ตอนที่ 382 ทุ่มเทความคิด

ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า

ตอนที่ 382 ทุ่มเทความคิด

ณ สวนไม้เลื้อย

ภายในศาลา อวี้ชางอยู่ท่ามกลางกองหนังสือม้วนตำรามากมาย ในมือถือหนังสือเล่มหนึ่งพลางอ่านอยู่

ตู๋กูจิ้งเข้ามาหา ประคองจดหมายฉบับหนึ่งยื่นส่งให้ด้วยสองมือผ่านโต๊ะยาวที่กั้นอยู่ เอ่ยไปว่า “อาจารย์ หนิวโหย่วเต้าส่งจดหมายมาหาท่านขอรับ”

อวี้ชางตะลึงไปเล็กน้อย เงยหน้าขึ้นมาทันที “เขาทราบตัวตนของข้าหรือ?”

ตู๋กูจิ้งรีบส่ายหน้าเอ่ยไปว่า “ไม่ขอรับ จดหมายถูกส่งผ่านช่องทางติดต่อระดับล่างแล้วส่งต่อมายังเบื้องบน ไม่ได้ระบุนามว่ามอบให้ผู้ใด แต่จดหมายฉบับนี้น่าจะส่งถึงท่านขอรับเพราะมีเพียงท่านที่สามารถตัดสินใจได้”

อวี้ชางยื่นมือออกไปรับจดหมายมาด้วยความฉงน เปิดอ่านดูเล็กน้อย ม่านตาพลันหดตัววูบ เอ่ยขึ้นว่า “เขารู้ว่าพวกเราต้องการอะไร”

ตู๋กูจิ้งเอ่ยไปว่า “ลิ่งหูชิวถูกจับกุม แสดงให้เห็นแล้วว่าเขาทราบฐานะของลิ่งหูชิวมาก่อน ดังนั้นถ้อยคำที่บอกเล่าว่าของอยู่ในมือจ้าวสยงเกออันใดนั้นคาดว่าคงโป้ปดทั้งสิ้น เมื่อเป็นเช่นนี้ก็มีความเป็นไปได้อยู่สองประการ ประการแรกคือปีนั้นตงกัวเฮ่าหรานมอบของให้เขาจริงๆ ถึงอย่างไรเขาก็คือคนสุดท้ายที่ตงกัวเฮ่าหรานพบก่อนสิ้นใจ จะฝากฝังเอาไว้ก่อนตายก็นับว่าปกติมาก ซึ่งนี่ก็คือทิศทางเบาะแสในช่วงแรกเริ่มของพวกเราเช่นกัน ประการที่สอง ลิ่งหูชิวถูกจับไปแล้วเปิดปากสารภาพ เผยว่าเข้าไปใกล้ชิดเขาเพื่อของสิ่งนั้น จากนั้นทางราชสำนักแคว้นฉีก็แจ้งไปหาเขาต่อ แต่มีโอกาสไม่มากที่ราชสำนักแคว้นฉีจะแจ้งเรื่องให้เขาทราบหลังจากได้รับรู้เรื่องนี้มา ดังนั้นศิษย์จึงสงสัยว่ามีความเป็นไปได้สูงที่ของจะอยู่ในมือหนิวโหย่วเต้าขอรับ”

อวี้ชางเอ่ยอย่างใช้ความคิด “หากว่าตงกัวเฮ่าหรานฝากของไว้กับเขาก่อนตายจริงๆ เช่นนั้นก็น่าจะสั่งให้เขามอบให้สำนักสวรรค์พิสุทธิ์ไป เขาถ่อไปถึงสำนักสวรรค์พิสุทธิ์ อยู่ที่สำนักสวรรค์พิสุทธิ์ตั้งหลายปี แต่กลับไม่ได้มอบของให้สำนักสวรรค์พิสุทธิ์อย่างนั้นหรือ เฮอะๆ”

ตู๋กูจิ้งกล่าวว่า “เด็กคนนี้อายุยังน้อย แต่พวกเราล้วนได้รับบทเรียนจากความเจ้าเล่ห์ของเขาแล้ว สำนักสวรรค์พิสุทธิ์ปฏิบัติต่อเขาเช่นนั้น การที่เขาไม่มอบของให้ก็ดูเหมือนจะไม่ใช่เรื่องที่ยากจะเข้าใจได้อันใดขอรับ”

อวี้ชางเอ่ยว่า “นี่คงอยากจะเจรจากับทางเรากระมัง สังหารคนของพวกเราในขบวนเรือไปสามร้อยชีวิต คิดไม่ถึงว่ายังคิดจะมาเจรจาอีก”

ตู๋กูจิ้งไม่ตอบ เพียงมองเขาเท่านั้น

อวี้ชางใคร่ครวญอยู่พักหนึ่งก็เอ่ยถามขึ้นอีกครั้ง “เจ้าคิดว่าเขาจะยอมมอบของให้จริงๆ? จะเป็นกลลวงหรือเปล่า?”

ตู๋กูจิ้งตอบว่า “คนผู้นี้เจ้าเล่ห์เป็นอย่างมาก กลยุทธ์ก็ไม่ธรรมดาเช่นกัน ไม่ว่าจะกรณีไหนก็เป็นไปได้ทั้งสิ้นขอรับ”

อวี้ชางเอ่ยถาม “เช่นนั้นจะส่งใครไปล่ะ?”

….

ณ จวนผู้ว่าการมณฑลเป่ยโจว

เซ่าซานเสิ่งฟุบหลับอยู่บนโต๊ะ คอยเฝ้าเจ้านายที่นอนอยู่บนเตียงด้วยตัวเอง ขณะที่หลับสนิทอยู่ก็ได้ยินเสียงไอโขลกๆ แว่วเข้าหูมารางๆ อยู่พักหนึ่ง ทำให้เขาสะดุ้งตื่นทันที

เมื่อเงยหน้าขึ้นก็เห็นว่าคนป่วยบนเตียงหายไปแล้ว จากนั้นก็ได้ยินเสียงไอ “แค่กๆ” แว่วเข้ามาอีก มองเห็นเงาร่างหนึ่งที่กำลังไอจนตัวงอถือตะเกียงเอาไว้พลางยืนมองอยู่ตรงหน้าแผนที่

ในสถานที่จำพวกห้องหนังสือและห้องพักของเซ่าผิงปอล้วนแต่แขวนแผนที่เอาไว้ทั้งสิ้น เพื่อให้เขาสะดวกใช้งานได้ทุกเมื่อ

“คุณชายใหญ่ ท่านฟื้นแล้วหรือขอรับ!” เซ่าซานเสิ่งดีใจเป็นอย่างยิ่ง ไม่คิดเลยว่าเซ่าผิงปอที่สลบไปหลายวันจะฟื้นขึ้นมาแล้ว เขารีบลุกขึ้นเดินเข้าไปหา มองเห็นอีกฝ่ายถือผ้าเช็ดหน้าป้องปากไออยู่ ดวงตาทั้งสองยังคงจ้องมองแผนที่ จึงรีบเข้าไปรับตะเกียงน้ำมันมาจากมืออีกข้างของเขา เอ่ยด้วยความร้อนใจว่า “คุณชาย สุขภาพของท่านยังไม่ดีขึ้น ท่านอาจารย์หยางสั่งให้ท่านพักผ่อนก่อน ห้ามโหมงานหนักจนเหน็ดเหนื่อย รีบไปนอนพักผ่อนเถิดขอรับ”

เซ่าผิงปอคลายผ้าเช็ดหน้าออก โบกมือพลางเอ่ยว่า “ไม่เป็นไร มีเหล่าผู้บำเพ็ญเพียรคอยเยียวยาข้าอยู่ ไม่ตายหรอก”

เซ่าซานเสิ่งกลับมองเห็นว่าในผ้าเช็ดหน้าที่เขาคลายออกมาเปื้อนฝอยโลหิตที่กระเซ็นออกมาตอนไอ เขากระทืบเท้าด้วยความร้อนใจ “คุณชายใหญ่ ท่านไอเป็นเลือดแล้วนะขอรับ ยังจะบอกว่าไม่เป็นไรอีกหรือ? รีบไปนอนพักเถิดขอรับ!”

เซ่าผิงปอไอแค่กๆ สองที หันไปมองเขาพลางกล่าวว่า “แต่ตอนนี้กำลังจะเกิดเรื่องขึ้นกับมณฑลเป่ยโจวแล้ว แคว้นหานและแคว้นเยี่ยนยังไม่ยอมรามือจากมณฑลเป่ยโวของเรา ข้าสามารถต้านไว้ได้เพียงชั่วขณะเท่านั้น แต่ยากจะต้านไว้ในระยะยาวได้ หากสูญเสียมณฑลเป่ยโจวไป ตระกูลเซ่าของข้าจะไม่มีประโยชน์ต่อโลกบำเพ็ญเพียรอีก สำนักเขามหายานจะทอดทิ้งตระกูลเซ่าของข้าเหมือนโยนรองเท้าเก่าๆ ทิ้ง เมื่อถึงยามนั้นก็เป็นเรื่องขึ้นมาจริงๆ แล้ว เวลาใกล้เข้ามาแล้ว พวกเราเหลือเวลาอีกไม่มากแล้ว เจ้าจะให้ข้าพักผ่อนได้อย่างไร?”

เซ่าซานเสิ่งเอ่ยเสียงโศกหมอง “คุณชายใหญ่…”

เซ่าผิงปอโบกมือขัดจังหวะ จากนั้นก็ป้องปากไออีกครู่หนึ่ง จ้องมองแผนที่แล้วกล่าวว่า “ข้าตรวจสอบสถานการณ์ของแต่ละแคว้นดูแล้ว คิดว่ามีจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องไปเยือนแคว้นฉีด้วยตัวเองสักครั้ง ข้าจะต้องไปพบเฮ่าอวิ๋นถูด้วยตัวเอง”

เซ่าซานเสิ่งถามด้วยความตกใจ “คุณชายใหญ่ สุขภาพท่านเป็นเช่นนี้จะทนลำบากเดินทางไกลได้อย่างไรขอรับ? ส่งคนที่มีความสามารถไปแทนดีกว่าไหมขอรับ?”

เซ่าผิงปอส่ายหน้า “พวกเราเหลือเวลาไม่มากแล้ว ม้าศึกที่ขนส่งทางทะเลถูกปล้นไป คาดว่าเส้นทางน้ำฝั่งแคว้นหานก็คงไม่ปลอดภัยแล้วเช่นกัน ไปครานี้ข้าจะไปโน้มน้าวเฮ่าอวิ๋นถูให้มอบม้าศึกให้ข้า และจะต้องโน้มน้าวฮ่องเต้แคว้นจ้าวให้ยอมเปิดทางอำนวยความสะดวกให้ข้าด้วย พยายามส่งม้าศึกมาถึงมณฑลเป่ยโจวของเราให้เร็วที่สุด ขณะเดียวกันก็ต้องพยายามสร้างพันธมิตรกับทั้งสองแคว้นด้วยเพื่อข่มแคว้นหานและแคว้นเยี่ยน ยื้อเวลาให้มณฑลเป่ยโจวของพวกเรา มิเช่นนั้นมีความเป็นไปได้สูงที่แคว้นหานและแคว้นเยี่ยนจะลงมือกับมณฑลเป่ยโจวทันทีที่ทราบว่าเราได้ม้าศึกมา เรื่องพวกนี้ไม่อาจชักช้าได้ หากข้าไม่ไปด้วยตัวเองก็ยากจะบรรลุผลสำเร็จได้”

สุขภาพคุณชายใหญ่กลายเป็นเช่นนี้แล้ว ก็เขายังคงทุ่มเทความคิดด้วยกังวลถึงเรื่องนี้ เซ่าซานเสิ่งที่ถือตะเกียงไว้ด้วยสองมือมีสีหน้าซับซ้อน โดยเฉพาะเมื่อมองเห็นเส้นผมของเซ่ผิงปอที่อยู่ใต้แสงตะเกีย เขาอดไม่ได้ที่จะหลั่งน้ำตาด้วยความเศร้าใจ

เซ่าผิงปอสลบไปหลายวัน ในช่วงที่เขาสลบไปเส้นผมแทบจะขาวหงอกไปกว่าครึ่งศีรษะ มีผมหงอกมากกว่าผมดำ

“แค่กๆ!” เซ่าผิงปอไอขึ้นมาเล็กน้อย เขาชี้ไปยังตำแหน่งแคว้นฉีอีกครั้ง “เจ้าคิดว่าองค์ชายคนใดมีโอกาสจะได้สืบบัลลังก์ต่อจากเฮ่าอวิ๋นถูมากที่สุด?”

เซ่าซานเสิ่งปล่อยมือข้างหนึ่งลงมายกชายเสื้อเช็ดน้ำตา เอ่ยไปว่า “คนทั่วหล้าต่างทราบกันว่าจินอ๋องเฮ่าฉี่คือโอรสคนโตของเฮ่าอวิ๋นถู ส่วนอวี้อ๋องเฮ่าหงเป็นโอรสที่ประสูติจากฮองเฮาองค์ปัจจุบัน ทั้งสองจะต้องปะทะกันอย่างเลี่ยงไม่ได้แน่นอน ผู้ชนะจะมีสิทธิ์จะได้ขึ้นนั่งบัลลังก์ฮ่องเต้แคว้นฉี ส่วนกลุ่มอิทธิพลขององค์ชายคนอื่นๆ ต่างไม่แข็งแกร่งเท่าสองคนนี้ขอรับ” ถ้าเห็นข้อความนี้จากที่อื่นโปรดกลับมาเยี่ยมเราบ้างนะ ขอบคุนจ้า

“ก็ไม่แน่!” เซ่าผิงปอส่ายหน้า จ้องมองตำแหน่งเมืองหลวงแคว้นฉีพลางเอ่ยว่า “ข้าใคร่ครวญมานานแล้ว กลับมีความคิดว่าอิงอ๋องเฮ่าเจินมีโอกาสจะเป็นมังกรซุ่มหมอบรอโอกาสอยู่ คนผู้นี้เพียงแต่ไม่กระโตกกระตากเท่านั้น ทันทีที่เผยตัวขึ้นมาต้องทำให้คนตกใจได้แน่!”

เซ่าซานเสิ่งแปลกใจ “เพราะเหตุใดขอรับ?”

เซ่าผิงปอไม่ได้ตอบว่าเพราะเหตุใด เพียงจ้องมองแผนที่แล้วเอ่ยเนิบๆ ว่า “สำหรับแคว้นฉีแล้ว เฮ่าอวิ๋นถูนับเป็นฮ่องเต้ผู้เกรียงไกรองค์หนึ่ง กองกำลังเจ้าศักดินาภายในแคว้นฉีถูกเขากวาดล้างไปแทบจะสิ้นซาก เขาทำเรื่องที่ฮ่องเต้รุ่นก่อนๆ ทำไม่สำเร็จให้สำเร็จได้ แคว้นฉีค่อยๆ แข็งแกร่งรุ่งโรจน์ขึ้นมาภายใต้การปกครองของเขา แต่คนเราสุดท้ายแล้วก็อยู่ไม่ค้ำฟ้า ถึงแม้จะมีเหล่าผู้บำเพ็ญเพียรเป็นโขยงช่วยดูแลสุขภาพร่างกายอยู่ ทำให้ดูเหมือนยังแข็งแกร่งสมบูรณ์ แต่ถึงอย่างไรก็อายุเจียนหกสิบแล้ว อีกไม่ถึงสิบปีก็จะย่างเจ็ดสิบแล้ว สำหรับมนุษย์ธรรมดาคนหนึ่งต่อให้เป็นถึงฮ่องเต้ แต่พออายุย่างเจ็ดสิบแล้วมันความหมายว่าอย่างไรเล่า?”

เซ่าซานเสิ่งตอบ “หมายความว่าจะต้องทำการคัดเลือกผู้สืบทอด”

เซ่าผิงปอยกผ้าเช็ดหน้าป้องปากไอออกมาเล็กน้อย “ถูกต้อง! พอถึงเวลานั้นเรื่องราวมากมายก็ไม่ได้ขึ้นอยู่กับตัวเฮ่าอวิ๋นถูแล้ว เหล่าองค์ชายที่อยู่เบื้องล่างเฝ้ารอตำแหน่งของเขามานานเกินไปจนทนรอต่อไปไม่ไหวแล้ว เมื่อเข้าสู่ช่วงหน้าสิ่วหน้าขวานนั้น จะไม่มีผู้ใดเก็บตัวอีกต่อไป เมื่อถึงเวลาที่ควรเปิดเผยย่อมต้องเผยประกายออกมา เฮ่าอวิ๋นถูชราภาพแล้ว สำนักบำเพ็ญเพียรเหล่านั้นก็เริ่มมองหาคนที่มารับสืบทอดอำนาจฮ่องเต้ต่อจากเขาแล้วเช่นกัน แล้วก็คงคัดเลือกจากเหล่าองค์ชายไว้แล้ว เมื่อท่าทีของเหล่าองค์ชายเปลี่ยนไป ท่าทีของสำนักบำเพ็ญก็จะเปลี่ยนไปเช่นกัน ไม่ว่าเฮ่าอวิ๋นถูจะมีจิตใจฮึกเหิมยิ่งใหญ่เพียงใดก็ฝืนสังขารไม่ได้ ท่าทีของเขาย่อมต้องเปลี่ยนแปลงไปด้วย ข้าเดาว่าอีกสิบปีข้างหน้าสถานการณ์ภายในของแคว้นฉีต้องวุ่นวายอย่างแน่นอน”

พูดๆ ไปก็หันมาสั่งว่า “เจ้าติดต่อไปหาพี่จ้าวซะ บอกนางว่าให้นางทำทุกวิถีทางเพื่อกำจัดชายาอิงอ๋องให้ข้าให้ได้!”

“ชายาอิงอ๋องหรือขอรับ?” เซ่าซานเสิ่งตกใจมาก “จะสังหารภรรยาของอิงอ๋องเฮ่าเจินอย่างนั้นหรือขอรับ?”

เซ่าผิงปอจ้องมองแผนที่อย่างเงียบงัน ไม่ได้บอกเขาว่าทำไปเพราะอะไร ความเงียบนับเป็นคำตอบแล้ว

“ขอรับ!” เซ่าซานเสิ่งขานรับ จากนั้นลองถามหยั่งเชิงอีกครั้ง “ต้องการให้สอบถามไปด้วยเลยไหมขอรับว่าสรุปแล้วเรื่องปล้นม้าศึกเป็นมาอย่างไรกันแน่”

พอเอ่ยถึงเรื่องนี้ เซ่าผิงปอก็ไอรุนแรงขึ้นมาอีกพักใหญ่ ไอจนเหมือนปอดจะหลุดออกมาด้วย พอคลายผ้าเช็ดหน้าออกอีกครั้งก็ชุ่มไปด้วยโลหิตแดงฉาน

เขาโบกมือที่ถือผ้าเช็ดหน้าไว้พลางเอ่ยว่า “ม้าศึกไปถึงจังหวัดชิงซานแล้ว พวกเราไม่ว่าใครก็ไม่สามารถไปรวบรวมม้าศึกจากจังหวัดชิงซานเพื่อส่งกลับมาได้ ไม่จำเป็นต้องดึงดันไม่ยอมปล่อยวาง สถานการณ์ในตอนนี้ทำได้เพียงปล่อยเรื่องบัญชีแค้นของหนิวโหย่วเต้าไว้ก่อน จัดการเรื่องที่เร่งด่วนที่กระชั้นชิดเข้ามาก่อน พวกเราจำเป็นต้องขอให้พี่จ้าวช่วยทำงานให้ ตอนนี้ยังไม่ใช่เวลามาซักถามเอาความรับผิดชอบ อีกทั้งพวกเราก็ไม่มีสิทธิ์ไปทวงถามความรับผิดชอบจากนางด้วย เพียงบอกเล่าสถานการณ์ให้นางรู้ก็พอ เมื่อถึงเวลาที่สมควรมอบคำอธิบายให้พวกเรา นางย่อมอธิบายให้เรารู้เอง หากนางไม่ยอมพูด ต่อให้ถามไปก็ไร้ประโยชน์ ต้องทำให้นางรู้สึกผิดถึงจะทำให้นางยิ่งทุ่มเทช่วยทำงานให้พวกเราเป็นอย่างดี!”

“ขอรับ บ่าวทราบแล้วว่าควรจัดการอย่างไร” เซ่าซานเสิ่งตอบรับ

……

ณ จังหวัดชิงซาน ภายในคฤหาสน์บนเขา ก่วนฟางอี๋เดินทอดน่องมาจนถึงตัวเรือน

พอเข้าไปก็เห็นว่าสมาชิกจำนวนหลายสิบคนจากสวนไม้เลื้อยของตนล้วนอยู่กันแทบจะครบครัน ล้วนนั่งใครนั่งมันอยู่ตรงนั้น มีโจ๊กข้าวคนละชาม หนำซ้ำในมือยังถือชิ้นแป้งสีเหลืองทองที่เป็นแท่งยาวๆ เอาไว้พลางกัดกินจนเกิดเสียงกรอบแกรบอยู่ตรงนั้น

แม้แต่ลุงเฉินและสวี่เหล่าลิ่วเองก็เป็นไปกับพวกเขาด้วย

“ตอนอยู่ที่แคว้นฉี ไม่เคยเห็นพวกเจ้ามากินข้าวกันอย่างพร้อมเพียงเช่นนี้มาก่อนเลย ช่างขายหน้านัก” ก่วนฟางอี๋เอ่ยเหยียดหยามประโยคหนึ่ง

ทุกคนมองมา มีหลายคนที่หัวเราะแหะๆ ออกมา

สวี่เหล่าลิ่วกลืนสิ่งที่อยู่ในปากลงไปแล้วยิ้มแห้งๆ กล่าวไปว่า “พี่ใหญ่ ท่านไม่รู้อะไร อาหารการกินของทางเต้าเหยี่ยหมุนเวียนสับเปลี่ยนกันไปในแต่ละวัน ทำให้คนเกิดความคาดหวังตั้งตารอ ส่วนรสชาติก็ยอดเยี่ยมโดยแท้ กินอาหารที่นี่จนชินแล้ว จากนี้หากออกไปกินอาหารภายนอกเกรงว่าคงกลืนไม่ลงแล้ว นี่คือปาท่องโก๋ พี่ใหญ่ลองชิมดูสิ” เขาชี้ชิ้นแป้งสีเหลืองทองที่วางกองอยู่บนโต๊ะ

“ปาท่องโก๋หรือ?” ก่วนฟางอี๋พึมพำออกมา เป็นชื่อที่นางไม่เคยได้ยินอีกแล้ว

มีคนตักโจ๊กขาวใส่ชามมาวางตรงหน้านาง ขณะที่นางเพิ่งจะหยิบปาท่องโก๋ชิ้นหนึ่งขึ้นมา สายตาพลันมองเห็นหยวนฟางเดินนำสมณะสองรูปที่ยกโจ๊กหม้อหนึ่งเข้ามา จึงหันไปถามทันที “เจ้าปีศาจ คงไม่ได้ใส่ยาพิษไว้กระมัง?”

หยวนฟางถลึงตาใส่ทันที “ไร้สาระ! ด้วยเกียรติของวัดหนานซานเราจะทำเรื่องเช่นนั้นได้อย่างไร?”

ก่วนฟางอี๋หัวเราะคิกคักขึ้นมาทันที สนุกที่ได้เย้าเขาเล่น นางอ้าปากกัดปาท่องโก๋เข้าไปคำหนึ่ง พบว่ามีกลิ่นหอมเป็นเอกลักษณ์ ยิ่งเคี้ยวก็ยิ่งหอม รสชาติยอดเยี่ยมจริงๆ จากนั้นพอดื่มโจ๊กต่อก็รู้สึกว่าต่อมรับรสเปิดทำงานอย่างเต็มที่ในทันที

คนอื่นๆ พากันหัวเราะขึ้นมา

ทุกคนต่างคิดว่าน่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง เต้าเหยี่ยคนนั้นมีสมณะกลุ่มหนึ่งคอยปรนนิบัติรับใช้ แม้จะดูประหลาดไปหน่อย แต่ก็ดูเหมือนจะเป็นรสนิยมที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวอีกอย่างหนึ่ง เมื่อได้เห็นสมณะเหล่านี้ปรากฏตัวขึ้นเป็นครั้งคราว ก็ดูเหมือนจะทำให้อารมณ์คนสงบลงได้เช่นกัน

หากคนเหล่านี้รู้ว่าในอดีตหยวนฟางเคยนำเหล่าสมณะแห่งวัดหนานซานทำอะไรมาบ้าง เกรงว่าคงหัวเราะไม่ออก คาดว่าคงทำการตรวจสอบอาหารการกินอย่างละเอียดทุกครั้ง

หลังจากหยวนฟางส่งสัญญาณให้สมณะสองรูปนั้นวางหม้อไว้เรียบร้อยแล้ว เขาก็แค่นเสียงเหอะใส่ทีหนึ่ง จากนั้นมุ่งหน้าไปทางเรือนของหนิวโหย่วเต้า

หนิวโหย่วเต้านั่งหลับตาอยู่หน้าโต๊ะเครื่องแป้ง

ซางซูชิงกำลังยืนสางผมให้เขาอย่างตั้งใจ ผ่านไปครู่หนึ่งก็เอ่ยว่า “เต้าเหยี่ย ทางมณฑลจินโจวส่งคนมาแล้ว บอกว่าต้องการซื้อม้าศึกชุดหนึ่งจากทางเรา พี่ชายข้าให้มาสอบถามความเห็นจากเต้าเหยี่ย”

หนิวโหย่วเต้าตอบเนิบๆ ว่า “กระหม่อมไม่ยุ่งเกี่ยวกับเรื่องนี้ ให้ท่านอ๋องไปหารือกับสำนักหยกสวรรค์เถิดพ่ะย่ะค่ะ”

“อื้อ!” ซางซูชิงตอบรับ

“เต้าเหยี่ยขอรับ!” หยวนฟางส่งเสียงเรียกจากด้านนอกพลางเดินเข้ามา จากนั้นก็ประสานมือคำนับซางซูชิง เอ่ยทักทายด้วยรอยยิ้ม “ท่านหญิง”

สำหรับภาพปรนนิบัติหวีผมนี้ เขาเคยชินไปนานแล้ว

หยวนฟางเดินมาหยุดข้างกายหนิวโหย่วเต้า ค้อมกายรายงานว่า “ทางนั้นตอบกลับมาว่ารับทราบแล้วขอรับ”

…………………………………………………………………….