บทที่ 377 ให้ท้ายอย่างไร้เหตุผล

หวางเฟยเสด็จ ท่านอ๋องหลีกไป

บทที่377 ให้ท้ายอย่างไร้เหตุผล

พูดจบ

หว้างฉายก็สั่งลูกน้องที่ล้อมถิงเมี่ยนไว้: “ตีมันให้ตายทั้งเป็น ตีให้จนเละ ให้บรรพบุรุษของมันจำมันไม่ได้”

ตราบใดที่ถิงเมี่ยนตาย

ทุกสิ่งทุกอย่างของเขาก็จะตกเป็นของเขาเอง

“ขอรับ!”

หลังจากที่ได้รับคำสั่งจากพี่ใหญ่หว้างฉาย พวกเขาก็ยกมีดยกกระบอกในมือขึ้นมา ล้อมมาทางถิงเมี่ยน

ถิงเมี่ยนขมวดคิ้วอีกครั้ง เตรียมพร้อมที่จะสู้กับคนพวกนั้นที่เตรียมสู้สุดชีวิต

ในขณะนั้นเอง

ร่างของคนคนหนึ่งก็ปรากฏขึ้นมากลางกลุ่มอันธพาล หมุนไปรอบกลุ่มแล้วก็แฉลบตัวออกมา

“เคร้ง เคร้ง……”

มีด กระบองในมือของอันธพาลก็ร่วงลงที่พื้น

หว้างฉายตกใจ!

ทุกคนก็ต่างตกใจ!

ขณะนั้นเอง!

ก็เกิดทางเดินเล็กๆจากกลุ่มคนที่มุงดู และหลานเยาเยาก็เดินมาพร้อมกับรอยยิ้มอันตรายบนมุมปาก

จื่อซีที่อยู่ด้านหลังนางก็ปัดๆแขนตัวเอง เห็นได้ชัดมากว่าคนที่ลงมือเมื่อครู่นี้คือเขา ยู่หลิวซูที่อยู่ข้างๆเมื่อเห็นอันธพาลจำนวนมากรังแกฝ่ายที่มีน้อยกว่า นัยน์ตาประกายความรังเกียจ

“เทพธิดาเสด็จ”

“ถวายบังคมเทพธิดา!” ทุกๆคนทยอยกันคุกเข่าน้อมศีรษะ

หว้างฉายและอันธพาลของเขาก็คุกเข่าลงอย่างตื่นตระหนก น้อมหัวลงพื้นอย่างแรง

ดวงตาของถิงเมี่ยนก็เป็นประกายเล็กน้อย

หันไปคำนับหลานเยาเยา: “คุณหนู!”

ในสำนักหงอีหรือในสถานที่ที่ไม่มีคนสามารถเรียกเทพธิดาว่าเจ้าสำนัก แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าผู้คน พวกเขาเรียกนางว่าคุณหนู

“อื้อ!”

หลังจากให้คนที่มุงดูอยู่ทุกคนลุกขึ้น พวกเขาหว้างฉายกลับไม่กล้าลุกขึ้น คุกเข่าสั่นเป็นตะแกรงอยู่ที่พื้น

หลานเยาเยาเดินออกมาด้านหน้าแล้วพูดว่า: “คนของข้า ใครกล้าแตะเขาแม้แต่น้อย ข้าจะฆ่ามัน”

“เทพธิดาได้โปรดอภัย พวกข้าน้อยมิกล้า มิกล้าอีกแล้ว”

“เฮอะ!” หลานเยาเยาขี้เกียจจะสนใจพวกเขา แล้วก็เอาเรื่องนี้ยกให้ถิงเมี่ยนเป็นคนจัดการเอง “จะฆ่าจะแทงก็ได้ เกิดเรื่องมาข้ารับเอง”

เสียงจอแจ……

ทุกคนฮือฮาเสียงดังเกรียวกราว!

เทพธิดาไม่เคยพูดว่าต้องการตีหรือฆ่าใครมาก่อน ครั้งนี้เมื่อพูดออกมาในที่สาธารณะ ดูท่าแล้วการแตะต้องคนใต้บัญชาของเทพธิดา ก็เหมือนกับการล่วงเกินเทพธิดา

สีหน้าของถิงเมี่ยนซาบซึ้ง จากนั้นก็เดินไปตรงหน้าของหว้างฉาย แล้วพูดอย่างภูมิใจว่า:

“ก็เคยบอกเจ้าแล้ว ว่าข้านั้นมีคนหนุนหลัง เจ้ากลับไม่เชื่อ”

“ถิงเมี่ยน นายท่าน นายท่านถิง ข้าน้อยผิดไปแล้ว ท่านเป็นคนใจกว้าง ครั้งนี้ได้โปรดปล่อยข้าไป”

ตอนที่หว้างฉายรู้ว่าคนที่หนุนหลังถิงเมี่ยนอยู่ก็คือเทพธิดา เขาก็ซีดเผือด แขนขาปวกเปียกอยู่ที่พื้น

ใครจะไปคาดถึงว่าถิงเมี่ยนที่เขาเกลียดเข้ากระดูก จะหาที่พึ่งได้ยิ่งใหญ่ขนาดนี้ ถ้าเป็นพวกเศรษฐีนั้น เขายังสามารถสู้ได้ฆ่าได้

แต่นี่คือเทพธิดา!

ใครที่อยู่ในบัญชาของเทพธิดา ก็สามารถฆ่าพวกเขาได้อย่างไม่เหลืออะไรเลย

“นายท่านถิง พวกข้าน้อยผิดไปแล้ว ท่านปล่อยพวกเราไปเถิด! วันหลังพวกข้าจะไม่หาเรื่องใส่ตัวอีก ข้าสัญญาว่าจะทำตัวดีๆ”

เดิมถิงเมี่ยนคิดอยากจะแกล้ง

เมื่อก่อนนี้เป็นเรื่องที่เขาชอบทำที่สุด แต่ตอนนี้เขารู้สึกว่ามันไม่จำเป็น จะทำหยิ่งยโสต่อหน้าพวกเขาไปทำไม?

ยังไงคนกลุ่มนี้ก็ปรับตัวไปเรื่อย ตอนนี้แกล้งทำเป็นน่าสงสาร จะกลับตัวเป็นคนดี แต่ทันทีที่พวกเขาไป คาดว่าก็จะหาคนบริสุทธิ์อ่อนแอมารังแกข่มเหง

“ข้าจะไม่ฆ่าพวกเจ้า แต่ก็จะไม่ปล่อยพวกเจ้าไป”

พูดจบ

เขาก็หันหน้าไปทางเทพธิดา: “คุณหนู สามารถเอาพวกเขาส่งเข้าห้องได้หรือไม่?”

“ได้!”

ด้วยเหตุนี้!

หลานเยาเยาดีดนิ้วมือเสียงดังแล้วก็มีบางอย่างสั่นไหวอยู่กลางอากาศ ราวกับผ่ากลางอากาศไป

ใช้เวลาไม่นาน

ส้าวชิงจากศาลต้าหลี่ก็พาพลทหารและม้ามา แล้วข้างๆก็มีคนเพิ่มเข้ามาหนึ่งคน——จื่อเฟิง

ที่แท้คนที่อยู่ในมุมมืดเมื่อครู่นี้ก็คือเขา

หว้างฉายและอันธพาลกลุ่มนั้นก็ถูกจับขึ้นมา

ขณะนี้ ส้าวชิงจากศาลต้าหลี่เดินขึ้นมาคำนับแล้วกล่าวว่า: “เรื่องเล็กน้อยเช่นนี้ยังต้องรบกวนเทพธิดา เป็นความบกพร่องในหน้าที่ของข้าน้อย”

“ไม่เป็นไร อันธพาลกลุ่มนี้วางรากรุกล้ำเมืองหลวงมาหลายปี เป็นอันตรายต่อผู้คน ตอนนี้กำเริบเสิบสาน กล้าฆ่าคนกลางวันแสกๆ กำแหงเสียจริง

ตอนนี้มาแตะต้องคนของข้า ก็ได้เหตุกำจัดพอดี

แน่นอนว่ารัฐบาลก็มีประโยชน์ของรัฐบาล ยุทธภพก็มีประโยชน์ของยุทธภพถึงจะกำจัดไปให้หมดสิ้นไม่ได้ แต่พวกต่ำทรามพวกนั้นจะอยู่ต่อไม่ได้”

เมื่อพูดเช่นนั้นออกไป

ส้าวชิงจากศาลต้าหลี่กับถิงเมี่ยนก็แอบโล่งใจ

ดูท่า เทพธิดานั้นเป็นคนฉลาดเข้าใจเรื่องราว

“ขอรับ กระหม่อมจะจัดการเรื่องนี้ให้เรียบร้อย”

แม้คนในยุทธภพจะแสดงตัวไม่ได้ แต่พวกเขาก็กลายเป็นพันธมิตรด้านการทำการค้าในที่ลับ ที่จริงก็ต่างจากการทำการค้าแบบปกติไม่มาก

เพียงแต่ว่าธุรกิจที่ทำไม่สามารถบอกคนนอกได้ก็เท่านั้น

ในหมู่พวกคนต่ำทรามนั้นก็มีน้อยมาก

คนที่กล้าวางอำนาจบาตรใหญ่ในที่แจ้ง ที่จริงก็มีอยู่ไม่กี่คนนี่คือกฎ กฎของยุทธภพกับราชสำนัก

ยกตัวอย่างเช่นตลาดดำของท่านถิง

แม้เขาจะเป็นนักเลงหัวไม้ แต่ก็ไม่เคยรังแกกดขี่ผู้อ่อนแอ ในทางตรงกันข้าม เขากลับจัดการตลาดดำอย่างเป็นระบบระเบียบ เหรียญเงินที่ให้ราชสำนักในทุกๆปีก็ไม่น้อย

คนแบบนี้กำจัดออกไปไม่ได้

ไม่เช่นนั้นตลาดดำก็จะเละเทะ

แต่คนที่ทำร้ายผู้บริสุทธิ์อย่างหว้างฉาย แน่นอนว่าต้องลงโทษตามกฎหมายเพื่อระบายความโกรธของประชาชน

คิดไปครู่นึง

ส้าวชิงจากศาลต้าหลี่ก็รู้ว่าจะต้องจับกุมคนไหน

พวกเขามาอย่างรวดเร็ว และก็จากไปอย่างรวดเร็ว

พวกเขาหลานเยาเยาก็กลับไปกินข้าวต่อที่ร้านอาหาร ถ้าไม่ใช่เพราะด้านนอกยังมีประชาชนยืนมุงล้อมกันอยู่ เรื่องเมื่อครู่นี้ก็ดูเหมือนกับไม่เคยเกิดขึ้น

จื่อเฟิงเดิมทีก็นั่งกินข้าวอยู่ที่โต๊ะ แต่จะทำอย่างไรเมื่อถูกคนกลุ่มใหญ่จ้อง เขารู้สึกอึดอัด จึงหยิบถ้วยตะเกียบมาคีบกับข้าว ไม่พูดอะไรกับเทพธิดาสักอย่างแล้วก็เดินไปยังมุมมืดโดยไว

ถิงเมี่ยนกับยู่หลิวซูต่างพากันมองมาทางหลานเยาเยา ก็พบว่าเทพธิดาดูเหมือนจะไม่ใส่ใจเรื่องนี้

นี่……

จื่อซีที่อยู่ข้างๆก็พูดอธิบายว่า:

“เฟิงผู้นั้นก็เป็นเช่นนี้ ไม่ชอบคนเยอะแล้วก็ยิ่งไม่ชอบการมุงดู คุณหนูก็ชินแล้ว”

ตั้งแต่หลังจากที่พวกเขาติดตามหลานเยาเยามา

หลานเยาเยาก็ไม่ได้เปลี่ยนชื่อให้พวกเขา แต่เพื่อไม่ให้คนอื่นรู้ชื่อดั้งเดิมของพวกเขา ดังนั้นจึงเรียกแต่คำสุดท้าย

“ที่แท้เขาก็ชื่อว่าเฟิง!”

ถิงเมี่ยนพูดอย่างเลื่อมใส

ศิลปะการต่อสู้ของเขาเก่งที่สุดในบรรดาผู้ที่อยู่ใต้ของเทพธิดา คิดไม่ถึงว่าจะเย็นชาขนาดนี้ ดูท่าไม่น่าสนิทด้วย

ส่วนผู้ที่อยู่ด้านข้างนี้ ดูเหมือนจะเป็นคนพูดเก่ง ศิลปะการต่อสู้ก็สูง วิชาการรักษาก็ได้การถ่ายทอดมาจากเทพธิดา มีความรู้ความสามารถในการเป็นองครักษ์!

มีมนุษยสัมพันธ์ที่ดี

ในไม่ช้า ถิงเมี่ยนก็พูดคุยกับจื่อซีอย่างคึกคักสนุกสนาน

ส่วนยู่หลิวซู เห็นได้ชัดว่าสายตามองไปทางมุมมืด

เขาคีบกับข้าวเสร็จ ก็พุ่งตัวไปทางมุมอย่างไวเช่นกัน

เพียงแต่ว่า เขาไปเพียงครู่เดียวก็ต้องพุ่งออกมาด้วยความหดหู่ จากนั้นก็มานั่งกินข้าวนิ่งๆอย่างไม่รู้ไม่ชี้

ไม่น่าคบด้วยจริงๆ!

แต่นั่นก็ไม่คณามือเขายู่หลิวซู

หลังจากกินข้าวออกมา ถิงเมี่ยนต้องการไปจัดการธุระของตลาดดำ ส่วนยู่หลิวซูก็ต้องกลับไปที่ตึกฟังงิ้ว

เขาก็ต้องจัดการธุระเช่นกัน

เพียงแต่พอคิดถึงเรื่องที่เกิดขึ้นที่ตึกฟังงิ้วก่อนหน้านี้ เขาก็อดขมวดคิ้วไม่ได้. ทันทีที่ขมวดคิ้ว เสียงที่มีเสน่ห์ของเทพธิดาดังขึ้นมาข้างหู

“ไปฟังงิ้วที่ตึกฟังงิ้ว!”

ขณะนั้น

ยู่หลิวซูก็หันไปมองทันที อารมณ์แปลกๆก็ฉายขึ้นมาในแววตา