บทที่ 378 ถูกยู่หลิวซูมอมเมา

หวางเฟยเสด็จ ท่านอ๋องหลีกไป

บทที่378 ถูกยู่หลิวซูมอมเมา

ตึกฟังงิ้ว。

ในช่วงที่ยู่หลิวซูไม่อยู่ไม่กี่วันนี้ ด้านในคนยังเนืองแน่น ทุกวันที่เต็มไปด้วยแขกก็เพื่อสิ่งเดียวเท่านั้น

ก็คือให้ยู่หลิวซูออกมาร้องงิ้ว

“เฮ้ เขาเป็นนักแสดง พูดเพราะหน่อยก็เป็นหัวแรงใหญ่ พูดไม่เพราะหน่อยก็เป็นคนเล่นงิ้ว ถูกพูดอะไรหน่อยก็ทำลับๆล่อๆ ไม่กล้าออกมาพบผู้คนแล้ว ไม่มีเหตุผลเสียจริง”

“ใช่ ใช่ คิดว่าซ่อนหัวซ่อนหางเหมือนเต่าแล้วพวกเราจะไม่ไล่เขาออกจากเมืองหลวงรึไง? ตราบใดที่ไม่ไล่เขาออกจากเมืองหลวง พวกเราก็จะก่อความวุ่นวายที่นี่ ก่อความวุ่นวายจนเขาฆ่าตัวตาย”

“เขานะ ไม่กล้าออกมาแน่ๆ ไป พวกเราทุกคนบุกไปทางด้านหลัง ไปจับเขาออกมาโยนออกไปจากเมืองหลวง”

“ไปไปไป พวกเราไปด้วยกัน เซียวซื่อจื่อเจ้าจะยังรังแกพวกเราเหล่าประชาชนอีกหรือ?”

เรื่องยิ่งวุ่นวายยิ่งใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ

บรรดาคนฟังงิ้วก็อยากจะลอง แต่เพราะเซียวซื่อจื่อนั่งมองพวกเขาอยู่จากบนชั้นสอง พวกเขาจึงไม่ค่อยกล้านัก

ที่บนชั้นสอง

เซียวจิ่นหยูผู้สุภาพเรียบร้อยขมวดคิ้วแน่น น้ำชาที่เย็นแล้วในมือก็ถูกบีบแน่นเรื่อยๆ

องครักษ์ที่อยู่ด้านหลังเขาพูดด้วยความโกรธว่า:

“มาทุกวัน มาทุกวัน องค์ชาย ประชาชนพวกนี้ยิ่งนับวันยิ่งคลั่งขึ้นเรื่อยๆ แม้จวนเจ้าพระยาซื่อสัตย์จะไม่ถามเรื่องในราชสำนัก

แต่ท่านเจ้าพระยากับคุณชาย ท่านก็ดีกับพวกเขามาก แต่พวกเขากลับกล้ามาก่อความวุ่นวาย มีอย่างที่ไหนกัน ข้าน้อยจะสั่งคนให้ไปขับไล่พวกเขาอีกครั้ง”

“ไม่ต้อง!”

เซียวจิ่นหยูโบกมือเบาๆ พูดเสียงเย็นชา

เทพธิดานะเทพธิดา ยืมคนไปแล้วตั้งสองสามวันยังไม่ส่งกลับมาอีก อยากจะรอให้คนกลุ่มนี้รื้อตึกฟังงิ้วของเขาก่อนแล้วถึงกลับมาได้หรือไง?

ดูท่าแล้ววันนี้เขาก็ยังไม่กลับมา

งั้นเขาก็จะใช้วิธีของตนเองแก้ไขเรื่องนี้

ตอนนั้นเอง!

คนรับใช้คนหนึ่งก็วิ่งมาด้วยความเร็ว แล้วพูดอยู่ข้างหูพวกเขาไม่กี่ประโยค

มุมปากของเซียวจิ่นหยูกระตุกขึ้น

“ในเมื่อกลับมาแล้ว ก็เป็นการดีที่จะจัดการเรื่องตอนนี้ให้เรียบร้อย ไม่เช่นนั้น……”

ห้องโถง ณ ขณะนี้

ความโกรธของฝูงชนพุ่งขึ้น จำนวนผู้ที่ไม่สงบก็ยิ่งรวมกันมากขึ้น ขาดก็แต่เพียงผู้นำที่พุ่งออกไป

ทันใดนั้น ก็มีเสียงตะโกนโดดออกมาจากในฝูงชน:

“บุก!”

น้ำเสียงอันทรงพลังก็ยิ่งทำให้ความโกรธของทุกคนที่อยู่ในห้องโถงพุ่งขึ้นจนถึงขีดสุด พวกเขาก็เฮโลพุ่งเข้าไปแยกแถวคนรับใช้ที่ขวางอยู่ตรงหน้า

“ตึ้ง……”

จู่ๆในห้องโถงก็มีเสียงกลองรบดังขึ้น เสียงดังกึกก้องทำเอาทุกคนล้วนตกใจ

“เกิดอะไรขึ้น?”

“กลองรบดังขึ้นได้อย่างไร?”

“ไม่รู้!”

“……”

ทุกคนต่างสงสัยขึ้นมา ต่างพากันเงยหน้าขึ้นไปมองเวที

จู่ๆเวทีที่มืดสลัวก็สว่างขึ้นในทันที ผ้าม่านบางเบาก็ค่อยๆเปิดออกช้าๆ ยู่หลิวซูในชุดงดงาม โดดเด่นน่าเกรงขามก็ยืนอยู่กลางเวที

เขาที่มีออร่าต่างกันกับแต่ก่อนราวฟ้ากับเหว ถือพิณหนึ่งตัว พิณนั้นเป็นพิณที่ยู่หลิวซูดีดจนสายขาดมาก่อน มันได้รับการซ่อมแซมแล้ว

ทุกคนต่างส่งเสียงจอแจอยู่ในความโกลาหล!

เพราะยู่หลิวซูในตอนนี้ ไม่มีท่าทางนักแสดงเหมือนแต่ก่อน แต่เป็นเหมือนคุณชายเศรษฐีที่มาจากคุณชายตระกูลขุนนาง มีออร่าที่น่าทึ่ง

“ตึ้ง ตึ้ง ตึ้ง……”

เสียงกลองสงครามที่หนักแน่นดังขึ้นอีกครั้ง สถานการณ์ก็ดูตึงเครียดมาก ราวกับกำลังจะเกิดการต่อสู้ในสนามรบใกล้ๆ

“ตึ้ง ตึ้ง ตึ้ง ตึ้ง……”

จากนั้นเสียงพิณก็ดังขึ้น……

แต่เสียงพิณนี้ไม่ใช่พิณหนึ่งตัว แต่เป็นสองตัว

ยู่หลิวซูหันไปมองผ้าม่านเวทีด้านหลังเล็กน้อย จากนั้นก็จดจ่อตั้งใจดีดพิณ

เสียงดังคู่ขึ้นมากับกลองสงคราม ทันใดนั้นทุกคนจมดิ่งเข้าไปในสนามรบ ราวกับไปอยู่ในสถานที่เกิดเหตุ

เจ้าพระยาวัยกลางคนที่ดูทรงพลัง ถือหอกสีแดงเข้ม มาพร้อมกับเด็กหนุ่มชุดขาวที่ตามอ๋องเทพสงครามผู้มีความสามารถพุ่งเข้าไปที่ค่ายทหารศัตรู

อ๋องเทพสงครามกับเด็กหนุ่มชุดขาวต่างดูท่าทางยังเป็นเด็กหนุ่มวัยเยาว์อยู่ แต่พวกเขาดูเที่ยงธรรม สายตาเฉียบแหลม แม้เนื้อตัวของพวกเขาจะมีบาดแผลเต็มไปหมด แต่พวกเขาก็ยังคงสู้กับศัตรูอย่างอาจหาญ

จำนวนของฝ่ายศัตรูเยอะกว่าพวกเขาหลายเท่า

อีกอย่างพวกเขารบมาแล้วสองวัน เสบียงเสริมของพวกเขาก็ถูกตัดขาด ตอนนี้แม้แต่หญ้ายังไม่มี วิธีเดียวก็คือต้องพยายามกำจัดค่ายทหารหลักของศัตรูในคราเดียว ถึงจะมีโอกาสรอด

เสียงกลองรบที่หนักแน่นดังก้องไปทั่วผืนดินที่เปื้อนเลือด

กองทัพยังคงกำลังต่อสู้กันอย่างห้าวหาญ ไฟสงครามยังคงโหมกระหน่ำไม่หยุด เสียงฟาดฟันของอาวุธสงครามและเสียงกรีดร้องดังกึกก้องไปทั่วฟ้า

มีเสียง “ระวัง”

เจ้าพระยาเข้ามารับมีดที่หมายเอาชีวิตแทนชายหนุ่มชุดขาว และล้มลงไป

“ท่านพ่อ!”

ชายหนุ่มชุดขาวร้องตะโกน ฆ่าฝ่ายศัตรูไปสองสามคนแล้วพุ่งไปยังตรงหน้าเจ้าพระยาที่ล้มลงไปกับพื้น พร้อมกับพยายามห้ามเลือดที่ไหลออกมาอย่างสุดความสามารถ

“ท่านพ่อ ท่านต้องทนไว้ อีกเดี๋ยวมันก็จะจบแล้ว”

“ไม่ต้องมาสนใจข้า ไปเถอะ! ไปปกป้องอ๋องเย่ให้ดี ปกป้องอ๋องเย่ให้ดีแล้วก็ต้องปกป้องประชาชนประเทศก่วงส้าของพวกเราไว้ให้ดี เขาเป็นความหวังสุดท้ายของพวกเราประเทศก่วงส้า รีบไป”

เจ้าพระยาเพิ่งพูดจบ ก็ร้องตะโกนด้วยความหวาดกลัวเสียงดัง:

“ระวัง!”

เมื่อศัตรูสองคนเห็นพวกเขาเสียสมาธิ ก็จะฉวยโอกาสมาฆ่า

ขณะนั้นเอง กระบี่ยาวด้ามหนึ่งก็พุ่งมา ทันใดนั้นก็ตัดไปที่หัวของฝ่ายศัตรู ท่านอ๋องหนุ่มก็เดินมาข้างหน้า ในแววตาเต็มไปด้วยความกังวล แต่กลับกล่าวด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่นผิดปกติ:

“จิ่นหยู เจ้าต้องช่วยเจ้าพระยา ต้องช่วยเหล่าทหารที่ยังไม่ตาย พวกเราจะต้องฆ่าศัตรูทั้งหมดด้วยความรวดเร็วที่สุด พวกเขาถึงจะอยู่รอด เข้าใจไหม?”

ชายหนุ่มชุดขาวเงยหน้ามองท่านอ๋องหนุ่ม แล้วพยักหน้าหนักแน่น

ด้วยเหตุนี้!

พวกเขาจึงสู้เคียงบ่าเคียงไหล่ ฆ่าศัตรูนับไม่ถ้วน ท้ายที่สุดก็ได้รับชัยชนะด้วยการแลกเปลี่ยนที่น่าเวทนา

ท้ายที่สุด สนามรบก็เต็มไปด้วยเลือดเนื้อซากศพ คนที่โชคดีรอดชีวิตกรีดร้องอย่างเยือกเย็น ผืนทรายกลางเป็นสีแดงเลือดอย่างน่าตกใจ

อ๋องเย่หนุ่มยืนอยู่บนซากศพขาวโพลน ในมือถือกระบี่ยาวที่ยังมีเลือดหยดอยู่ พร้อมกับฟันธงรบของฝ่ายศัตรู

“แผ่นดินประเทศก่วงส้า เจ้ากล้ามารุกราน? มาคนเดียวก็จักต้องฆ่า มาเป็นคู่ก็จักต้องสังหาร มาเป็นกลุ่มก็จักต้องทำลาย”

หลังจากนั้น

แม่ทัพหนุ่มก็ประคองทหารนายหนึ่งที่บาดเจ็บหนัก ชายหนุ่มชุดขาวประคองเจ้าพระยา ผู้ที่บาดเจ็บน้อยประคองผู้ที่บาดเจ็บหนัก และพาเดินเข้าไปในกระโจมของฝ่ายศัตรู……

“ตึ้ง……”

เสียงกลองรบค่อยๆหายไป เสียงพิณก็ค่อยๆหยุดลง

ทุกคนต่างตื่นขึ้นมาจากภวังค์ ต่างละอายใจ บางคนก็ร้องไห้ด้วยความเสียใจ

ใช่สิ!

ตอนนี้พวกเขากำลังทำอะไรอยู่?

แผ่นดินผืนนี้ ในตอนนั้นได้อ๋องเย่และพวกเขาสองพ่อลูกท่านเจ้าพระยาปกป้องเอาไว้

และเพราะการต่อสู้ที่น่าเศร้าสลดนั้น ท่านเจ้าพระยาจึงบาดเจ็บหนัก แม้จะรอดชีวิตแต่ก็เหลือแต่ร่างกายที่พิการ นับตั้งแต่นั้นก็ไม่รบ ไม่ถามเรื่องของราชสำนักอีก

แต่ตอนนี้……

พวกเขากำลังจะพังตึกฟังงิ้วของเซียวซื่อจื่อ นี่มันจะต่างอะไรกันกับสัตว์ร้ายที่เนรคุณ?

แล้วยู่หลิวซูหล่ะ?

เขาทำอะไรผิด?

เขาอยู่ที่ตึกฟังงิ้วดีๆ มีเหล่าคุณหนูมาชอบ แล้วก็ยั่วยุให้เกิดปัญหา พูดขึ้นมาเขาเองก็ตกเป็นเหยื่อเหมือนกัน

ทำไมพวกเขาต้องรวมตัวกันต่อต้านโจมตีด้วย?

ขณะนั้นเอง!

มีคนในฝูงชนเห็นว่าสถานการณ์มันไม่ถูกต้อง ก็รีบพูดขึ้นมาเสียงดังว่า:

“พวกเจ้าอย่าถูกเขาหลอกนะ ตอนแรกฉินหลิงเจียวกับหลินเฟยหรันก็ถูกเสียงพิณของเขาทำให้งวยงงเหมือนกัน พวกเจ้าอย่าผิดซ้ำรอยเดิม”

อีกคนนึงก็โวยวายตามขึ้นมา:

“ใช่ พวกเราทุกคนต่างถูกวิชามอมเมาของนักแสดงคนนี้หลอกหรอก พวกเราจะไม่เปลี่ยนความปรารถนาเดิมที่จะไล่เขาออกจากเมืองหลวง เพียงเพราะเพลงบทเดียว”

“ใช่! มันคือวิชามอมเมา ไม่เช่นนั้นจะมอมเมาคุณหนูที่แสนสวยสองคนนั้นได้อย่างไร!”

“ใช่! อย่าถูกหลอกนะ พวกเรามาไล่เขาไป”

“……”

แล้วเสียงโวยวายสองสามเสียงก็ตามขึ้นมา

แต่นอกจากสองสามคนนั้นแล้ว คนอื่นๆก็ไม่พูดอะไร และทั้งหมดก็มองมาที่พวกเขา……