ตอนที่ 381 มีแค่ถูกปล้นไปเท่านั้น

ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า

ตอนที่ 381 มีแค่ถูกปล้นไปเท่านั้น

เซ่าเติงอวิ๋นหันมองตามไป จากนั้นก็หันกลับมามองบุตรชายที่อยู่บนเตียง เขาไม่รู้ว่าควรจะว่าอะไรบุตรชายคนนี้จริงๆ

แต่มีจุดหนึ่งที่เขาไม่อาจปฏิเสธได้ นั่นคือบุตรชายคนนี้มีความสามารถเหนือกว่าเขา หากเปลี่ยนเป็นตัวเขาเอง เขาคงไม่มีความสามารถมากพอจะทำให้มณฑลเป่ยโจวพัฒนาก้าวหน้าจนเป็นอย่างในปัจจุบันนี้ได้

เซ่าเติงอวิ๋นไม่ได้พูดอะไรอีก เขาหันหลังเดินออกไป เซ่าซานเสิ่งรีบเดินตามออกไปส่ง

เซ่าหลิ่วเอ๋อร์ยืนนิ่งอยู่ข้างเตียง เมื่อเห็นพี่ใหญ่ที่ทำให้นางทั้งรักทั้งชังคนนี้ตกอยู่ในสภาพนี้ ในใจนางเต็มไปด้วยความรู้สึกที่สับสนหลากหลาย

ตั้งแต่เล็ก พี่ชายคนนี้คอยปกป้องดูแลนางอย่างไร เรื่องนี้นางทราบชัดเจนดี แต่พี่ชายคนนี้เคยสร้างความเจ็บช้ำไว้ให้นางอย่างโหดเหี้ยมเพียงใด นางก็ได้รับรู้มาด้วยตาตัวเองเช่นกัน

ตอนนี้นางแทบจะไม่ได้พบหน้าพี่ใหญ่คนนี้เลย เพราะทันทีที่เห็นเขา มันจะทำให้นางนึกถึงถานเย่าเสี่ยนขึ้นมา

ตอนนี้นางก็ยังคงนึกถึงถานเย่าเสี่ยนอยู่ แววตาฉายแววเลื่อนลอยเล็กน้อย ไม่รู้ว่าตอนนี้ถานเย่าเสี่ยนหนีไปอยู่ที่ใดแล้ว และไม่ทราบเช่นกันว่าตอนนี้ถานเย่าเสี่ยนไปอยู่ที่ไหน อยู่สุขสบายดีหรือไม่?

“นายท่านเดินระวังด้วย” เซ่าซานเสิ่งประสานมือคำนับส่งอยู่นอกเรือน

เซ่าเติงอวิ๋นที่หันหลังอยู่เอ่ยด้วยเสียงเรียบเฉย “ตามข้ามาหน่อย”

“ขอรับ!” เซ่าซานเสิ่งตอบรับพลางเดินตามไป

เมื่อมาถึงสถานที่เงียบสงบลับตาแห่งหนึ่ง เซ่าเติงอวิ๋นหยุดฝีเท้าแล้วหันกลับมา สายตาที่มองมายังเซ่าซานเสิ่งทำให้เขาอึดอัดไปทั้งตัว

“พูดมา เรื่องราวเป็นมาอย่างไรกันแน่?” เซ่าเติงอวิ๋นเอ่ยถาม

เซ่าซานเสิ่งผงะไปเล็กน้อย แสร้งทำตัวเลอะเลือน “นายท่านหมายถึงเรื่องใดหรือขอรับ?”

เซ่าเติงอวิ๋นกล่าวว่า “เมื่อครู่ตอนอยู่ต่อหน้าหยางจงซวี่เจ้าไม่ได้พูดความจริง”

เซ่าซานเซิ่งรีบตอบว่า “ทุกประโยคของบ่าวเป็นความจริงขอรับ”

เซ่าเติงอวิ๋นโน้มตัวไปด้านหน้า ใบหน้าแทบจะแนบติดกับหน้าเขา “เจ้าคิดว่าข้าเกษียณตัวเองไปแล้วจริงๆ อย่างนั้นหรือ? ข่าวจากจังหวัดไม่ได้เพิ่งมาถึงในวันนี้”

จิตใจของเซ่าซานเสิ่งตึงเครียดขึ้นมา ทราบความหมายเขาดี หากว่าเป็นเพียงเพราะอิจฉาทางจังหวัดชิงซานจริงๆ คุณชายใหญ่ไม่มีทางโมโหจนลมจับเอาวันนี้

เขารีบเปลี่ยนคำพูดทันที “นายท่าน เป็นความเลินเล่อของบ่าวเองที่เพิ่งรายงานข่าวต่อคุณชายใหญ่ในวันนี้ขอรับ”

เซ่าเติงอวิ๋นเอ่ยเนิบๆ “ยังเห็นหัวข้าอยู่หรือไม่!”

เซ่าซานเสิ่งหน้าเปลี่ยนสีในทันที ทิ้งตัวคุกเข่าลงไปกับพื้นดังตุบ “นายท่านคลายโทสะด้วย คุณชายห้ามมิให้แพร่งพรายเรื่องนี้ออกไป มิเช่นนั้นเกรงว่าจะทำให้ทางสำนักเขามหายานไม่พอใจขอรับ”

เซ่าเติงอวิ๋นยื่นมือออกไปหิ้วตัวเขาขึ้นมาได้ทันที ไม่เสียทีที่เป็นแม่ทัพชาญศึก “การที่ข้าไม่ได้เปิดโปงออกไปต่อหน้าหยางจงซวี่ เจ้ายังดูไม่ออกอีกหรือ? พูดมา!”

“ม้าศึกของทางจังหวัดชิงซานชุดนั้นอาจจะเป็นม้าศึกสำหรับมณฑลเป่ยโจวของพวกเราขอรับ…” เซ่าซานเสิ่งก็จนปัญญาอย่างยิ่งเช่นกัน แต่เขาไม่มีทางเลือกแล้ว ทำได้เพียงบอกเล่าเรื่องราวออกไปตามความเป็นจริง

หลังจากเซ่าเติงอวิ๋นฟังจบก็ยกมือไพล่หลังเงยหน้ามองฟ้า ค่อยๆ ถอนหายใจออกมา บุตรชายคนนี้ของตนเลิศล้ำนัก คิดไม่ถึงเลยว่าจะลอบวางแผนยิ่งใหญ่เช่นนี้อย่างลับๆ ยิ่งไปกว่านั้นอีกนิดเดียวก็จะประสบความสำเร็จแล้วด้วย แต่น่าเสียดายที่พานพบคู่ต่อสู้เข้า จึงพ่ายแพ้ไม่เป็นท่า

“หนิวโหย่วเต้าอีกแล้วหรือ ฮ่าๆ ม้าตกไปอยู่ในมือบุตรชายของหนิงอ๋อง ฮ่าๆ กรรมตามสนองแล้ว ตามสนองเสียแล้ว…” เซ่าเติงอวิ๋นหัวเราะอย่างขมขื่นแล้วหันหลังเดินจากไปอย่างเชื่องช้า

เป็นเพราะการเกื้อหนุนของหนิงอ๋อง เขาถึงได้รับความรุ่งโรจน์มั่งคังในปัจจุบันมา แต่เขาทรยศต่อคำปฏิญาณในอดีตที่เคยมอบให้หนิงอ๋องไว้ การทรยศต่อแคว้นเยี่ยนทำให้เขานึกเสียใจเสมอมา

หากเทียบกับบุตรชายตนแล้ว เขาไม่นึกชิงชังในการกระทำของทางจังหวัดชิงซานเลยแม้แต่น้อย

….

ณ เรือนเมฆาขาว ภายในห้องส่วนตัวของซูจ้าว ซูจ้าวและฉินเหมียนต่างเงียบกันทั้งคู่

หลังจากฉินเหมียนเข้ามาก็เงียบงันไม่พูดจา เพียงมองนางอยู่เช่นนี้ อีกทั้งสีหน้ายังค่อนข้างดูแย่ด้วย

“เจ้าเป็นอะไรไป?” ในที่สุดซูจ้าวก็เป็นฝ่ายทำลายความเงียบ “เกิดเรื่องใดขึ้นใช่หรือไม่?”

ฉินเหมียนเอ่ยด้วยสีหน้าขมขื่น “นายหญิง ม้าศึกสามหมื่นตัวที่ขนส่งไปยังมณฑลเป่ยโจวถูกหนิวโหย่วเต้าปล้นไปแล้วเจ้าค่ะ!”

ซูจ้าวตกตะลึงในทันใด เอ่ยถามเสียงเครียด “เป็นไปได้อย่างไร? ม้าศึกไปถึงแถบแคว้นหานแล้วมิใช่หรือ? เซ่าผิงปอบอกว่าเตรียมการในส่วนที่เหลือไว้ดีแล้วไม่ใช่หรือ?”

ฉินเหมียนส่ายหน้าอย่างไร้เรี่ยวแรง

ซูจ้าวกัดฟันกรอด ถามออกไป “ถูกปล้นที่ไหน? ม้าศึกมากมายขนาดนี้ไม่มีทางปล้นไปในคราวเดียวได้ เดินทางไม่ได้เร็ว น่าจะยังพอมีโอกาสขวางเอาไว้ได้!”

ฉินเหมียนยิ้มอย่างขื่นขม “ไปถึงจังหวัดชิงซานแล้ว ถูกส่งมอบให้แก่ซางเฉาจงแล้วเจ้าค่ะ”

ซูจ้าวตกตะลึง “เป็นไปไม่ได้! ม้าศึกสามหมื่นตัว ไม่ว่าจะใช้เส้นทางบกหรือทางทะเลล้วนเดินทางไม่ได้เร็วขนาดนี้”

ฉินเหมียนกล่าวว่า “นายหญิง เรื่องไม่ได้เป็นอย่างที่ท่านคิดเลย คำนวณจากเวลาแล้ว ม้าศึกน่าจะไม่ได้ถูกปล้นไปตรงแคว้นหาน แต่น่าจะพลาดท่าไปตั้งแต่ตอนอยู่ที่แคว้นฉีแล้วเจ้าค่ะ หนิวโหย่วเต้าขนม้าศึกทั้งหมดกลับจังหวัดชิงซานไปพร้อมกัน”

ซูจ้าวแสดงสีหน้าไม่อยากจะเชื่อ “ม้าศึกของทางเราออกเดินทางไปได้สักพักแล้วหนิวโหย่วเต้าถึงได้หายตัวไปจากเมืองหลวงแคว้นฉี แล้วจะไปถึงจังหวัดชิงซานพร้อมกับม้าศึกได้อย่างไร?”

ฉินเหมียนส่ายหน้าอย่างจนปัญญา สีหน้าดูโกรธแค้นเศร้าหมอง “ไอ้สารเลวแซ่หนิวมันเจ้าเล่ห์เหลือเกิน ที่เขารั้งอยู่ในเมืองหลวงก็น่าจะเป็นเพราะวางแผนชั่วไว้แล้ว น่าจะทำไปเพื่อดึงดูดความสนใจของทุกคนเอาไว้แล้ว แต่ลับหลังได้แอบส่งคนไปลงมืออย่างแน่นอน พอส่งตัวลิ่งหูชิวเข้าคุกหลวงก็ปล่อยข่าวลวงว่าเขาก็ถูกจับไปด้วยเช่นกัน ซ้ำยังจงใจใช้กลยุทธ์ส่งเสียงบูรพาตีฝ่าประจิม[1] เขาลอยชายอยู่ในเมืองหลวงเพื่อถ่วงเวลาจนม้าศึกของพวกเราเคลื่อนย้ายออกไปแล้วถึงจะไปจากเมืองหลวง น่าจะจงใจทำให้พวกเราชะล่าใจ ทำให้พวกเราวางใจหลงนึกว่าม้าศึกออกเดินทางไปแล้ว ทำให้พวกเราเข้าใจผิดว่าเขาจะไม่มีเกี่ยวข้องใดๆ กับเรื่องม้าศึกแล้ว เขาถึงลงมือได้สะดวก! นับว่าปกปิดได้มิดชิดเหลือเกิน! นี่คือหลุมพรางที่เขาทุ่มเทความคิดเพื่อขุดขึ้นมาเจ้าค่ะ! พวกเราต่อสู้ชิงไหวชิงพริบกับเขาอยู่ที่นี่ แต่หารู้ไม่ว่าเขาหลอกลวงพวกเราทั้งหมดได้สำเร็จแล้ว! ความยอดเยี่ยมของแผนการของสารเลวผู้นี้มันช่างน่าโมโหจริงๆ!”

ซูจ้าวยังคงไม่อยากจะเชื่ออยู่ดี “มันจะเป็นไปได้อย่างไร? บนเรือทุกลำล้วนมีผู้บำเพ็ญเพียรจากเขาลับแลอยู่รวมถึงมีคนของพวกเราด้วย ผู้บำเพ็ญเพียรกว่าพันคนเชียวนะ แล้วเขาปล้นม้าศึกทั้งหมดไปอย่างเงียบเชียบไร้สุ้มเสียงไปได้อย่างไร? เขาต้องใช้กำลังคนมากเพียงใดกันถึงสามารถปล้นม้าศึกไปได้? อย่างน้อยที่สุดมันก็ต้องสู้กันจนประสบความสูญเสียทั้งสองฝ่าย เกิดเรือล่มจมสมุทรไปบ้างหรือเปล่า ไม่มีทางที่พวกเขาจะได้ม้าศึกกลับไปมากมายขนาดนั้น!”

ฉินเหมียนกล่าวว่า “นายหญิง ข่าวไม่มีทางผิดพลาดแน่เจ้าค่ะ ข้าก็เพิ่งทราบตอนได้รับข่าวจากเบื้องบนเมื่อครู่นี้ ขบวนเรือที่พวกเราทุ่มเทความคิดรวบรวมมามีเรือขององค์กรของพวกเราผสมอยู่ด้วย ขบวนเรือเพิ่งออกจากทางนี้ได้ไม่นานก็เปลี่ยนทิศทางมุ่งไปยังจังหวัดชิงซานแล้วเจ้าค่ะ ตอนนี้เบื้องบนสืบพบแล้วว่าสาเหตุมาจากทางเขาลับแล จึงให้พวกเขาไปตรวจสอบดูว่าสรุปแล้วทางเขาลับแลเกิดอะไรขึ้นกันแน่ รวมถึงสืบดูว่าทางเครือข่ายของทางซีย่วนต้าอ๋องเกิดปัญหาใดขึ้นด้วยหรือไม่ แล้วจะส่งผลทำให้พวกเราถูกเปิดโปงไปด้วยหรือไม่ ในเมื่อเบื้องบนแจ้งมาชัดเจนเช่นนี้แล้ว ข่าวจะผิดพลาดไปได้อย่างไรเจ้าคะ?”

ซูจ้าวเซถอยหลังไป สีหน้าดูแย่เป็นอย่างยิ่ง นางชนเข้ากับเก้าอี้ จึงทรุดนั่งลงไปช้าๆ

เวลานี้ไม่ว่าจะเป็นสีหน้าหรือความรู้สึกในใจนางล้วนเต็มไปด้วยความรู้สึกล้มเหลวพ่ายแพ้ รสชาติความพ่ายแพ้เช่นนี้มันยากจะทนรับไว้ได้

ในชีวิตนี้นางไม่เคยพ่ายแพ้อย่างน่าอนาถขนาดนี้เลย นางอยากฆ่าหนิวโหย่วเต้าให้ตายนัก แต่ก็ไม่สามารถสังหารได้ แม้กระทั่งองค์กรลงมือด้วยตัวเองแล้วก็ยังปล่อยให้หนิวโหย่วเต้าหนีรอดไปได้ ทั่วทั้งองค์กรทั้งเบื้องบนเบื้องล่างล้วนถูกหนิวโหย่วเต้าจูงจมูกให้เทียวไปเทียวมา

ปล่อยให้เขาหนีไปได้ก็ยังพอทน แต่กลับถูกเขาปล้นม้าศึกที่ทุ่มเทกายใจเสียเวลาจัดเตรียมอย่างระมัดระวังอยู่นานหลายปีไปด้วย

ก่อนหน้านี้นางคิดจะขัดขวางไม่ให้หนิวโหย่วเต้าได้ม้าศึกไป ตอนนี้เป็นใครที่ขวางใครกันแน่?

ตอนนี้นางรู้ซึ้งถึงถ้อยคำที่เซ่าผิงปอเคยกำชับนางเอาไว้แล้ว เขาบอกว่านางมิใช่คู่ต่อสู้ของหนิวโหย่วเต้าเลย!

เริ่มแรกในใจนางยังคงขุ่นเคืองไม่ยอมรับ แต่ตอนนี้นางยอมรับหมดหัวใจแล้ว

“แล้วต้องปล่อยให้เขาทำตัวกำเริบเสิบสานเช่นนี้น่ะหรือ?” ซูจ้าวพลันเงยหน้าเอ่ยถาม

“องค์กรเสียหายไปมากมายขนาดนี้ ไหนเลยจะยอมเมตตาปล่อยไปได้ เรื่องนี้พวกเราไม่จำเป็นต้องกังวลใจเลยเจ้าค่ะ องค์กรจะต้องคิดบัญชีกับเขาแน่เจ้าค่ะ!” ฉินเหมียนกัดฟันเอ่ย

นางทราบเรื่องบางอย่างมากกว่าซูจ้าว หนิวโหย่วเต้าไม่ได้สร้างความเสียหายเพียงเรื่องที่อยู่ตรงหน้านี้ ไม่ใช่แค่เรื่องของลิ่งหูชิวเท่านั้น แม้แต่ตัวหมากที่มีความสำคัญยิ่งยวดอย่างเว่ยฉูก็ยังต้องเสียไปด้วย แล้วเบื้องบนจะไม่คิดบัญชีในครั้งนี้ได้อย่างไร?

นอกจากความชิงชังแล้ว ซูจ้าวยังนึกกังวลขึ้นมาเป็นอย่างมากด้วย จะทำอย่างไรกับทางเซ่าผิงปอดี นางจะมอบคำอธิบายให้เซ่าผิงปออย่างไรดี?

เรื่องของอันไท่ผิงทำให้ภายในใจนางค่อนข้างละอายใจต่อเซ่าผิงปอ จึงพยายามคิดหาทางช่วยเหลือเรื่องในครั้งนี้แทนเซ่าผิงปออย่างสุดกำลัง

นางรู้ซึ้งดีว่าม้าศึกชุดนี้มีความสำคัญต่อเซ่าผิงปอมาก นี่มิใช่เพียงเรื่องจะได้หรือไม่ได้ม้าศึกไปเท่านั้น แต่เรื่องนี้กลับทำให้เซ่าผิงปอเสียโอกาสในการสร้างความแข็งแกร่งให้แก่มณฑลเป่ยโจวไป หากต้องการรวบรวมม้าศึกขึ้นใหม่อีกชุดจะต้องรอไปถึงเมื่อไรกว่าจะได้มาเล่า ตอนนี้จะทำอย่างไรดี?

….

ภายในวังหลวง

เฮ่าอวิ๋นถูที่เพิ่งกินอาหารเสร็จได้รับน้ำที่ขันทียื่นส่งมาให้ เขากลั้วปากเล็กน้อยแล้วหันไปบ้วนลงกระโถนที่ยื่นเข้ามาจากด้านข้าง พลางรับผ้าเช็ดหน้ามาซับริมฝีปาก จากนั้นก็โยนผ้าเช็ดหน้ากลับไปแล้วลุกจากที่นั่ง

ขณะที่กำลังจะก้าวพ้นประตูไปก็เห็นปู้สวินเดินขึ้นบันไดมา

ปู้สวินหลบไปยื่นด้านข้างทันที รอให้เฮ่าอวิ๋นถูกเดินผ่านมาแล้วค่อยเดินตาม หลังจากเดินลงบันไดไปแล้วก็เอ่ยรายงานว่า “ฝ่าบาท หนิวโหย่วเต้ากลับถึงจังหวัดชิงซานแล้ว ทั้งยังนำม้าศึกกลับไปด้วยเกือบสามหมื่นตัวพ่ะย่ะค่ะ!”

เฮ่าอวิ๋นถูหยุดเดิน หันไปมองเขา “สามหมื่นตัวหรือ?”

ปู้สวินตอบว่า “พ่ะย่ะค่ะ เป็นข่าวจากทางจังหวัดชิงซาน บอกว่าม้าศึกสามหมื่นตัวนี้จัดหามาจากแคว้นฉีด้วยกลยุทธ์อันยอดเยี่ยมของสำนักหยกสวรรค์ ส่วนหนิวโหย่วเต้าเพียงรับหน้าที่ดำเนินการพ่ะย่ะค่ะ”

เฮ่าอวิ๋นถูกล่าวว่า “ข้าไม่สนว่าจะเป็นแผนการของผู้ใด แต่ป้ายคำสั่งที่ข้ามอบให้เขาสามารถใช้ขนย้ายได้เพียงหมื่นตัวเท่านั้น! เรื่องราวเป็นมาอย่างไร? ขนม้าศึกมากมายขนาดนี้ผ่านออกไปได้โดยที่หน่วยข่าวกรองของพวกเจ้าไม่ทราบเรื่องแม่แต่น้อย เพิ่งจะมาทราบเอายามนี้อย่างนั้นหรือ?”

ปู้สวินตอบอย่างนอบน้อมว่า “อาจจะเป็นความผิดพลาดของหน่วยข่าวกรองพ่ะย่ะค่ะ บ่าวสั่งให้มีการตรวจสอบอย่างเข้มงวดแล้ว แต่ก็มีความเป็นไปได้อีกกรณีหนึ่ง เมื่อมองจากสถานการณ์ในตอนนี้แล้ว ช่วงที่ผ่านมาไม่มีการขนส่งม้าศึกชุดใหญ่ขนาดนี้เลยพ่ะย่ะค่ะ หากจะบอกว่ามีล่ะก็ มันก็มีเพียงม้าศึกที่ถูกลักลอบขนส่งไปยังมณฑลเป่ยโจวชุดนั้น แต่ที่น่าแปลกก็คือ ไม่ว่าจะเป็นในด้านของช่วงเวลาหรือว่าจำนวนม้าศึกที่จังหวัดชิงซานได้ไป ทุกอย่างล้วนสอดคล้องกับม้าศึกที่ลักลอบส่งออกไปยังมณฑลเป่ยโจวชุดนั้น เกรงว่านี่จะมิใช่เรื่องบังเอิญพ่ะย่ะค่ะ ”

เฮ่าอวิ๋นถูประสานสองมือไว้บนหน้าท้อง เอ่ยด้วยแววตาวูบไหว “เจ้าจะบอกว่าจังหวัดชิงซานปล้นม้าศึกจากมณฑลเป่ยโจวอย่างนั้นหรือ?”

เขาพิจารณาจากสถานการณ์ในภาพรวม จึงไม่ได้เอ่ยอะไรทำนองว่าหนิวโหย่วเต้าปล้นม้าศึกจากเซ่าผิงปอออกไป

ปู้สวินตอบว่า “หากว่าเป็นม้าศึกชุดนั้นจริงๆ ด้วยสถานการณ์ของมณฑลเป่ยโจวในเวลานี้คงไม่มีทางยอมยกให้หรือขายให้จังหวัดชิงซานแน่พ่ะค่ะย่ะ จึงเหลือความเป็นไปได้เดียว นั่นคือถูกปล้นไปพ่ะย่ะค่ะ! หากอยากรู้ว่าใช่ความจริงหรือไม่ รอให้ผ่านไปอีกสักระยะย่อมได้ทราบเองพ่ะย่ะค่ะ เมื่อถึงเวลานั้นหากไม่มีม้าศึกจำนวนมากปรากฏขึ้นในมณฑลเป่ยโจว นั่นก็แปลว่าจังหวัดชิงซานปล้นไปแน่นอนพ่ะย่ะค่ะ”

“ฮ้า!” เฮ่าอวิ๋นถูส่ายหน้าเอ่ยไปว่า “หากเป็นเช่นนี้จริงๆ เป่ยโจวก็วิกฤตแล้ว จังหวัดชิงซานกำลังบีบคั้นเป่ยโจวไปสู่ความตาย! เรื่องที่แคว้นเยี่ยนและแคว้นหานจะร่วมมือกันเพื่อโจมตีเป่ยโจว ทั้งสองฝ่ายหารือกันได้ความว่าอย่างไรบ้าง?”

ปู้สวินตอบว่า “ตามที่สายลับรายงานมายังไม่ได้ข้อสรุปพ่ะย่ะค่ะ สาเหตุหลักคือแคว้นหานมองว่ายามนี้มณฑลเป่ยโจวเป็นอาณาเขตของพวกเขาแล้ว ดังนั้นจึงอยากครอบครองไว้ แต่ทางแคว้นเยี่ยนก็เห็นว่าเดิมทีมณฑลเป่ยโจวเป็นของแคว้นเยี่ยน ทั้งสองฝ่ายยังคงโต้แย้งกันอยู่ว่าหลังจากตีมณฑลเป่ยโจวได้แล้วจะแบ่งกันอย่างไร ฝั่งใดฝั่งหนึ่งจะลงมือก็มีห่วงให้พะวงอยู่ ทางมณฑลเป่ยโจวก็ไม่ใช่เหยื่อที่จะยอมให้รังแก ดูเหมือนจะแอบดำเนินการขัดขวางด้วยพ่ะย่ะค่ะ ปล่อยข่าวลือไปในสองแคว้นเพื่อกระตุ้นให้เกิดแรงคัดค้านต่อต้าน ทำให้ราชสำนักของทั้งสองแคว้นไม่มีฝั่งใดยอมถอยเลยผู้ใดถอยก็เท่ากับขายชาติ ไม่อาจมอบคำอธิบายให้คนในแคว้นได้ ด้วยเหตุนี้ทั้งสองแคว้นจึงยากจะหาข้อสรุปได้ภายในระยะเวลาสั้นๆ พ่ะย่ะค่ะ”

เฮ่าอวิ๋นถูหัวเราะหยันดังเฮอะๆ “บุตรชายคนนั้นของเซ่าเติงอวิ๋นไม่ธรรมดาเลยจริงๆ!”

…………………………………………………………………

[1]เป็นหนึ่งในสามสิบหกกลยุทธ์จากสามก๊ก หลอกล่อให้ศัตรูเข้าใจว่าจะโจมตีจากทิศทางหนึ่งเพื่อให้ศัตรูเตรียมการป้องกันในทางนั้นอย่างหนาแน่น แต่สุดท้ายกลับย้อนไปโจมตีในทิศทางอื่นที่การป้องกันหละหลวม