บทที่ 349 มีเพียงจดหมายบอกกล่าว

ทะลุมิติไปเป็นสาวนาผู้ร่ำรวย

บทที่ 349 มีเพียงจดหมายบอกกล่าว

บทที่ 349 มีเพียงจดหมายบอกกล่าว

ชั่วครู่หนึ่ง คำพูดของอาโม่ที่บอกว่ามีเรื่องใหญ่ก็ถูกลืมไป

เมื่อเห็นท่าทางเป็นทุกข์ของเจ้านายตนเอง อาโม่คิดว่านายท่านคงกังวลเกี่ยวกับเรื่องเมืองหลวง เขาจึงรีบกล่าวอย่างรวดเร็วว่า “นายท่าน ข้าได้ส่งองครักษ์ของเราไปปกป้องเขาอย่างลับ ๆ แล้ว ได้โปรดวางใจเถอะ จะไม่มีอะไรเกิดขึ้นอย่างแน่นอน”

ฉินเย่จือโบกมือ และพยักหน้าตอบรับ

“ในตัวเจ้ามีเงินบ้างหรือไม่?” ฉินเย่จือเอ่ยถามขึ้นทันที

อาโม่ตอบและหยิบถุงเงินออกมาจากเสื้อของเขาทันที แล้วยื่นให้ฉินเย่จือ “นายท่าน นี่คือทั้งหมดขอรับ”

ฉินเย่จือหยิบเงินออกมาห้าตำลึงเงินแล้วที่เหลือส่งคืนให้อาโม่

อาโม่มองดูเจ้านายของเขายัดเงินห้าตำลึงเงินเข้าไปในเสื้อ แล้วหันหลังเดินออกไป

“นายท่านจะไปที่ใด?” อาโม่เอ่ยถามอย่างรีบร้อน

ทันทีที่ถามออกไป อาโม่ก็รีบก้มหน้าลงทันที ตนเองเป็นเพียงผู้ใต้บังคับบัญชาจะก้าวล่วงเรื่องของเจ้านายได้อย่างไร

ในตอนแรกอาโม่คิดว่าฉินเย่จือกำลังจะดุเขา แต่ไม่ได้คาดคิดว่าฉินเย่จือจะหันศีรษะกลับมาแล้วกล่าวว่า “ข้าจะไปซื้อโต๊ะในเมือง!” จากนั้นเขาก็ตัดสินใจเขียนจดหมายอีกฉบับ และวางไว้ในที่ที่เห็นได้ชัดในบ้าน

เสี่ยวหวาน ข้าจะชดใช้โต๊ะให้เจ้า!

อาโม่เบิกตากว้างและมองไปที่จดหมายที่ตรงไปตรงมาและรัดกุมบนหลังตู้ เจ้านายของเขากำลังรายงานการกระทำของเขาให้กู้เสี่ยวหวานรู้อย่างนั้นหรือ จากนั้นเขาก็ตัดสินใจ เขียนบันทึกอีกฉบับหนึ่ง และวางไว้ในที่ที่เห็นได้ชัดในบ้าน

เมื่อเขากลับมารู้สึกตัว นายท่านก็หายไปแล้ว

อาโม่ทำอะไรไม่ถูกและทำได้เพียงซ่อนตัวอยู่ในความมืดเท่านั้น

เนื่องจากหลุมศพของพ่อและแม่ได้รับการดูแลอย่างดี และไม่มีวัชพืชขึ้นบนหลุมศพมากเกินไป กู้เสี่ยวหวานจึงจุดธูปและคุกเข่าต่อหน้าหลุมศพ

มองดูแผ่นจารึกของพ่อกับแม่แล้วกล่าวอย่างจริงใจว่า “ท่านพ่อ ท่านแม่ ข้าพาน้องชายและน้องสาวมาหาท่านอีกครั้ง ข้าไม่ได้ผิดสัญญา หนิงอันกำลังเรียนอยู่ในสำนักศึกษาและหนิงผิงกำลังเรียนกับอาจารย์ศิลปะการต่อสู้ เมื่อเร็ว ๆ นี้ข้าก็ก้าวหน้าไปมากเช่นกัน และเสี่ยวอี้ ข้าไม่นึกเลยว่านางจะมีความสามารถด้านงานปัก หลังจากเรียนอีกสองสามปี เกรงว่าคงจะเปิดร้านขายผ้าเองได้ ตอนนี้เราทุกคนสบายดี ท่านไม่ต้องเป็นห่วงนะเจ้าคะ”

เด็กสามคนที่อยู่ข้าง ๆ เริ่มสะอื้นและกล่าวว่า “ท่านพ่อ ท่านแม่ ตอนนี้พวกเราสบายดี”

“ท่านพ่อ ท่านแม่ พวกเราคิดถึงท่าน”

“ฮือ ๆ… ฮือ ๆ…” กู้เสี่ยวอี้ที่อายุน้อยที่สุดน้ำตาคลอเบ้า เมื่อพ่อแม่ของพวกเขาเสียชีวิต กู้เสี่ยวอี้มีอายุเพียงสองขวบเท่านั้น เป็นธรรมดาที่นางจะถวิลหาพวกเขา

กู้เสี่ยวหวานรู้สึกแสบจมูก น้ำตาเริ่มหลั่งรินออกมา

น้องชายและน้องสาวที่เชื่อฟังและมีเหตุผลมองไปที่บิดามารดาของพวกเขาที่กลายเป็นดินเหลืองกำมือหนึ่ง หัวใจพลันรู้สึกอึดอัดและไม่อาจกล่าวอะไรออกมาได้

ท่านพ่อ ท่านแม่ ข้าไม่ได้ทำให้ท่านผิดหวัง ข้าสามารถเลี้ยงน้องทั้งสามให้มีชีวิตที่ดีได้ พวกท่านที่อยู่บนสวรรค์ก็ควรพักผ่อนอย่างสงบได้แล้ว

และกู้เสี่ยวหวาน เจ้าคงเห็นว่าน้องทั้งสามมีชีวิตที่ดีเช่นนี้ เจ้าก็ควรพักผ่อนอย่างสงบได้แล้วเช่นกัน

ท้องฟ้ามืดครึ้ม และคาดว่าหิมะจะตกอีกครั้ง

กู้เสี่ยวหวานเช็ดน้ำตาของนาง ยืนขึ้น โค้งคำนับสามครั้งด้วยความเคารพ และพาน้องทั้งสามคนไปที่หลุมศพของท่านปู่

หลุมศพของท่านปู่ยังรกร้าง ดูเหมือนว่าครอบครัวใหญ่กับครอบครัวที่สามยังไม่มา กู้เสี่ยวหวานขมวดคิ้ว แต่ไม่ได้กล่าวอะไร ตามหน้าที่ของหลานสาว นางจึงวางเครื่องหอมและเผาเงินกระดาษให้ท่านปู่และท่านย่าด้วยความเคารพ

หลังจากรอทำทุกอย่างแล้ว ครอบครัวใหญ่และครอบครัวที่สามก็ยังไม่มา กู้เสี่ยวหวานจึงพาน้องทั้งสามกลับไป

เมื่อกลับถึงบ้านก็ไม่พบเจอผู้ใด และนางรู้สึกประหลาดใจที่พบว่าโต๊ะตัวเดียวในบ้านพังลง

กู้เสี่ยวหวานเป็นกังวลมาก เป็นไปได้ไหมว่ามีบางอย่างเกิดขึ้นที่บ้านและฉินเย่จือหายตัวไป

จนกระทั่งกู้หนิงอันเห็นข้อความบนตู้และยื่นให้กู้เสี่ยวหวานดู เมื่อเห็นเช่นนั้นนางก็โล่งใจ

หลังจากที่ฉินเย่จือซื้อโต๊ะเสร็จ เขาก็จ้างรถม้ากลับมา

รถม้าแล่นไปจนถึงทางเข้าหมู่บ้าน แต่มีคนมาขวางไว้

เสียงผู้หญิงข้างนอกกล่าวว่า “พี่ชาย ท่านจะไปที่หมู่บ้านอู๋ซีใช่หรือไม่? ข้าก็มาจากหมู่บ้านอู๋ซีเช่นกัน ท่านสามารถให้เราติดรถไปด้วยได้หรือไม่?”

คนที่กล่าวคือซุนซื่อ และหญิงชุดสีชมพูถัดจากนางคือกู้ซินเถา

วันนี้นางและกู้ซินเถากลับมาก่อน ส่วนกู้ฉวนลู่และกู้จือเหวินมีบางอย่างที่ต้องทำในเมือง และพวกเขาจะกลับมาในอีกสองวัน

ซุนซื่อไม่สามารถจ้างรถม้าได้ เนื่องจากคนขับรถม้าเป็นคนต่างพื้นที่ และภรรยาของเขากำลังจะคลอดบุตร ดังนั้นเขาจึงรีบกลับบ้าน มันเป็นถนนสายเดียวกัน เขาจึงเก็บเงินจากซุนซื่อเพียงเล็กน้อยและส่งซุนซื่อไว้หน้าหมู่บ้าน

ซุนซื่อนำของมามากมาย แต่ผู้หญิงอ่อนแอสองคนไม่อาจแบกมันไหว ดังนั้นพวกนางจึงทำได้เพียงรออยู่ที่หน้าหมู่บ้านโดยหวังว่าจะมีคนรู้จักผ่านมา ครั้นมองไปมาและเห็นรถมากำลังมุ่งหน้ามา ทั้งสองจึงดีใจอย่างมาก ซุนซื่อจึงรับหยุดพวกเขาไว้ทันที

คนขับเห็นว่าพวกเขาเป็นสตรีอ่อนแอสองคน แต่เขาไม่กล้าที่จะรับ ดังนั้นเขาจึงทำได้เพียงถามฉินเย่จือจากข้างใน “นายท่าน…”

ขณะที่เขากำลังจะกล่าวอะไร เขาถูกฉินเย่จือขัดจังหวะอย่างเย็นชา “ไป!”

กู้ซินเถายืนอยู่ด้านข้าง และเห็นแม่ของนางเดินไปข้างหน้า

พวกนางคิดว่าจะสามารถขึ้นรถม้าได้ แต่กลับมีคำพูดเย็นชาดังมาจากข้างใน

รถม้าปิดทึบจึงมองไม่เห็นคนภายในอย่างชัดเจน แต่เสียงจากข้างในทำให้กู้ซินเถาตัวแข็งทื่อ

เสียงของคนข้างในนั้นเย็นชาและเรียบเฉย ทำให้รู้สึกว่ามันโปร่งใสราวกับน้ำศักดิ์สิทธิ์บนภูเขาที่ปกคลุมด้วยหิมะ

กู้ซินเถาดั่งต้องมนต์สะกด

คนขับสะบัดบังเหียนโดยไม่กล่าวอะไรสักคำ แล้วรถม้าก็แล่นผ่านไป ซุนซื่อที่หลบไม่ทันจึงสะดุดล้มลงบนพื้นที่เต็มไปด้วยฝุ่น ทำให้เสื้อผ้าของนางเปรอะเปื้อนทันที

ซุนซื่อสาปแช่งเสียงต่ำ เมื่อเห็นว่ากู้ซินเถาไม่เข้ามาช่วย ดังนั้นนางจึงต้องลุกขึ้นด้วยตนเองและปัดฝุ่นบนร่างกายออก ดูเหมือนว่านางคงต้องเดินไปเท่านั้น

เมื่อคุยกับกู้ซินเถา แต่นางไม่สนใจตนเองเลยสักนิด ซุนซื่อตกใจ ส่วนกู้ซินเถาเอาแต่จ้องมองไปยังทิศทางที่รถม้าผ่านไป ซุนซื่อรีบก้าวไปข้างหน้าและตบไหล่ของกู้ซินเถาอย่างไม่พอใจ “ซินเถา เจ้าเป็นอะไรไป?”

“ท่านแม่…คนผู้นั้นที่อยู่ในรถม้า…” กู้ซินเทาหมกมุ่นอยู่ครู่หนึ่ง จนรถม้าก็หายลับตาไป แต่ดวงตาของกู้ซินเถายังคงมองตามอยู่เช่นนั้น ด้วยใบหน้าเพ้อฝัน