บทที่ 348 การแข่งขันในความมืด

ทะลุมิติไปเป็นสาวนาผู้ร่ำรวย

บทที่ 348 การแข่งขันในความมืด

บทที่ 348 การแข่งขันในความมืด

ฮูหยินสวีเปิดกล่องและนำปิ่นออกมาจากด้านใน ทั้งอันเป็นสีเขียวและเปล่งประกายเล็กน้อยยามต้องแสงแดด กล้วยไม้สีเขียวเสมือนจริงให้ความรู้สึกเป็นธรรมชาติ สง่างาม และดึงดูดใจ เมื่อถืออยู่ในมือก็สัมผัสได้ถึงความอบอุ่น

เฉิงเจ๋อมีสายตาที่เฉียบแหลม ฮูหยินสวีเหลือบมองที่ลูกชายของนางซึ่งยืนอยู่ตรงข้ามด้วยความพึงพอใจ

“เสี่ยวหวาน มานี่สิ ข้าจะปักผมให้” ฮูหยินสวีปักปิ่นกล้วยไม้ไว้ที่ผมของกู้เสี่ยวหวานทันทีโดยไม่รอให้นางกล่าวอะไร

“ฮูหยิน…” กู้เสี่ยวหวานหันศีรษะและมองไปที่ฮูหยินด้วยรอยยิ้มบนใบหน้า นางรู้สึกเขินอายเล็กน้อยเกี่ยวกับการยอมรับสิ่งที่มีค่าเช่นนี้จากผู้อื่น

ฮูหยินสวีมองดูอย่างระมัดระวังและกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “งดงามจริง ๆ”

กู้เสี่ยวหวานรู้สึกเกรงใจเล็กน้อย อย่างไรก็ตาม เป็นเพราะฮูหยินเป็นคนปักให้นางด้วยตนเอง หากนางถอดออกในทันที เกรงว่ามันจะเป็นการทำร้ายหัวใจของฮูหยินสวี

กู้เสี่ยวหวานทำได้เพียงขอบคุณ “ขอบคุณพี่เฉิงเจ๋อมากเจ้าค่ะ”

สวีเฉิงเจ๋อยิ้ม ดวงตาของเขานุ่มนวลและอ่อนโยนราวกับหยก

ฉินเย่จือที่อยู่ด้านข้าง เขาเหลือบมองรอยยิ้มบนใบหน้าของสวีเฉิงเจ๋อ และใบหน้าของเขาก็มืดมนลงเล็กน้อย

อาโม่ที่อยู่ไม่ไกลรู้สึกหนาวไปทั่วทั้งตัว นี่เป็นอาการก่อนที่นายท่านจะโกรธ

ฉินเย่จือมองไปที่สวีเฉิงเจ๋ออย่างเย็นชา หรี่ตาลงเล็กน้อยพลางจ้องไปที่สวีเฉิงเจ๋อราวกับว่าเขากำลังมองดูเหยื่อของตนเองอยู่

สวีเฉิงเจ๋อรู้สึกเพียงว่ามีสายตาที่จ้องมองมาที่เขา และเมื่อเขามองตามไป เขาก็เห็นฉินเย่จือกำลังจ้องมองเขาอย่างเย็นชา

ในวันนั้นเมื่อสวีเฉิงเจ๋อเห็นฉินเย่จือเป็นครั้งแรก เขาได้เห็นรัศมีที่น่าประทับใจของฉินเย่จือ แม้ว่าเขาจะตกใจ แต่เขาก็ไม่ได้แสดงท่าทีอะไรออกมา

จิตวิญญาณของทั้งร่างกายเย็นลงและทุกคนก็รู้สึกว่าอุณหภูมิของร่างกายลดลงอย่างมาก

ฮูหยินสวีรวบแขนเสื้อขึ้นแล้วกล่าวอย่างกังวลว่า “อากาศเริ่มเย็นลงเรื่อย ๆ แล้ว พวกเจ้าควรรีบกลับไปก่อนที่ฟ้าจะมืด”

กู้เสี่ยวหวานพยักหน้า หลังจากบอกลาครอบครัวสวีแล้ว นางก็ขึ้นเกวียนวัวและจากไปทันที

รูปลักษณ์ของฉินเย่จือเปล่งประกายราวกับสายลมฤดูใบไม้ผลิที่อบอุ่นในเดือนสาม เขานั่งอยู่หน้าเกวียนวัว ด้านหลังมีพระอาทิตย์สีทองกำลังตก ทำให้ชายหนุ่มร่างสูงราวกับเปล่งรัศมีสีทอง ทำให้คนไม่กล้าดูหมิ่นแม้แต่น้อย

สวีเฉิงเจ๋อตกตะลึงครู่หนึ่ง แม้ว่าชายคนนี้จะแต่งกายด้วยผ้าหยาบ แต่ความสง่างามของเขาก็ยากที่จะเก็บซ่อนเอาไว้ เขาถือสายบังเหียนของวัวไว้ในมือ แม้ว่าเขาจะทำสิ่งที่หยาบคายที่สุด แต่เขาเป็นเหมือนเทพที่ทุกคนสามารถมองขึ้นไปถึงจะเห็นได้เท่านั้น

ก่อนออกเดินทาง ฉินเย่จือเหลือบมองสวีเฉิงเจ๋ออย่างมีความหมาย ความเย็นยะเยือกในดวงตาของเขาเป็นเหมือนมีดน้ำแข็งในฤดูหนาวอันหนาวเหน็บของเดือนสิบสองที่กำลังทิ่มแทงเข้าไปในหัวใจของสวีเฉิงเจ๋อ

เมื่อเขาเห็นว่าจุดประสงค์ของเขาบรรลุแล้ว สายตาเช่นนั้นก็ถูกซ่อนไว้อย่างไร้ร่องรอยในทันที และเขาก็ดูอ่อนโยนราวกับหยก ทำให้ผู้คนอดไม่ได้ที่จะอยากเข้าใกล้

ชายผู้นี้คาดเดาไม่ได้ เขาเป็นแค่คนเร่ร่อนธรรมดาจริงหรือ? สวีเฉิงเจ๋อไม่กล้าคิดเช่นนั้น แต่เขามีความคิดในใจว่าวันหนึ่งเขาคงต้องเตือนกู้เสี่ยวหวานให้ดีอีกครั้ง

คนผู้นี้ดูโดดเด่นยิ่งนัก ไม่เหมือนคนที่มาจากครอบครัวที่แตกแยกอย่างที่กล่าวเลยสักนิดเดียว!

บนเกวียนวัว กู้เสี่ยวหวานนั่งบนเกวียนที่เคลื่อนที่และเอ่ยถามกู้หนิงอัน

“หนิงอัน อาจารย์ได้บอกหรือไม่ว่าเปิดเรียนวันไหน?”

“บอกแล้ว หลังเทศกาลหยวนเซียว*[1] ให้กลับวันที่สิบหก”

“ยังมีเวลาเหลืออยู่ ดังนั้นพักผ่อนที่บ้านให้เต็มที่ แต่อย่าทำให้เสียการเรียน” กู้เสี่ยวหวานกล่าวอย่างระมัดระวัง

ราวกับแม่ที่กำลังสั่งสอนลูก

กู้หนิงอันพยักหน้าอย่างรวดเร็วและตอบรับ

ฉินเย่จือกำลังขับเกวียน เมื่อได้ยินเสียงของกู้เสี่ยวหวาน มุมปากของเขายกขึ้นเล็กน้อย ในดวงตาของเขาราวกับสายลมฤดูใบไม้ผลิที่พัดผ่านพื้นดิน

ในหนึ่งปีของการศึกษาทำให้กู้หนิงอันดูมีรัศมีของคนมีความรู้

เกวียนวัวเคลื่อนไปอย่างมั่นคงตลอดทาง ในนั้นบรรทุกสินค้าปีใหม่มากมาย และกำลังกลับบ้าน

ปีนี้เป็นปีที่ดีอีกปีหนึ่ง

ทั้งครอบครัวอยู่ด้วยกันที่นี่ และอีกไม่นานก็จะเป็นวันปีใหม่

หิมะตกครู่หนึ่ง หลังจากนั้นก็ยังคงมีแดดเป็นเวลาหลายวัน เนื่องจากต้องเตรียมของสำหรับปีใหม่ กู้เสี่ยวหวานจึงแบ่งหน้าที่ให้กับทุกคน

ฉินเย่จือและกู้หนิงอันมีหน้าที่เก็บฟืน พวกเขาต้องเตรียมฟืนสำหรับฤดูหนาวนี้ เพราะกลัวว่าอีกไม่นานถนนก็จะถูกหิมะที่ตกหนักปกคลุม และจะไม่มีฟืนให้เก็บ

กู้เสี่ยวหวานและกู้เสี่ยวอี้มีหน้าที่เก็บของภายในบ้าน ล้างสิ่งที่ควรล้างและปัดกวาดสิ่งที่ควรปัดกวาด และซื้อผ้านวมใหม่สามหรือสี่ผืนที่ร้านขายผ้าจี๋เสียง

เพราะกู้เสี่ยวหวานรู้สึกว่านางอายุได้เก้าขวบแล้ว และพวกเด็ก ๆ ก็โตขึ้น มันจะไม่ดีหากยังนอนในเตียงเดียวกัน ดังนั้นกู้หนิงอันและกู้หนิงผิงจึงใช้เตียงร่วมกัน กู้เสี่ยวหวานและกู้เสี่ยวอี้ใช้เตียงร่วมกัน และเตียงของฉินเย่จือผ้าห่มก็หายไปและมีผ้าฝ้ายหนาเพิ่มเข้ามา

สำหรับปีใหม่นี้ กู้เสี่ยวหวานเตรียมเสื้อผ้าให้ทุกคนใหม่ตั้งแต่หัวจรดเท้า นางซื้อมาจากร้านขายผ้าจี๋เสียงใส่ไว้ในตู้และรอวันแรกของปีใหม่จึงจะนำเสื้อผ้าใหม่ออกมาให้ทุกคนสวม

อาหาร ประทัด ฟืน และเสื้อผ้าใหม่สำหรับปีใหม่พร้อมแล้ว และเมื่อเข้าสู่วันที่ยี่สิบแปดของเดือนสิบสอง

ในวันนี้ กู้เสี่ยวหวานและคนอื่น ๆ ไปที่หลุมฝังศพของพ่อแม่ของพวกเขา

กู้เสี่ยวหวานตื่นแต่เช้า เก็บของที่จำเป็น และขึ้นไปบนภูเขาพร้อมกับน้องทั้งสามคนของนาง เนื่องจากฉินเย่จือเป็นคนนอก เขาจึงอยู่เฝ้าบ้านและไม่ไปที่นั่น

เมื่อเห็นว่าพวกกู้เสี่ยวหวานเดินไปแล้ว อาโม่ก็ออกมาจากความมืดและเข้าไปในบ้านของกู้เสี่ยวหวาน

“มีอะไรหรือ?” ฉินเย่จือนั่งอยู่อย่างเกียจคร้านที่โต๊ะ ถือหนังสือด้วยท่าทางสบาย ๆ

อาโม่อึ้งเล็กน้อย น้อยครั้งนักที่จะเห็นเจ้านายของเขามีเวลาว่าง ถ้าเขาสามารถพักผ่อนได้ตลอดชีวิต มันคงไม่ใช่เรื่องเลวร้าย

“ในเมืองหลวงเกิดเรื่องใหญ่แล้ว” อาโม่กระซิบข้างหูของฉินเย่จือ

ใบหน้าของฉินเย่จือเคร่งขรึมมากขึ้นเรื่อย ๆ และขมวดคิ้ว

“ความกล้าช่างมากขึ้นเสียจริง” หลังจากได้ยินคำพูดของอาโม่ ฉินเย่จือก็ลุกขึ้นกล่าวพลางกระแทกหนังสือในมือลงบนโต๊ะ

โต๊ะตัวนั้นเดิมทีขาของมันหายไปข้างหนึ่งอยู่แล้วและใช้อิฐวางไว้เพื่อไม่ให้มันโยกเยกไปมา ในครั้งนี้มันจะทนต่อแรงของฉินเย่จือได้อย่างไร การกระแทกเพียงครั้งเดียว โต๊ะก็พัง

*[1] ประเพณีแขวนโคมไฟ เป็นเทศกาลส่งท้ายเทศกาลตรุษจีน

………………………………………………………………………………………………………………………….

สารจากผู้แปล

จริง ๆ แล้วฉินเย่จือเป็นใครกันนะ ทำตัวน่าสงสัยเหลือเกิน

ไหหม่า (海馬)