บทที่ 347 สวีเฉิงเจ๋อให้ของขวัญ

ทะลุมิติไปเป็นสาวนาผู้ร่ำรวย

บทที่ 347 สวีเฉิงเจ๋อให้ของขวัญ

บทที่ 347 สวีเฉิงเจ๋อให้ของขวัญ

“แต่นี่มัน…มากเกินไป พวกเจ้า…” สวีเฉิงเจ๋อมองดูสิ่งของในแต่ละตะกร้าด้วยความประหลาดใจ

ในขณะนี้ สวีเซียนหลินและภรรยาของเขาก็กำลังเดินออกมาด้วยรอยยิ้ม

กู้เสี่ยวหวานจึงรีบก้าวไปข้างหน้าและทักทายทั้งคู่อย่างกระตือรือร้น

“สวัสดีอาจารย์สวีและฮูหยินสวีเจ้าค่ะ”

ฉินเย่จือซึ่งอยู่ด้านข้างก็ก้าวไปข้างหน้าและทักทายอย่างสุภาพ เขาเคยได้ยินมาว่าสวีเซียนหลินลาออกจากขุนนางและกลับมาเปิดสำนักศึกษา ดังนั้นเขาจึงเคารพสวีเซียนหลินมาก นอกจากนี้ อีกฝ่ายยังเป็นอาจารย์ของน้องชายกู้เสี่ยวหวานอีกด้วย ดังนั้นเพื่อไว้หน้ากู้เสี่ยวหวาน เขาจึงต้องสุภาพเสียหน่อย

แม้ว่าสวีเซียนหลินจะเคยได้ยินสวีเฉิงเจ๋อกล่าวว่ากู้เสี่ยวหวานเคยช่วยชีวิตคนคนหนึ่งไว้ เขาไม่มีพ่อแม่และเร่ร่อนไปทุกหนทุกแห่ง แต่ตอนนี้นางจึงให้เขาอาศัยอยู่ที่บ้าน

เคยได้ยินแต่ไม่เคยเห็น

ครั้งนี้ที่ได้เจอตัวจริง ก็รู้สึกว่าไม่สามารถดูถูกเขาได้

เห็นฉินเย่จือสวมเสื้อคลุมสีน้ำเงินเข้ม ซึ่งทำให้รูปร่างผอมเพรียวของเขาสูงขึ้น ใบหน้าที่หล่อเหลาของเขาที่เป็นเลิศกว่าเทพเจ้าก็เต็มไปด้วยรอยยิ้มจาง ๆ คิ้วเข้มของเขาราวกับถูกแต่งแต้มด้วยเครื่องประทินโฉม ร่างกายเต็มไปด้วยกล้ามเนื้อแน่น จมูกโด่งราวกับรูปสลัก เมื่อแสงแดดอันอบอุ่นส่องกระทบบนร่างของเขาก็ราวกับเป็นภาพลวงตา เมื่อรวมกับความมั่นใจในตนเองที่แสดงออกมา ช่างดูเหมือนเป็นเทพเซียนที่ลงมาบนโลกนี้

สวีเซียนหลินและภรรยาของเขาประหลาดใจ พวกเขามองหน้ากัน

ทำไมเมืองเล็ก ๆ แห่งนี้ถึงมีผู้ชายที่หล่อเหลาเช่นนี้? แม้ว่าชายผู้นี้จะมีภูมิหลังที่น่าเวทนา แต่เมื่อมองดูอารมณ์และท่าทางที่สง่างามของเขาแล้ว มันไม่ใช่สิ่งที่ครอบครัวเล็ก ๆ จะเลี้ยงดูมาเช่นนี้อย่างแน่นอน

คนผู้นี้…

สวีเซียนหลินเต็มไปด้วยความสงสัย แต่ก็ยากที่จะถามออกไป เพราะตอนนี้กู้เสี่ยวหวานได้รับเขามาอยู่ด้วยกันแล้ว และเมื่อดูจากท่าทีในตอนนี้ของพวกเขาแล้ว พวกเขาน่าจะคุ้นเคยกันมากแล้ว

แม้ว่าสวีเซียนหลินจะมีข้อสงสัยอยู่ในใจ แต่เขาก็ไม่ได้ถามออกไป นี่เป็นเรื่องภายในครอบครัวของกู้เสี่ยวหวาน เขาเป็นเพียงคนนอกจึงไม่สามารถยุ่งอะไรได้

ฮูหยินสวียังเหลือบมองที่ฉินเย่จืออีกสองสามครั้ง แล้วมองดูลูกชายของนาง การที่ลูกชายยืนอยู่ข้างชายผู้นี้ก็ทำให้รัศมีของเขาดูลดลงไปอย่างมาก

ในเวลานี้สวีเซียนหลินจึงกล่าวว่า “เสี่ยวหวานมาที่นี่แล้ว ทำไมถึงไม่เข้าไปนั่งสักพักล่ะ?”

“ข้าคิดว่าใกล้วันขึ้นปีใหม่แล้ว และวันนี้สำนักศึกษาก็หยุด ดังนั้นข้าจึงอาศัยโอกาสมาที่นี่” กู้เสี่ยวหวานยิ้มและกล่าวกับสวีเซียนหลิน “ข้ากลัวว่าเมื่อถึงวันปีใหม่ เกรงว่าอาจารย์และภรรยาจะออกไปเยี่ยมญาติ ครอบครัวของท่านคงจะยุ่งมาก เลยไม่กล้ารบกวน ดังนั้นข้าจึงซื้อของขวัญปีใหม่ล่วงหน้าและนำมาให้พวกท่านในวันนี้เจ้าค่ะ อาจารย์ ฮูหยินสวี…” หลังจากหยุดชั่วคราว นางมองไปที่สวีเฉิงเจ๋ออีกครั้ง โค้งคำนับอย่างสุภาพและกล่าวว่า “พี่เฉิงเจ๋อ สวัสดีปีใหม่”

เมื่อเห็นว่ากู้เสี่ยวหวานมีทีท่าที่เป็นทางการเช่นนี้ ฮูหยินสวีก็รีบก้าวไปข้างหน้าและคว้ากู้เสี่ยวหวานพลางกล่าวอย่างโกรธเคืองว่า “แค่เจ้ามาก็พอแล้ว เหตุใดต้องนำของมามากมายด้วย”

“ฮูหยินสวีไม่ต้องกังวลไปเจ้าค่ะ ในตอนนี้ครอบครัวของเรากำลังมีชีวิตที่ดีขึ้น มันไม่เหมือนเดิมอีกแล้ว สิ่งของเหล่านี้เป็นการแสดงความกตัญญูต่ออาจารย์และฮูหยิน ถ้าพวกท่านไม่รับก็เท่ากับว่าพวกท่านกำลังดูถูกข้านะเจ้าคะ” กู้เสี่ยวหวานแสร้งทำเป็นกล่าวอย่างคับข้องใจ

“เจ้าเด็กโง่…” ฮูหยินสวีพยักหน้าและกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ตกลง เราจะยอมรับน้ำใจของเจ้า”

เมื่อเห็นว่าฮูหยินสวีตกลงที่จะรับมันไว้ กู้เสี่ยวหวานก็จับมือนางและยิ้มออกมา

ท่าทางเช่นนั้น ดูเหมือนแม่และลูกสาวที่สนิทสนม

“ท่านแม่ ความสัมพันธ์ของท่านกับเสี่ยวหวานนั้นสนิทสนมกันเกินไปจนทำให้ข้าที่เป็นลูกแท้ ๆ อิจฉาเสียแล้ว” เมื่อเห็นว่าแม่ของเขาชอบกู้เสี่ยวหวานมาก หลังจากกล่าวจบเขาเหลือบมองที่ฉินเย่จือ และแน่นอนว่าฉินเย่จือก็ทำเป็นไม่สนใจ

“เจ้าเด็กน้อย เจ้าอิจฉาอะไรกัน?” ฮูหยินสวีกอดกู้เสี่ยวหวานและมองสวีเฉิงเจ๋ออย่างโกรธเคือง “เสี่ยวหวานเป็นเด็กที่ผู้ใดก็รัก ถ้าข้ามีลูกสาวเหมือนเสี่ยวหวานเกรงว่าคงจะมีความสุขมาก”

ฮูหยินสวีชอบกู้เสี่ยวหวานเป็นอย่างมาก นอกจากความชอบแล้วยังมีความเป็นห่วงและความสงสารด้วย

นางสัมผัสกู้เสี่ยวหวานด้วยความรักราวกับว่านางกำลังมองลูกสาวของตนเอง ยิ่งมองมากเท่าไร นางก็ยิ่งมีชอบมากขึ้นเท่านั้น

“เสี่ยวหวาน…” สวีเฉิงเจ๋อหยิบกล่องผ้าจากเสื้อของเขา ยื่นให้กู้เสี่ยวหวานพลางกล่าวว่า “ข้าพลาดวันเกิดครั้งล่าสุดของเจ้า ข้าขอชดเชยด้วยของขวัญวันเกิดชิ้นนี้” ดวงตาคู่นั้นดูร้อนรน และรอให้กู้เสี่ยวหวานยอมรับมัน

กู้เสี่ยวหวานมองไปที่ฮูหยินสวี นางยิ้มและพยักหน้า พลางกระตุ้นนาง “ยอมรับไปเถอะ!”

กู้เสี่ยวหวานกล่าวขอบคุณและหยิบกล่องผ้ามา ฮูหยินสวีกล่าวว่า “ทำไมเจ้าไม่ลองเปิดดูล่ะว่าข้างในมีอะไรกันแน่?”

ใบหน้าเต็มไปด้วยความอยากรู้อยากเห็น

ในตอนแรก กู้เสี่ยวหวานไม่ได้ตั้งใจจะเปิดมัน แต่ฮูหยินสวีกล่าวออกมาแล้ว และเมื่อนางมองไปที่สวีเฉิงเจ๋อ เขาก็มีท่าทีตื่นเต้นและรอให้นางเปิดมัน กู้เสี่ยวหวานจึงทำได้เพียงต้องเปิดกล่องผ้าเท่านั้น

กู้เสี่ยวหวานเปิดมันอย่างช้า ๆ ข้างในเป็นปิ่นปักผมสีเขียวมรกต โปร่งแสง และมีการแกะสลักรูปกล้วยไม้เหมือนจริงที่ปลายด้านบน ซึ่งแสดงให้เห็นกลีบของกล้วยไม้อย่างชัดเจน และแม้แต่เกสรของดอกไม้ที่อยู่ตรงกลางนั้นก็เหมือนจริงมาก

ปิ่นปักผมนี้ เกรงว่าคงจะมีราคามาก

สวีเฉิงเจ๋อจ้องตรงไปที่ใบหน้าของกู้เสี่ยวหวานด้วยท่าทางประหม่าราวกับว่ากลัวว่านางจะไม่ชอบของขวัญที่เขาให้

“พี่เฉิงเจ๋อ สิ่งนี้ล้ำค่าเกินไป ข้ารับไม่ได้!” กู้เสี่ยวหวานวางปิ่นในมือของนางกลับเข้าไปในกล่องผ้า ปิดกล่องอย่างรวดเร็วแล้วยื่นกลับไปให้สวีเฉิงเจ๋อ

แต่สวีเฉิงเจ๋อไม่รับ เมื่อได้ยินกู้เสี่ยวหวานกล่าวว่าของราคาแพงเกินไป ไม่ใช่ว่านางไม่ชอบมัน ความประหม่าก็หายไป

เขามองไปที่กู้เสี่ยวหวานด้วยรอยยิ้ม ดวงอาทิตย์ส่องกระทบบนใบหน้าที่หล่อเหลาและสง่างามของเขา แสดงความเป็นประกายจาง ๆ และดวงตาของเขาอ่อนโยนมาก แม้ในสภาพอากาศที่หนาวเย็นเช่นนี้ก็ทำให้ผู้คนราวกับรู้สึกถึงสายลมฤดูใบไม้ผลิ

มันต่างจากความรู้สึกของฉินเย่จืออย่างสิ้นเชิง

ความคิดแรกที่ผุดขึ้นในใจของกู้เสี่ยวหวาน

ความงามของฉินเย่จือนั้นหาที่เปรียบมิได้กับมนุษย์ และไม่มีใครเทียบความสง่างามของเขาได้เลย

แต่สวีเฉิงเจ๋ออ่อนโยนราวกับหยก เขาช่างเหมือนกับขุนนางที่สง่างามที่ทำให้ผู้คนรู้สึกสบายใจอย่างอธิบายไม่ถูก

กู้เสี่ยวหวานไม่ทราบว่า เหตุใดจึงความคิดนี้ปรากฏขึ้นในขณะนี้ นางกัดริมฝีปากล่างเบา ๆ นางอยากจะคืนกล่องผ้าให้สวีเฉิงเจ๋ออย่างดื้อรั้น

ทั้งสองถูกชะงักงันอยู่กับที่

ฮูหยินสวีปรบมือและหัวเราะออกมา ทำลายสถานการณ์ในขณะนั้น