้ได้ถึงความผิดปกติ ค่อยๆ หันกลับมา เดินมาหยุดตรงหน้าเขาช้าๆ จ้องมองปฏิกิริยาท่าทีของเขา เอ่ยถามอย่างชัดถ้อยชัดคำ “เจ้ามีเรื่องใดปิดบังช้าอยู่ใช่หรือไม่?”

เซ่าซานเสิ่งเงยหน้าขึ้นอย่างยากลำบาก ลังเลอยู่สักพักถึงได้เอ่ยออกไป “คุณชายใหญ่ ได้รับข่าวที่ส่งกลับมาแล้วขอรับ เรือ…คนที่ไปรออยู่บริเวณปากอ่าวไม่พบเห็นขบวนเรือเลยขอรับ”

ดวงตาของเซ่าผิงปอเบิกกว้างขึ้นมาเล็กน้อย ยกมือชี้ไปยังเข็มเงินที่ปักอยู่บนแผนที่ “แล้วนี่มันหมายความว่าอย่างไร? ข่าวที่ส่งมาจากขบวนเรือแจ้งว่ากำลังเข้าปากอ่าวแล้วชัดๆ แล้วจะไม่พบเห็นได้อย่างไร?”

เซ่าซานเสิ่งคล้ายไม่รู้ว่าสมควรจะตอบอย่างไรเช่นกัน

เซ่าผิงปอยื่นมือออกมาทันที คว้าสาบเสื้อเขาพลางกัดฟันถาม “เจ้าน่าจะรู้ถึงความร้ายแรงของเรื่องราวดี เจ้าแก่จนเลอะเลือนไปแล้วกระมัง? เรื่องเช่นนี้ก็กล้าปกปิดอำพรางจากข้าอย่างนั้นหรือ?”

เซ่าซานเสิ่งเอ่ยอย่างยากลำบากว่า “คุณชายใหญ่ คนที่ปากอ่าวไม่พบร่องรอยของขบวนเรือเลยจริงๆ ขอรับ”

“เช่นนั้นเจ้ามัวยืนทื่ออยู่ตรงนี้ทำไม? ยังไม่รีบไปสืบดูสถานการณ์มาให้ชัดเจนอีก?” เซ่าผิงปอเดือดดาล ผลักเขาออกไปจนอีกฝ่ายเกือบเซล้มลงบนพื้น พลางสั่งการอีกฝ่ายต่อ “ติดต่อไปหาพี่จ้าวด้วย สอบถามดูว่าเรื่องราวเป็นมาอย่างไรกันแน่!”

เซ่าซานเสิ่งกลับไม่มีทีท่าว่าจะขยับตัวไปไหน เอ่ยด้วยสีหน้าขื่นขมว่า “คุณชายใหญ่ขอรับ สายข่าวจากทางจังหวัดชิงซานส่งข่าวมาแจ้งว่าหนิวโหย่วเต้ากลับถึงจังหวัดชิงซานแล้วขอรับ”

เซ่าผิงปอชะงักไปเล็กน้อย จากนั้นเอ่ยด้วยความโกรธ “เจ้าติดตามข้ามานานขนาดนี้ ยังแยกแยะความสำคัญเร่งด่วนของเรื่องราวไม่ออกอีกหรือ? ม้าศึกสิ! ม้าศึก! ม้าศึกต่างหาก! ช่างหัวเขาไปก่อน ไปสืบเรื่องม้าศึกมาให้ชัดเจนก่อน!”

เซ่าซานเสิ่งกลืนน้ำลายเล็กน้อย ยังคงเอ่ยอย่างยากลำบากว่า “สายจากทางจังหวัดชิงซานบอกว่า หนิวโหย่วเต้ากลับไปพร้อมขบวนเรือขนาดใหญ่กลุ่มหนึ่ง มีประมาณสี่ถึงห้าร้อยลำ พาม้าศึกกลับไปด้วยราวสามหมื่นตัว ดูเหมือนจะค่อนข้างสอดคล้องกับสถานการณ์ทางขบวนเรือของพวกเรา…” พอกล่าวมาถึงประโยคสุดท้าย สุ้มเสียงของเขาดูหนักใจอย่างมากจริงๆ

เขาได้รับข่าวนี้แต่เช้าแล้ว อีกทั้งเขาก็ไม่ใช่คนโง่ หาไม่แล้วคงไม่ได้ติดตามรับใช้อยู่ข้างกายเซ่าผิงปอมานานถึงขนาดนี้ เมื่อนำมาเชื่อมโยงกับข่าวที่ได้มาจากทางปากอ่าว เขาก็เข้าใจทันทีว่าเกิดอะไรขึ้น

เนื่องจากเข้าใจ เขาถึงไม่กล้ารายงาน ด้วยกลัวว่าคุณชายใหญ่จะทนรับความสะเทือนใจไม่ไหว

“เจ้า…เจ้า…” เซ่าผิงปอเบิกตากว้าง สีหน้าซีดเผือดไปในชั่วพริบตา ค่อยๆ ยกมือขึ้นมา ชี้หน้าเขาด้วยมือที่สั่นระริก น้ำเสียงก็สั่นพร่าเช่นกัน “เจ้า…เจ้าว่าอย่างไรนะ? เจ้าพูดอีกครั้งสิ!”

เซ่าซานเสิ่งก้มหน้างุด เขาทราบดีว่าอีกฝ่ายเข้าใจแล้ว ด้วยสติปัญญาของคุณชายใหญ่ ไหนเลยจะฟังเส้นสนกลในของเรื่องราวไม่เข้าใจ

เซ่าผิงปอกลืนน้ำลาย ค่อยๆ หันกลับไป ชี้ไปยังแผนที่อีกครั้ง ชี้ไปทางแคว้นฉี ทรวงอกสะท้อนขึ้นลงถี่รัว หอบหายใจอยู่พักใหญ่ถึงได้ระเบิดเสียงขึ้นมาด้วยความโกรธเกรี้ยว “ซูจ้าว! เจ้าปิดบังอะไรจากข้าอยู่กันแน่!”

จากนั้นก็ชี้หน้าเซ่าซานเสิ่งต่อ “พวกเจ้า…พวกเจ้าช่างยอดเยี่ยมเสียจริง ล้วนปิดบังข้ากันหมด!”

เซ่าซานเสิ่งพลันขมวดคิ้วเอ่ยไปว่า “คุณชายใหญ่ ด้วยสุขภาพของท่าน ท่านไม่สามารถโมโหเกินไปได้นะขอรับ ท่านอย่าได้ระเบิดโทสะเลยขอรับ!”

“ไอ้สารเลวแซ่หนิว! แซ่เซ่าไม่มีทางอยู่ร่วมโลกกับเจ้าได้! อั่ก…” จู่ๆ เซ่าผิงปอก็ยกมือกุมอก ครางออกมาเล็กน้อย ลำคอแข็งเกร็ง ศีรษะห้อยตก จากนั้นเซล้มลงบนพื้น

เซ่าซานเสิ่งได้ยินเสียงก็เงยหน้าขึ้น พุ่งตัวเข้าไปทันที แต่ก็ช้าไปเสียแล้ว

เซ่าผิงปอล้มกระแทกพื้นเต็มแรง

“คุณชายใหญ่!” เซ่าซานเสิ่งตกใจ คุกเข่าลงบนพื้นทันที รีบประคองเขาไว้ในอ้อมแขน

ร่างของเซ่าผิงป๋อบิดเกร็ง สองมือกำแน่น หลับตาแน่นส่งเสียงไอ “แค่กๆ” ออกมาหลายที กระอักโลหิตสดๆ แดงฉานออกมาจากปาก สีหน้าซีดขาวราวกับกระดาษ

เซ่าซานเสิ่งเงยหน้าขึ้นทันที ร้องตะโกนเสียงหลง “มีใครอยู่บ้าง! มีใครอยู่บ้าง! ใครก็ได้ รีบมาที…”

คนหลายคนทะยานเข้ามาจากด้านนอกอย่างรวดเร็ว เป็นผู้บำเพ็ญเพียรจากสำนักเขามหายาน พอเห็นเซ่าผิงปอในสภาพกระอักเลือดพวกเขาก็ตกใจเป็นอย่างมาก

ในฐานะผู้คุ้มกันของเซ่าผิงปอ หากเกิดเหตุขึ้นกับเซ่าผิงปอขึ้นมาจริงๆ ผู้ใดก็เลี่ยงความรับผิดชอบไม่พ้นทั้งสิ้น แต่ละคนลนลานขึ้นมาทันที รีบใช้พลังเข้าช่วยเหลือเซ่าผิงปอ

ทันทีที่เกิดเหตุขึ้นกับคนผู้นี้ เจ้าหน้าที่ระดับสูงทั่วจวนผู้ว่าการมณทลต่างได้รับความตระหนก

เซ่าเติงอวิ๋นมาถึงแล้ว จงหยางซวี่จากสำนักเขามหายานที่รับผิดชอบดูแลจวนผู้ว่าการมณฑลก็มาด้วย เซ่าหลิ่วเอ๋อร์ก็มาด้วยเช่นกัน

จงหยางซวี่ที่นั่งลงข้างเตียงตรวจอาการให้เซ่าผิงปออย่างละเอียดค่อยๆ ลุกขึ้นมา เอ่ยกับเซ่าเติงอวิ๋นว่า “น้องเซ่า คุณชายใหญ่โมโหจนเลือดลมตีกลับทำร้ายหัวใจ หากมิใช่เพราะฝ่าซือติดตามให้ความช่วยเหลือได้ทันท่วงที เกรงว่าคงขาดอากาศหายใจตายไปแล้ว”

เซ่าซานเสิ่งเช็ดน้ำตาอยู่ด้านข้าง เขารู้ดีว่าไม่ควรบอกออกไป แต่เรื่องนี้ปิดบังได้เพียงชั่วคราวเท่านั้น ไม่อาจปิดบังไปได้ตลอด คุณชายใหญ่คอยติดตามความเคลื่อนไหวของขบวนเรืออยู่ทุกวัน ไม่มีทางปิดบังไว้ได้

เซ่าเติงอวิ๋นที่เส้นผมหงอกขาวถามขึ้นว่า “เช่นนั้นตอนนี้อาการเป็นอย่างไรบ้าง?”

จงหยางซวี่กล่าวว่า “ตอนนี้ไม่มีอะไรน่าห่วงแล้ว แต่ชีพจรหัวใจได้รับความเสียหายรุนแรง จำเป็นต้องพักฟื้น!”

เซ่าเติงอวิ๋นถาม “เช่นนั้นจะฟื้นขึ้นมาเมื่อไร?”

จงหยางซวี่มองเซ่าผิงปอที่ยังคงกำสองมือไว้แน่นทั้งๆ ที่สลบไสลอยู่ เอ่ยไปว่า “อาการบาดเจ็บทางกายเยียวยาได้ แต่อาการทางใจกลับทำให้คนจนปัญญา ตัวเขายามนี้เสมือนตกอยู่ในฝันร้าย จะฟื้นขึ้นมาตอนไหนก็ขึ้นอยู่กับว่าเขาจะสามารถตื่นจากฝันร้ายได้เมื่อไร”

เขาหันไปมองเซ่าซานเสิ่งต่อ หรี่ตาถามออกไป “ตาเฒ่าอย่างเจ้าจงอธิบายมาว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ทำไมคุณชายใหญ่ถึงโมโหจนตกอยู่ในสภาพนี้ได้?”

เซ่าซานเสิ่งเช็ดน้ำตา เอ่ยไปว่า “ทางเราได้รับข่าวจากทางจังหวัดชิงซานว่าหนิวโหย่วเต้ากลับมาจากแคว้นฉีแล้ว ทั้งยังพาม้าศึกจำนวนมากกลับมาพร้อมกัน ดังนั้นถึงได้…ถึงได้…”

เขาพูดจาอึกอักเล็กน้อย เรื่องจัดหาม้าศึกจากแคว้นฉีดำเนินการโดยปกปิดสำนักเขามหายานไว้ เขาจึงไม่กล้าพูดออกไป

“ฮ่าๆ!” จงหยางซวี่ได้ฟังก็หัวเราะหยัน หันไปมองเซ่าผิงปอที่สลบไสลอยู่ เอ่ยด้วยความทอดถอนใจเป็นอย่างมากว่า “คุณชายใหญ่หนอคุณชายใหญ่ ท่านทนเห็นหนิวโหย่วเต้าได้ดีว่าท่านสักหน่อยไม่ได้เชียวหรือ เรื่องเล็กน้อยแค่นี้กลับโมโหจนทำให้ตนตกอยู่ในสภาพเช่นนี้ ไยต้องหาเรื่องใส่ตัวด้วย? จิตใจของท่านมันจะไม่คับแคบเกินไปหน่อยหรือ ท่านจะให้ข้าว่าท่านอย่างไรดีเล่า? เฮ้อ!” ว่าจบก็สะบัดแขนยกมือไพล่หลัง ส่ายหน้าพลางเดินจากไปด้วยสีหน้าจนปัญญา

………………………………………………………………